ไม่นึกไม่ฝันว่าสมาพันธ์อู่ซิ่งจะมีโชคลาภวาสนาถึงเพียงนั้น แม้แต่ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางก็ยังเอาออกมาได้
เจ้าสำนักรู้สึกขมปร่าในใจ ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี
กระทั่งตามไรฟันยังรู้สึกขมปร่า ในดวงตาก็รู้สึกขมปร่า เหมือนกระต่ายตาแดง
ใต้อาคาร ทุกคนตกอยู่ในภาวะ เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ตะลึงจังงังกันไปหมด
ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง ถึงกับเป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง!
ในแง่มูลค่า แม้แต่เงินนับหมื่นศิลาวิญญาณระดับกลางก็ยังหาซื้อไม่ได้ เป็นสมบัติที่ไม่มีใครกล้าใฝ่ฝัน แม้แต่สี่ขุมอำนาจสูงสุดยังต้องหวั่นไหว
ไป๋หลี่ชิงเฉิงพอเห็นสีหน้าของทุกคน ริมฝีปากแดงสดก็ยกขึ้นน้อยๆ ในใจคิดว่าเป็นไปตามที่คาด กล่าวสืบต่อ “สุขเพียงลำพังไม่เท่าร่วมสุขด้วยกัน ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางที่สมาพันธ์อู่ซิ่งได้มา สำหรับในสุสานแห่งนั้น เป็นได้เพียงน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร”
“ตามที่เราวิเคราะห์ สุสานยุคปลายบรรพกาลแห่งนั้น สมควรเป็นสุสานของบรรพชนเฒ่าสุญญตา ในช่วงต้นบรรพกาล ศาสตราวิญญาณมีอยู่เกลื่อนกล่น เคล็ดลมปราณขั้นเจตจำนงสวรรค์ที่ยิ่งน่าพรั่นพรึงก็มีอยู่ไม่ขาด”
สิ้นเสียง เมืองเทียนเอินก็ตกอยู่ในความโกลาหล เสียงฮือฮาโห่ร้องของฝูงชนทำเอาหลังคาแทบจะพังถล่มลงมา
พูดกันอย่างนี้ดีกว่า ในฐานะราชันที่ครองเมืองเทียนเอินมานานนับหมื่นปีอย่างสี่ขุมอำนาจสูงสุด พวกมันไม่แน่อาจมีทักษะยุทธ์ชั้นเจตจำนงสวรรค์อยู่ในครอบครอง แต่ย่อมไม่มีทางเป็นเคล็ดลมปราณชั้นเจตจำนงสวรรค์ไปได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงศาสตราวิญญาณ แม้แต่ประตูหายนะก็ยังไม่ทราบว่าจะมีหรือเปล่า
แต่ว่า หากเป็นสุสานของบรรพชนเฒ่าสุญญตาจากช่วงต้นบรรพกาลจริง เช่นนั้นย่อมต้องมีศาสตราวิญญาณ เคล็ดลมปราณทักษะยุทธ์ขั้นเจตจำนงสวรรค์อยู่ด้วยแน่
ในตอนนี้ สามขุมอำนาจที่เหลือไม่อาจนั่งติดที่ได้อีกแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตาจับจ้องไปทางอาคารสีแดงด้วยนัยน์ตาแดงก่ำไม่ต่างกัน โอกาสที่จะทำให้พวกมันได้ผงาดขึ้นอย่างแท้จริง มาอยู่ตรงหน้าพวกมันแล้ว!
“บางทีทุกท่านอาจสงสัยว่าทำไมสมาพันธ์อู่ซิ่งของเราถึงได้ออกมาประกาศความลับนี้ให้ทุกคนได้ทราบ”
“สืบเนื่องจากสุสานของบรรพชนเฒ่าสุญญตานั้น ไม่ใช่สิ่งที่สมาพันธ์อู่ซิ่งจะยึดครองไว้ได้ผู้เดียว ต่อให้เป็นเมืองเทียนเอินของเรา ก็ยังไม่สามารถ ทันทีที่ถูกสามเผ่าล่วงรู้ จะต้องมีคนโผล่เข้ามาช่วงชิงผลไม้ลูกนี้ไปจากมือของเรา”
ทุกคนผงกศีรษะตาม เป็นเช่นนั้นจริงๆ ว่าแล้วก็กวาดตามองไปรอบด้านด้วยความระแวดระวังมากกว่าเดิม หากมีคนนอกปะปนเข้ามา วันนี้คงต้องถูกพวกมันผนึกกำลังกันขับไล่ไสส่งออกไปเป็นแน่แท้
“เพราะงั้นหลังการหารือ สมาพันธ์อู่ซิ่งจึงตัดสินใจว่าจะแบ่งปันเรื่องนี้ให้ล่วงรู้กันโดยทั่ว ใครที่ได้มรดกของบรรพชนเฒ่าชั้นสุญญตาจากในสุสานไปครอง ผู้น้อยจะคุกเข่าถวายตัวให้วีรชนท่านนั้นอย่างหมดใจ”
วาจาเจือสะท้านนี้เหมือนสายฝนที่หยดลงบนดวงใจของผู้ฟัง ทำให้พวกมันต้องจิตใจเลื่อนลอยอยู่นานสองนาน
ยอดยุทธ์ที่เหลือพลันกระจ่างแจ้ง ที่แท้สมาพันธ์อู่ซิ่งก็คำนวณเอาไว้แล้ว ใครก็ตามที่เป็นผู้สืบทอดมรดกบรรพชนเฒ่าสุญญตา โอกาสในการบรรลุชั้นกฎสรรพสิ่งย่อมต้องมีมากถึงเจ็ดแปดส่วน
การถูกผนวกรวมของสมาพันธ์อู่ซิ่ง ใช่จะต้องเป็นฝ่ายขาดทุนเสมอไป แต่อาจได้ทะยานก้าวเดียวถึงสรวงสวรรค์เลยต่างหาก!
พูดไปแล้ว แค่สุสานบรรพชนเฒ่าสุญญตา ต่อให้มีสภาพยับเยินสุดทานทน ทุกคนก็ยังมุ่งหน้าไปเพื่อค้นหาสมบัติกันอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่า พันธนาการในสุสานแห่งนั้นยังอยู่ในสภาพดี กระทั่งพื้นสุสานอาจปูด้วยศิลาวิญญาณระดับกลางเลยก็ได้
ส่วนตระกูลอย่างพวกตระกูลจวงนั้น ต่างก็จับจ้องเขาพิรุณเซียนและสามขุมอำนาจไม่วางตา เจตนาของสมาพันธ์อู่ซิ่งไม่อาจชัดเจนไปกว่านี้ เพื่อที่จะควบคุมสถานการณ์ จึงอนุญาตให้มีเพียงศิษย์รุ่นเยาว์ที่เข้าไปได้
ดูตามอายุขัยของผู้ฝึกตน ศิษย์รุ่นเยาว์ ก็คือผู้ที่มีอายุต่ำกว่าหนึ่งร้อยปี ระดับช่วงชั้นและวรยุทธ์นี้ไม่อาจเทียบกับกำลังรบของพวกตระกูลเก่าแก่ แต่ก็เป็นความหวังและรากฐานที่ตระกูลสำนักหนึ่งจะดำรงอยู่สืบต่อไป
เจ้าสำนักลูบคางตัวเอง เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ซึ่งตัวมันเองก็ไม่มีอะไรจะค้าน ค่ายพรรคเดชมารและพรรคทรราชหลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย บ่งบอกว่าไม่มีปัญหา
เหล่าศิษย์อัจฉริยะใต้อาคาร สายตายิ่งทวีความแรงกล้า ใจเต้นระรัว บรรยากาศรุ่มร้อนแทบเผาไหม้
ในยุคปัจจุบันที่กฎสรรพสิ่งมิอาจเผยตัว กลั่นดวงธาตุจึงไร้คู่ต่อกร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสุญญตาอันเป็นช่วงชั้นสูงขึ้นไป ต่อให้เป็นเสาค้ำสวรรค์อย่างทั้งสามเผ่าพันธุ์ หากมิใช่ถึงคราวเผ่าพันธุ์ล่มสลาย ผู้เรืองอำนาจที่ดำรงอยู่มานานนับหมื่นปีเช่นนั้นย่อมไม่มีทางยอมเผยตัวออกมา
เพียงหวั่นใจยิ่งยื้อเวลา ก็อาจยิ่งถูกสามเผ่าแย่งฉวยผลประโยชน์ไป เขาพิรุณเซียนแม้จะเป็นเผ่ามนุษย์ แต่ก็ไม่มีสายสัมพันธ์กับพวกสี่พรรคใหญ่ จึงไม่อาจรอเฉยให้พวกนั้นมามีส่วนได้ส่วนเสียไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ ขุมกำลังเมืองเทียนเอินจึงเคลื่อนตัวกันอย่างคับคั่ง ติดตามสมาพันธ์อู่ซิ่งไปยังทิศตะวันออกของเขาเหมิงซาน
“ท่านทั้งหลาย เมื่อถึงเวลาที่ชื่อของท่านกลายเป็นกระฉ่อนเลื่องลือ ขออย่าได้ลืมบ่าวคนนี้ไปเสียก่อนนะเจ้าคะ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงกอดผีผาหยก ขยิบตาส่งมาให้ ก่อนจะขึ้นเกี้ยวจากไปพร้อมกับคนชุดดำกลุ่มหนึ่ง
ศิษย์สำนักที่เหลือภายใต้ความคุ้มครองจากเหล่าอาวุโสของพวกมัน ควบคุมไอวิญญาณเหินตัวขึ้นฟ้า เงาร่างบินฉวัดเฉวียนไม่ขาดสาย บดบังฟ้าดิน
กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดขึ้นไปมีกันมากถึงหลายสิบ ยักษ์ใหญ่อย่างเขาพิรุณเซียนก็ส่งกำลังกันออกมาอย่างไม่ออมรั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกตนจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์อิสระที่สงบนิ่งมาตลอดเองก็เคลื่อนตัวตามคลื่นมวลชนไปติดๆ หลั่งไหลกันไปสู่เขาเหมิงซานอันสูงใหญ่
รากฐานกำลังที่เมืองเทียนเอินจะสำแดงออกมาได้ก็แทบจะสำแดงออกมาหมดแล้ว เงาร่างที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบนฟ้าเหล่านั้นได้ถูกลอบบันทึกเก็บข้อมูลไว้อย่างลับๆ
สุสานชั้นสุญญตา ต่อให้เป็นสามเผ่าพันธุ์เองก็มีอยู่ไม่มาก โดยเฉพาะสมัยต้นบรรพกาลกับยุคไท่ฮวง เมื่อสิบหมื่นปีก่อนอันเป็นยุคแห่งความโชติช่วงทางการฝึกปรือ ทั้งพลังยุทธ์และทรัพยากรไม่ใช่สิ่งที่โลกอันขาดแคลนในปัจจุบันจะเทียบเปรียบได้
เมืองเทียนเอินมีไพ่ในมืออยู่กี่ใบ ตระกูลน้อยใหญ่มียอดฝีมืออยู่กี่ท่าน ระดับการเฝ้าระวังในแต่ละแห่งเป็นอย่างไร ทั้งหมดล้วนเผยออกมาให้เห็นภายใต้การขับเคลื่อนครั้งใหญ่นี้ และไม่มีใครรับรู้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่
รากฐานกำลังและการลอบลงมือ คือสิ่งที่น่ากริ่งเกรงมากที่สุด มีแต่ตอนที่ยังไม่ปล่อยกำปั้นออกไป จึงจะมีอำนาจขู่ขวัญผู้คนให้เกรงกลัว แต่เมืองเทียนเอินเล่นเผยไพ่ออกมาจนหมดเปลือกอย่างนี้ ย่อมต้องถูกมือที่สามที่กำลังวางแผนลอบลงมือจับตามองอยู่อย่างลับๆ
การที่เราเข้าใจฝ่ายตรงข้ามอย่างปรุโปร่ง รู้จุดอ่อนจุดแข็ง รู้เขารู้เราเหมือนหลังฝ่ามือของตัวเราเอง เช่นนี้แล้ว ยังจะต้องกลัวปราชัยอยู่อีกหรือ?
ตัวเมืองกลายเป็นเปลี่ยวร้าง เงียบชนิดที่แม้แต่พิสุทธิ์ไพศาลยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจหนักอึ้งสลับผ่อนคลายที่ดังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่บนถนนได้อย่างชัดเจน
เจี๋ยชางและเจ้าเป้าได้ติดตามคนในพรรคไปอย่างเร่งร้อนตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ส่วนกองกำลังอื่นๆ ต่างก็ทยอยรวบรวมคนและมุ่งหน้าไปทางเขาเหมิงซานต่อกันไป
ใต้อาคารจากที่เคยเนืองแน่นไปด้วยฝูงชน บัดนี้กลับเหลือเพียงฉินจิ่วเกอที่กำลังยืนปิดตาผนึกจิตแหงนเงยศีรษะขึ้น
หลงเฟิงคอยให้ความคุ้มกันอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากเม้มตึง ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา มันรู้ดี หากฉินจิ่วเกอแสดงสีหน้าเช่นนี้ นั่นแปลว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาวะที่ระดับไอคิวและอีคิวกำลังพุ่งทะยานถึงขีดสุด
ในช่วงเวลาเช่นนี้ หัวสมองของฉินจิ่วเกอจะโลดแล่นถึงขีดสุด และคำนึงถึงศัตรูก่อนเป็นลำดับแรก
สี่ประมุขขุนเขาเองก็ไม่ได้เร่งรีบเดินทาง นี่ไม่ใช่เวลาคับขันอย่างการเข้าห้องน้ำเสียหน่อยที่ต้องแย่งกันใช้ อย่าว่าแต่ประมุขน้อยยามนี้ทั้งสงบเสงี่ยมดูมีราศีจับแถมยังน่ารักน่าเอ็นดูผิดจากที่เคย
รอจนเมืองเทียนเอินแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง และปราศจากเสียงใดๆ นั้นเอง
ฉินจิ่วเกอที่กำลังยืนปิดตาก็สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นสืบเท้าไปข้างหน้า เดินขึ้นบันไดมาจนถึงบานประตูไม้สีแดงฉานบานหนึ่งที่ปิดแน่นแล้วผลักเปิดออก
“แม่นางไป๋หลี่ ผู้คนจากไปแล้ว เชิญท่านออกมาเถอะ”
ฉินจิ่วเกอจัดเสื้อให้เข้าที่ ก้าวเดินเข้าสู่ภายในอาคารอย่างสงบนิ่ง เหนืออาคาร เกิดเสียงใสกังวานของผีผาดังมาราวกับจะตอบรับ
กองทัพที่เปี่ยมแสนยานุภาพ ย่อมมีไอสังหารที่กวาดกราดศัตรูออกไป มหานทีที่ส่งคลื่นลูกยักษ์กระหน่ำโถม ย่อมสร้างความแตกตื่นลงไปถึงขุมนรกเก้าชั้น
“ขอเชิญคุณชายขึ้นมาร่วมเสวนา”
เหนือขั้นบันได ปรากฏร่างผู้ชราดูไม่สะดุดตาคนหนึ่งยืนอยู่ บนตัวสวมชุดผ้าป่านแสนเรียบง่าย บนศีรษะใช้กิ่งไม้เก่าผุชิ้นหนึ่งเกล้าผมเอาไว้ ลมหายใจแผ่วต่ำ องคาพยพทั้งห้าไม่มีอันใดโดดเด่น ไม่ว่าจะมองสักกี่รอบก็ไม่มีอะไรดึงดูดให้จดจำ
“ประมุขน้อยระวังตัวด้วย” สี่ประมุขที่วิ่งตามเข้ามาพลันต้องมองผู้ชราอย่างประหลาดใจ รวมถึงเสียงดีดของผีผาที่ยังคงดังอยู่ข้างหู
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องประหม่าเกินไปนัก ข้าว่าอาวุโสผู้นี้คงจะเป็นคนเดียวกับที่ข้าใช้สัมผัสเทวะปะทะกันเมื่อครู่ ระดับฝีมือของมันเหนือกว่าเจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนไปไกล แม้จะอยู่ในขอบเขตมหาวิถีดวงธาตุทองคำเหมือนกัน แต่ถ้าต้องการจะเอาชีวิตข้า เกรงว่าลำบากเพียงขยับนิ้วเท่านั้น”
ฉินจิ่วเกอไม่ได้พูดลอยๆ ระดับฝีมือของฝ่ายนั้นลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดา แม้จะไม่ใช่กฎสรรพสิ่ง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่เจ้าสำนักจะรับมือด้วยได้อย่างเด็ดขาด
แหวกชำระกายา ฉินจิ่วเกอก็เคยเห็นมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีรัศมีพลังเช่นนี้
“คุณชายช่างตาถึง ทำเอาข้ารู้สึกเลื่อมใสจริงๆ ก่อนหน้านี้ตลอดทั้งตัวอาคารล้วนอยู่ใต้การปกคลุมของสัมผัสเทวะข้า แต่เจ้าก็ยังสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้โดยที่ไม่ถูกข้าตรวจพบ ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่านี่จะเป็นฝีมือของพิสุทธิ์ไพศาลคนหนึ่ง”
แขนขาอันเหี่ยวแห้งของผู้ชราขยับเล็กน้อย เผยให้เห็นผิวสีดำใต้อาภรณ์ หากมีลมพัดมาหอบหนึ่งก็คงจะพัดมันจนล้มลงได้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น สี่ประมุขขุนเขากลับมีลางสังหรณ์ว่า อีกฝ่ายสามารถฆ่าพวกมันทั้งสี่คนได้!
“หามิได้ๆ ข้าก็แค่อยากรู้อยากเห็นเฉยๆ กลับเป็นวิธีการของอาวุโสต่างหาก ที่แปลกใหม่อย่างแท้จริง หากให้ข้าเดา พวกเจ้าคงจะมาจากพรรคโลหิตนภาสินะ! ”
ติง!
เสียงผีผาจากชั้นบนเปลี่ยนเป็นดุดันรุนแรงเหมือนค่ำคืนที่มีอสนีบาตห่าพิรุณผ่ากระหน่ำ เทือกเขาถล่มราบ ศิลาหินผาปลิวกระจาย ผืนพสุธาล่มสลาย กระแสลมที่อันตรายถึงชีวิตเริ่มก่อตัวท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัด พัดหวนอยู่กลางโลกหล้าอันเปลี่ยวร้าง ชวนให้ผู้ฟังต้องขนลุก หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“คุณชายช่างรอบรู้ ถึงกับทราบถึงนามอันยิ่งใหญ่อย่างพรรคโลหิตนภาด้วย? ” ผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างทระนงตัว ไม่มีเจตนาปกปิดเลยแม้แต่น้อย
เข่นฆ่าสรรพชีวิตทั่วหล้า กวาดล้างคลื่นอสูรทั่วแดนดิน มีเพียงโลหิต ที่สามารถอาบย้อมทั่วผืนฟ้าได้!
ต่อให้ผู้เฒ่าคนนั้นไม่ได้ลงมือ ฉินจิ่วเกอก็ตระหนักดีว่าตัวมันไม่อาจทำอย่างไรอีกฝ่ายได้เลย ต่อให้เป็นตอนที่เผชิญกับเจ้าสำนักเขาพิรุณเซียน อีกฝ่ายก็ยังไม่ให้ความรู้สึกสะกดข่มถึงขนาดนี้มาก่อน
“ฮ่าฮ่า” ฉินจิ่วเกอสลัดอาภรณ์ตัวนอกแล้วเดินเข้าสู่ภายในอาคาร หิมะหยุดตกแล้ว ร่างที่แข็งเกร็งจากความหนาวเริ่มกลายเป็นอุ่นร้อนขึ้นมา
เสียงดีดของผีผายังคงดังอย่างรวนเร ประเดี๋ยวถี่กระชั้น ประเดี๋ยวชะลอเชื่องช้า บ้างเร่งรีบ บ้างชะลอตัว ฟังไม่ออกว่ากำลังสื่ออารมณ์ใด มีแต่บนหน้าผากที่เริ่มปรากฏเหงื่อผุดซึม ก่อนเปลี่ยนเป็นผลึกเกลือบางๆ ที่เริ่มตกลงเหมือนหิมะพร่างพรม
“เพราะตัวข้าน้อยเองก็เป็นสหายร่วมวิถีด้วยเหมือนกัน” ฉินจิ่วเกอเลิกคิ้ว สำแดงความทระนงของผู้ฝึกวิชาปีศาจออกมา
จากนั้นก็ขับเคลื่อนวิชาลมปราณ ด้ายแดงภายในอาคารหลั่งรินเหมือนโลหิต ไอพลังปีศาจหมุนวนเหมือนคลื่นมหาสมุทร แสงสีแตกสลาย หยิงหยางป่วนปั่น
“เคล็ดหมื่นมารทมิฬ? ”
เคล็ดลมปราณขั้นเจตจำนงสวรรค์ บนโลกนี้หายากสุดแสนปานใด อีกทั้งผู้ฝึกวิชายังถูกสามเผ่าล่าสังหาร นับแต่สมัยปลายบรรพกาลเป็นต้นมา พวกมันก็ต้องเก็บตัวหลบซ่อน ทำให้วิชาพลิกฟ้าไม่รู้กี่มากน้อยต้องเสื่อมถอยลงไป
“โอ้ ที่แท้ท่านผู้เฒ่าก็จดจำได้”
ฉินจิ่วเกอถอนใจไปเปลาะหนึ่ง ทั้งตนและประมุขขุนเขา ต่างก็มีเฒ่าเสียเยว่ให้การคุ้มครองอยู่ แม้จะเป็นเพียงในนามก็ตาม ส่วนคนตรงหน้ามันนี้ อาจจะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งเข้าจริงๆ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ เป็นเพียงร่างที่เกิดจากการใช้แกนวิญญาณและพลังแห่งกฎเกณฑ์จำแลงขึ้นเท่านั้น
ในฐานะผู้ฝึกวิชาปีศาจเหมือนกัน กฎสรรพสิ่งเหมือนกัน อีกฝ่ายจะยังอยากหักหน้าบรรพตสละฟ้าอยู่อีกหรือ
“ข้าคืออาวุโสของพรรคโลหิตนภา ย่อมต้องคุ้นเคยกับเคล็ดลมปราณและทักษะยุทธ์ของพรรคเป็นอย่างดี เคล็ดหมื่นมารทมิฬ คือเคล็ดลมปราณขั้นเจตจำนงสวรรค์ แถมยังเป็นเคล็ดชั้นยอด นี่คงจะเป็นเฒ่าเสียเยว่ถ่ายทอดให้เจ้ากระมัง”
“อาวุโส เชิญท่านทั้งหกขึ้นมาร่วมดื่มชาด้านบนเถิด”
เกิดเสียงเชื้อชวนอันสูงศักดิ์มาจากเหนือสุดอาคาร ปราศจากซึ่งพลังมืดคุกคามเช่นก่อนหน้า โลกหล้าที่เคยเหน็บหนาวพลันเปลี่ยนเป็นสว่างใส เหลือไว้เพียงความนุ่มนวล
ฉินจิ่วเกอแม้จะเพิ่งประจันหน้ากับผู้เฒ่าตรงหน้าได้ไม่นาน แต่ไขสันหลังของมันกลับรู้สึกชาด้านเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน จนรู้สึกหายใจหายคอไม่สะดวก