ตอนที่ 164 สิบตำหนักโลหิตนภา

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ท่ามกลางชนชั้นกฎสรรพสิ่ง อาวุโสพรรคโลหิตนภาคือผู้มีพลังไร้ทัดเทียม

ฟังจากโทนเสียงของอีกฝ่าย มันจะต้องเป็นอาวุโสของพรรคไม่ผิดแน่ ดูเหมือนว่าตนจะคิดไม่ผิด ของฟรีไม่มีในโลก น่ากลัวว่าพรรคโลหิตนภาจะมีแผนโจมตีเมืองเทียนเอิน!

เช่นนั้น สุสานชั้นสุญญตา ย่อมต้องไม่มีอยู่จริง

แม้ในใจจะตื่นกลัว แต่ก็ไม่รู้ควรทำอย่างไร

หากอีกฝ่ายเป็นแค่เก้าดวงธาตุ เช่นนั้นก็ยังพอมีทางกำจัดหรือหลบหนีหากสถานการณ์พลิกผันได้อยู่ แต่ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันนี้คือร่างจำแลงของกฎสรรพสิ่งตัวจริงเสียจริง

ระหว่างมีพลังแห่งกฎเกณฑ์กับไม่มี ความแตกต่างย่อมมากมายมหาศาล ความแตกต่างที่ว่านี้ ฉินจิ่วเกอประสบรับรู้มาแล้วด้วยตัวเอง

ผู้เยี่ยมยุทธ์ภายในอาคารหลังนี้ เหนือกว่าที่ฉินจิ่วเกอจะจินตนาการได้

แถมนี่ยังส่งผลต่อความตั้งใจเดิมของมัน

จะวิ่งออกไปห้ามทุกคนไม่ให้ไปเขาเหมิงซานก็เป็นไปไม่ได้

ขืนทำเช่นนั้น นอกจากทุกคนจะไม่ฟังแล้ว ดีไม่ดีฉินจิ่วเกออาจตกเป็นเป้าครหาของฝูงชนไปเลยก็ได้

ด้วยผลประโยชน์บังตา ทำให้ใครก็ตามที่กล้าเข้ามาขวางพวกมันในขณะนั้น ต้องกลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าไปโดยปริยาย

อีกอย่าง ลำพังแค่ผู้เฒ่าตรงหน้า ก็ไม่ใช่คู่มือที่ฉินจิ่วเกอและสี่ประมุขจะรับมือด้วยได้แล้ว

ต่อให้อาศัยพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ยังเหลืออยู่สองขุมกำจัดร่างจำแลงของอีกฝ่ายไป แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยกำจัดต้นตอของปัญหา

ชั้นบนสุดของอาคาร การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยความอบอุ่นชวนให้สบายใจ

ของประดับทุกชิ้นล้วนสวยงามวิจิตร ในอากาศยังมีกลิ่นหอมลอยฟุ้งอย่างน่าผ่อนคลาย ซึ่งนับว่าอยู่เหนือความคาดหมายไปมาก

เดิมทียังคิดว่า ความที่เป็นแหล่งกบดานของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ก็ควรที่จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายคาวโลหิต ไอปีศาจแผ่กระจายอยู่ทุกอณู

ไม่ก็ใช้หนังคนมาเป็นผ้าปูเตียง รับประทานเนื้อมนุษย์แทนอาหาร

ฉากหลังเต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญหวนไห้ของผู้ล่วงลับ แม้แต่บานประตูหน้าต่างยังห้อยแขวนไว้ด้วยเศษชิ้นส่วนอวัยวะภายในอะไรเทือกนั้น

ไม่นึกว่า จะกลับกลายเป็นสถานที่อันหรูหราตระการตาเช่นนี้ไปได้

ทุกที่ที่มองไปแทบจะเป็นสีชมพูชวนใจวาบหวามไปหมด ท่ามกลางโลกหล้าหิมะขาวโพลนอย่างนี้ ยิ่งชวนให้เกิดความใกล้ชิดอยากที่จะผูกไมตรีด้วย

เก้าอี้ไม้ลี่ (แพร์) สลักลายสวยงาม มีชาผลไม้หอมจรุง โคมไฟกระจ่าง วาดลวดลายสัตว์เทพอันงดงาม

บนตั่งเตียงอันสูงศักดิ์ มีดอกพลับพลึงแดงที่ส่งกลิ่นอายยั่วยวนวางประดับอยู่พุ่มหนึ่ง

ถัดมาคือเจ้าของร่างผู้มีดวงหน้าซ่อนอยู่ใต้ผ้าปิดหน้าสีแดง ที่มุมทั้งสี่มีกระพรวนสีเงินยวงกระจุ๋มกระจิ๋มห้อยระย้าอยู่ ส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งรัญจวนใจเป็นพักๆ

นิ้วทั้งสิบขาวผ่องเป็นยองใยประสานอยู่เหนือเข่า ขาเหยียดออก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นดรุณีวัยแรกแย้มผู้ไม่ประสีประสาทางโลก

สี่ประมุขรวมทั้งหลงเฟิงต่างยืนอารักขาอยู่ด้านนอก ไม่ได้เข้าไป

พวกมันต้องเฝ้าระวังผู้ชราคนนั้นไว้ เกิดอีกฝ่ายประสงค์ร้ายขึ้นมา พวกตนก็จะไม่หูหนวกตาบอดไม่รู้เรื่องอะไรเลย

คนที่เข้าไปในห้องส่วนตัวของนางอสูรจึงมีแต่ฉินจิ่วเกอ และมีแต่มันที่กล้า

แม้แต่ตัวหลงเฟิงเองยังไม่สงสัย ว่าหากมันได้เข้าไป คงไม่แคล้วถูกกลืนจนไม่เหลือกระดูก

นางอสูรลวงวิญญาณชนิดนี้ จำต้องใช้จอมปีศาจสุดขอบโลกอย่างฉินจิ่วเกอเท่านั้น เรียกว่าเป็นการใช้พิษถอนพิษ

ฉินจิ่วเกอยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอึกๆ อย่างไม่มีพิธีรีตองใดๆ ตอนขึ้นบันไดเก้าชั้น มันต้องเสียเหงื่อไปไม่น้อย

แลบลิ้นเลียปากอย่างพึงพอใจ ฉินจิ่วเกอถึงค่อยวางแก้วลงกลับที่เดิม มือเปื้อนเล็กน้อย แต่ก็ยังเอนตัวพิงกับเก้าอี้ไม้ลี่อันเย็นฉ่ำอย่างไม่คิดจะสนใจ

ไป๋หลี่ชิงเฉิงเอนตัวขึ้นเล็กน้อย ต้นขาทั้งสองข้างหนีบบดบังทัศนียภาพอันชุ่มฉ่ำตรงกลางไว้ “พ่อหนุ่ม ไม่กลัวพี่สาวคนนี้วางยาเจ้าบ้างเลยรึ? ”

ฉินจิ่วเกอรับฟังจนหน้าเปลี่ยนสี รีบอ้าปากแล้วล้วงมือเข้าไปให้วุ่น

จากนั้นหยิบแก้วขึ้นมาถ่มน้ำลายเป็นการใหญ่ “ถุ่ดๆๆ อาหญิง ท่านตั้งใจขู่ข้าเล่นใช่หรือไม่ ข้าเพิ่งกระเดือกหมดแก้ว แล้วจะให้คายออกมาได้ยังไง”

มันไม่กลัวอีกฝ่ายวางยา หรือแม้แต่กู่บงการเทพก็ตาม ขอเพียงเส้นชีพจรภายในร่างไม่เสียหาย ฉินจิ่วเกอย่อมสามารถใช้คุณลักษณะทางยาของต้นพฤกษาภายในหลิงไถชำระล้างยาพิษทั้งมวลในโลกได้

“อาหญิง? ” ดวงหน้าขาวผ่องของไป๋หลี่ชิงเฉิงเปลี่ยนเป็นดำทะมึน

ว่ากันแล้ว ตนยังดูเด็กกว่าฝ่ายตรงข้ามอยู่หลายปีเลยด้วยซ้ำ แล้วคำเรียกขานนี่มันอะไร?

ฉินจิ่วเกอทำตาบ๊องแบ๊ว แก้มพอง ปากจู๋ แตะนิ้วจรดริมฝีปาก “หรือข้าจะเรียกผิดไป? ”

“เจ้าคิดยังไงล่ะ? ” กลิ่นหอมยั่วยวนรดพรมลงข้างหูฉินจิ่วเกอ หมายจะเป่าให้ใบหน้าของฉินจิ่วเกอต้องร้อนลวกดั่งไฟ

สุภาพชนแซ่ฉินที่ยอมฟังความคิดเห็นผู้อื่นเสมอมารีบพลิกลิ้น กล่าวเสียงหวาน “สวัสดีท่านน้า”

แคร่ก

เล็บใสของไป๋หลี่ชิงเฉิงกดลงกับผิวไม้บนตั่งเตียงจนเกิดเสียงลั่น

ผ่านไปเพียงครู่ ผิวไม้แข็งหนาก็เกิดรอยขูดลึกขึ้นแทน

ฉินจิ่วเกอลูบผมยาวบนหัวแล้วเอ่ยต่อ “ไอหยา ไฉนอยู่ๆ ตรงหน้าข้าถึงได้ปรากฏนางเซียนรูปงามล่มสวรรค์ขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย ที่แท้เป็นแม่นางไป๋หลี่นี่เอง แปลกจัง ไม่ใช่ว่าท่านเพิ่งร่วมเดินทางไปเขาเหมิงซานกับฝูงชนหรอกหรือ? ”

ไป๋หลี่ชิงเฉิงผุดยิ้มโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เจ้าหมอนี่ เจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอก รู้ทั้งรู้ก็ยังจะถาม

“ในเมื่อทราบดีว่านี่เป็นแผนของพรรคโลหิตนภาเรา เหตุใดถึงไม่เตือนสหายของเจ้าล่ะ? ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงลุกจากตั่งเตียงสูงศักดิ์ กระโปรงยาวสีแดงลากจรดพื้น

ฉินจิ่วเกอยกมือตบอก เอ่ยเสียงดัง “เข้าเป็นไส้ศึกที่แอบเข้ามาในเผ่ามนุษย์ แต่อันที่จริงเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ แล้วจะให้ข้าช่วยพวกตีสองหน้าอวดอ้างคุณธรรมแถมยังเห็นแก่ได้อย่างเจ้าพวกนั้นได้อย่างไร”

“เจ้าพวกนั้น ถึงภายนอกจะทำตัวดี ลับหลังกลับขายเพื่อนแย่งภรรยา ฆ่าคนเป็นผักปลา แต่กลับอวดอ้างคุณธรรมบังหน้า ไม่งั้นก็ล้วนเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล คบไม่ได้! ”

“พูดได้ดี! ”

คำพูดอันชอบธรรมของฉินจิ่วเกอเรียกความสนใจจากอาวุโสพรรคโลหิตนภาด้านนอกได้ชะงัด

เจ้าเด็กนี่ นับเป็นอัจฉริยะแห่งผู้ฝึกวิชาปีศาจโดยกำเนิด

ไป๋หลี่ชิงเฉิงยกมือปิดปากด้วยกิริยาชดช้อย รอยยิ้มของนางแม้แต่บุปผายังต้องหม่นหมอง “ขอเรียนถามนามท่านอาจารย์ของคุณชายได้หรือไม่? ”

ฉินจิ่วเกอล้วงเอาตราประจำบรรพตสละฟ้าออกมาอย่างผึ่งผาย——ตราประทับบรรพตผนึกธาตุ “ข้ากับเฒ่าเสียเยว่เป็นสหายที่คบหากันมานานจนมิอาจจดจำวันเวลาได้ ไม่นานมานี้มันหลุดรอดจากที่คุมขัง และส่งมอบบรรพตสละฟ้าให้ข้าดูแล”

จริงเท็จผสมปนเป ฉินจิ่วเกอบอกถึงเป้าหมายในการมาเมืองเทียนเอินให้ไป๋หลี่ชิงเฉิงได้ทราบ รวมๆ แล้วคือบอกกล่าวข้อมูลออกไปสองอย่าง

อย่างแรก เฒ่าเสียเยว่ยังไม่ตาย นี่ถือเป็นยันต์คุ้มภัยให้กับทั้งตนเองและบรรพตสละฟ้า เชื่อว่าพรรคโลหิตนภาพอได้รู้ก็จะไม่ลงมือกับตนอีก

อย่างที่สอง ตนคือผู้ฝึกวิชาปีศาจ และแฝงตัวเข้าสู่ภายในของฝ่ายศัตรู พวกเจ้าจะต้องเชื่อในความประพฤติของสุภาพบุรุษฉินคนนี้ โอเคหรือไม่

“คุณชายฉินนอกจากจะต้องกล้ำกลืนความอัปยศ และรับความไม่เป็นธรรมแล้ว ยังไม่ถามหาชื่อเสียงอีกด้วย” ไป๋หลี่ชิงเฉิงพอได้เอ่ยถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ของผู้ฝึกวิชาปีศาจขึ้นมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

ฉินจิ่วเกอประคองมือไปบนฟ้า “ผู้น้อยฉินปาเตา”

“คุณชายปาเตา ได้ยินชื่อเสียงมานาน* ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงแย้มกลีบปากงามเล็กน้อย เผยให้เห็นประกายกระจ่างสวยงาม (เป็นสำนวนเชิงว่า เป็นเกียรติที่ได้พบ)

นัยน์ตาของฉินจิ่วเกอเปลี่ยนเป็นลุกวาวขึ้นมา เอ่ยอย่างคาดหวัง “ไม่นึกเลยว่าแม่นางไป๋หลี่จะเคยได้ยินชื่อเสียงของข้าฉินปาเตา ไม่ทราบท่านไปได้ยินมาจากที่ใด? ”

ไป๋หลี่ชิงเฉิงตาชะงักค้าง ก่อนจะผุดยิ้มผงกศีรษะน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยคำ แต่ในใจรู้สึกอยากจะฟาดให้สักป้าบ

บุรุษหน้าเหม็นนี่ ยามเห็นนาง ไม่เพียงไม่เกิดความประหม่าลนลานสักเสี้ยว ยังไม่เกิดความพิศวาสในตัวนางเหมือนคนอื่นๆ อีกด้วย

ถึงจะดูสงบนิ่งมีการศึกษา แต่ที่จริงเป็นพวกไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ชวนให้ผู้คนแทบจะพุ่งเข้าไปฉีกปากให้ขาด

สี่ประมุขพอได้เห็นประมุขน้อยตีฝีปาก ในใจก็ค่อยสงบลงได้

ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีลวดลายเพียงใด ประมุขน้อยก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครมาก่อน เรื่องนี้แม้แต่หลงเฟิงก็ยังเห็นด้วย

“อันที่จริงสาเหตุที่ผู้น้อยมีนามว่าฉินปาเตา (แปดมีด) เป็นเพราะมีทักษะติดตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปราณสุริยัน พิสุทธิ์ไพศาล หรือกลั่นดวงธาตุ ล้วนลงมีดแค่แปดครั้งก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน ลงมีดแปดครั้ง ทุกชีวิตล้วนตกตาย พอเวลาผ่านไป คนก็เรียกกันติดปากว่าฉินปาเตา”

ไป๋หลี่ชิงเฉิงปิดริมฝีปากแดงสดเอาไว้เล็กน้อย ห้านิ้วขยับเอื่อย “ชิงเฉิงยินดีที่จะขอคำชี้แนะจากทักษะชั้นเลิศนี้ของคุณชาย ไม่ทราบเป็นแปดมีดใด? ”

ฉินจิ่วเกอกล่าวต่ออย่างเที่ยงตรง น้ำเสียงเคร่งขรึมไม่เสื่อมคลาย “มีดแรกสะบั้นฟ้า มีดสองผ่าแผ่นดิน มีดสามราพณาสูร มีดสี่แบ่งหยินหยางกำหนดความแปรผัน มีดห้ากำเนิดดาวมฤตยูโกลาหล มีดหกเที่ยงธรรมไร้หวั่นกลัว มีดเจ็ดถมสุญญาผ่ามังกร มีดแปดกลบฝังสุดขอบโลก”

“ซู๊ด” แพขนตาที่เลิกขึ้นสูงของไป๋หลี่ชิงเฉิงสั่นเทิ้มเบาๆ “คุณชายฉินช่างมีฝีมือลึกล้ำเกินคาดหยั่ง มิทราบผู้น้อยขอคำชี้แนะจากท่านได้หรือไม่? ”

“แค่กๆ ” ฉินจิ่วเกอจากที่สูงส่งดั่งทรราชพลันต้องกลายเป็นมุสิกขโมยข้าวสารไปในทันที “ทักษะยุทธ์ชนิดนี้ข้ายังไม่ได้ศึกษาจนปรุโปร่ง รอจนร่ำเรียนได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว ท้องนภาจะต้องอาบย้อมไปด้วยโลหิต พสุธาจะต้องยุบยวบลง สรรพชีวิตจะต้องถึงกัลปาวสาน”

“เยี่ยม! ”

อาวุโสพรรคโลหิตนภาที่มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาด้วยแทบจะถลาเข้ามาในห้องแล้วรับเอาฉินจิ่วเกอมาเป็นคนสนิทส่วนตัว จากนั้นเสาะหาสถานที่เหมาะๆ ไปยืนก่นด่าผู้คนให้สาแก่ใจสักสิบวันแปดคืน

เชื่อว่าอีกฝ่ายตั้งแต่เล็กจนโตจะต้องขาดความรัก ยามฝึกวิชาจะต้องขาดแคลเซียม ถึงได้โตมามีความแค้นอยากจะทำลายล้างโลกถึงเพียงนี้

ฉินจิ่วเกอเข้าใจแล้วว่า ที่เรียกกันรักองค์กรอุทิศให้องค์กร ที่แท้ก็คือการตะโกนคติประจำองค์กรออกมาให้ดังๆ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เพิ่มความอุทิศตน ถลำลึกเข้าไปในดงศัตรูให้มากกว่าเดิม กล้ำกลืนความอัปยศอยู่เงียบๆ เพื่อที่ว่าสักวันจะได้เอาคืนดีกว่า

“หมื่นสิ่งธรรมชาติเพื่อคน หมื่นคนไร้สิ่งเพื่อฟ้า* ฆ่าฆ่าฆ่า! ” หลังเป่าปากออกมาเบาๆ ฉินจิ่วเกอก็โบกไม้โบกมือร่ำร้องออกมาอีก (*ธรรมชาติมอบสรรพสิ่งแก่มนุษย์ แต่มนุษย์ไม่เคยมอบแม้แต่สิ่งเดียวตอบแทนธรรมชาติ สมควรฆ่า)

อาวุโสโลหิตนภาด้านนอกถูกคำพูดนี้สะกดใจทันที ประโยคนี้เปี่ยมกลิ่นอายฆ่าฟันอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่าหลังฆ่าคนยังสามารถเอ่ยร้องสโลแกนอันชอบธรรมออกมาได้อีก

ฉินจิ่วเกอซ่อนรอยยิ้มเย็นที่มุมปากเอาไว้ คำพูดประโยคนี้ที่จริงยังมีต่ออีกแปดคำ คือ: ภูตผีวิญญาณคอยจ้อง จงสังวรระวังไว้ให้ดี

แต่กับพวกที่ถลำตัวเข้าสู่วิถีปีศาจไปแล้วนั้น พวกมันไม่จำเป็น ทั้งไม่ยินยอมที่จะเห็นคำพูดพ่วงท้ายนี้ ดังนั้นแค่คำพูดท่อนแรกก็ถือว่าเกินพอ

“กล่าวได้ประเสริฐเพริศแพร้วจริงๆ หากมิใช่เพราะเฒ่าเสียเยว่นั่นชิงตัดหน้าไปก่อน ป่านนี้ข้าย่อมรับเจ้ามาเป็นศิษย์สายตรงไปแล้ว”

อาวุโสโลหิตนภาสุดท้ายก็ทนไม่ไหว ผลักประตูเข้ามา ตาของมันดำสนิทไร้ตาขาว ราวกับมองเข้าไปในหลุมดำไร้ก้นบึ้ง

“ขอบังอาจถามนามอันสูงส่งของอาวุโส”

“ข้าคือจ้วนหลุนหวัง!”

ในเมื่อเฒ่าเสียเยว่ได้ถ่ายทอดเคล็ดหมื่นมารทมิฬให้กับฉินจิ่วเกอแล้ว จ้วนหลุนหวังย่อมไม่อาจบีบคั้นอีกฝ่ายจนเกินไป

อาวุโสพรรคโลหิตนภา มีอยู่สิบท่านที่โดดเด่นที่สุด และถูกจัดอยู่ในสิบตำหนัก

สิบตำหนักนี้ แต่ละตำหนักปกครองด้วยจ้าวตำหนัก อันเป็นเสาหลักของพรรคโลหิตนภา ในหมู่กฎสรรพสิ่งด้วยกัน พวกมันยังถือว่าเป็นตัวตนที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร

ซึ่งก็แปลว่า พรรคโลหิตนภา อย่างน้อยต้องมีสัตว์ประหลาดเฒ่าชั้นกฎสรรพสิ่งที่ร้ายกาจสุดสูงอยู่สิบท่าน

ตำหนักจ้วนหลุนที่จ้วนหลุนหวังปกครองนั้น เป็นเพียงตำหนักสุดท้ายในหมู่ตำหนักทั้งสิบเท่านั้น

พอคิดดูก็จริง หากไม่มีรากฐานกำลังระดับนี้ พรรคโลหิตนภาไหนเลยจะกล้าตอแยสามเผ่า กระทั่งคิดทำลายมหาทวีปฉงหลิงทั้งทวีป

พันปีก่อน เฒ่าเสียเยว่และจ้วนหลุนหวังที่ครองตำแหน่งอยู่ในเวลานั้นเปิดศึกชิงตำแหน่งจ้าวตำหนักที่สิบกัน และพ่ายให้กับอีกฝ่ายในหนึ่งกระบวนท่า

ด้วยเหตุนี้ จ้วนหลุนหวังจึงไม่กล้าลองดีกับเฒ่าเสียเยว่มากเกินไป ยิ่งไม่กล้าต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม

“ตอนที่ข้าเห็นคุณชายฉินครั้งแรก ก็รู้ได้เลยว่าท่านจะต้องไม่ธรรมดา ที่แท้พวกเรากลับเป็นครอบครัวเดียวกัน” จ้วนหลุนหวังรู้สึกถูกชะตากับเจ้าเด็กตรงหน้าเหลือเกิน โดยเฉพาะกับความคิดอ่านของมัน เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะหาตัวจับยากในหมู่ผู้ฝึกวิชาเลยทีเดียว

ฉินจิ่วเกอปลุกขวัญตัวเอง แล้วจู่ๆ ก็เดินเข้าไปกุมมืออีกฝ่าย จับจ้องด้วยแววตาปลื้มปริ่ม “ท่านพี่อาวุโสช่างตาถึงจริงๆ สมแล้วที่สามารถฝึกปรือจนบรรลุชั้นกฎสรรพสิ่งได้ นัยน์ตาทั้งสองของท่านช่างยอดเยี่ยม ไม่อาจหาใดเทียม”

ยากที่จะมีคนชมมันอย่างไม่กระดากปากขนาดนี้ ฉินจิ่วเกอซาบซึ้งน้ำตาไหล

ถึงขั้นว่าทันทีที่ลืมตาดูโลก หากได้เข้าสู่ร่มธงของผู้ฝึกวิชาปีศาจเลยก็คงจะดี

ครั้งแรกที่เจอกัน ก็รู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นญาติใกล้ชิด เพียงแค้นใจที่ไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้

คนทั้งสองใช้เวลาร่วมครึ่งค่อนวัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเบื้องสูงเบื้องต่ำสรรพสิ่งในทวีปฉงหลิง

พูดคุยกันไม่หยุดปาก……

ท่ามกลางชนชั้นกฎสรรพสิ่ง อาวุโสพรรคโลหิตนภาคือผู้มีพลังไร้ทัดเทียม

ฟังจากโทนเสียงของอีกฝ่าย มันจะต้องเป็นอาวุโสของพรรคไม่ผิดแน่ ดูเหมือนว่าตนจะคิดไม่ผิด ของฟรีไม่มีในโลก น่ากลัวว่าพรรคโลหิตนภาจะมีแผนโจมตีเมืองเทียนเอิน!

เช่นนั้น สุสานชั้นสุญญตา ย่อมต้องไม่มีอยู่จริง

แม้ในใจจะตื่นกลัว แต่ก็ไม่รู้ควรทำอย่างไร

หากอีกฝ่ายเป็นแค่เก้าดวงธาตุ เช่นนั้นก็ยังพอมีทางกำจัดหรือหลบหนีหากสถานการณ์พลิกผันได้อยู่ แต่ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันนี้คือร่างจำแลงของกฎสรรพสิ่งตัวจริงเสียจริง

ระหว่างมีพลังแห่งกฎเกณฑ์กับไม่มี ความแตกต่างย่อมมากมายมหาศาล ความแตกต่างที่ว่านี้ ฉินจิ่วเกอประสบรับรู้มาแล้วด้วยตัวเอง

ผู้เยี่ยมยุทธ์ภายในอาคารหลังนี้ เหนือกว่าที่ฉินจิ่วเกอจะจินตนาการได้

แถมนี่ยังส่งผลต่อความตั้งใจเดิมของมัน

จะวิ่งออกไปห้ามทุกคนไม่ให้ไปเขาเหมิงซานก็เป็นไปไม่ได้

ขืนทำเช่นนั้น นอกจากทุกคนจะไม่ฟังแล้ว ดีไม่ดีฉินจิ่วเกออาจตกเป็นเป้าครหาของฝูงชนไปเลยก็ได้

ด้วยผลประโยชน์บังตา ทำให้ใครก็ตามที่กล้าเข้ามาขวางพวกมันในขณะนั้น ต้องกลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าไปโดยปริยาย

อีกอย่าง ลำพังแค่ผู้เฒ่าตรงหน้า ก็ไม่ใช่คู่มือที่ฉินจิ่วเกอและสี่ประมุขจะรับมือด้วยได้แล้ว

ต่อให้อาศัยพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ยังเหลืออยู่สองขุมกำจัดร่างจำแลงของอีกฝ่ายไป แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยกำจัดต้นตอของปัญหา

ชั้นบนสุดของอาคาร การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยความอบอุ่นชวนให้สบายใจ

ของประดับทุกชิ้นล้วนสวยงามวิจิตร ในอากาศยังมีกลิ่นหอมลอยฟุ้งอย่างน่าผ่อนคลาย ซึ่งนับว่าอยู่เหนือความคาดหมายไปมาก

เดิมทียังคิดว่า ความที่เป็นแหล่งกบดานของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ก็ควรที่จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายคาวโลหิต ไอปีศาจแผ่กระจายอยู่ทุกอณู

ไม่ก็ใช้หนังคนมาเป็นผ้าปูเตียง รับประทานเนื้อมนุษย์แทนอาหาร

ฉากหลังเต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญหวนไห้ของผู้ล่วงลับ แม้แต่บานประตูหน้าต่างยังห้อยแขวนไว้ด้วยเศษชิ้นส่วนอวัยวะภายในอะไรเทือกนั้น

ไม่นึกว่า จะกลับกลายเป็นสถานที่อันหรูหราตระการตาเช่นนี้ไปได้

ทุกที่ที่มองไปแทบจะเป็นสีชมพูชวนใจวาบหวามไปหมด ท่ามกลางโลกหล้าหิมะขาวโพลนอย่างนี้ ยิ่งชวนให้เกิดความใกล้ชิดอยากที่จะผูกไมตรีด้วย

เก้าอี้ไม้ลี่ (แพร์) สลักลายสวยงาม มีชาผลไม้หอมจรุง โคมไฟกระจ่าง วาดลวดลายสัตว์เทพอันงดงาม

บนตั่งเตียงอันสูงศักดิ์ มีดอกพลับพลึงแดงที่ส่งกลิ่นอายยั่วยวนวางประดับอยู่พุ่มหนึ่ง

ถัดมาคือเจ้าของร่างผู้มีดวงหน้าซ่อนอยู่ใต้ผ้าปิดหน้าสีแดง ที่มุมทั้งสี่มีกระพรวนสีเงินยวงกระจุ๋มกระจิ๋มห้อยระย้าอยู่ ส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งรัญจวนใจเป็นพักๆ

นิ้วทั้งสิบขาวผ่องเป็นยองใยประสานอยู่เหนือเข่า ขาเหยียดออก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นดรุณีวัยแรกแย้มผู้ไม่ประสีประสาทางโลก

สี่ประมุขรวมทั้งหลงเฟิงต่างยืนอารักขาอยู่ด้านนอก ไม่ได้เข้าไป

พวกมันต้องเฝ้าระวังผู้ชราคนนั้นไว้ เกิดอีกฝ่ายประสงค์ร้ายขึ้นมา พวกตนก็จะไม่หูหนวกตาบอดไม่รู้เรื่องอะไรเลย

คนที่เข้าไปในห้องส่วนตัวของนางอสูรจึงมีแต่ฉินจิ่วเกอ และมีแต่มันที่กล้า

แม้แต่ตัวหลงเฟิงเองยังไม่สงสัย ว่าหากมันได้เข้าไป คงไม่แคล้วถูกกลืนจนไม่เหลือกระดูก

นางอสูรลวงวิญญาณชนิดนี้ จำต้องใช้จอมปีศาจสุดขอบโลกอย่างฉินจิ่วเกอเท่านั้น เรียกว่าเป็นการใช้พิษถอนพิษ

ฉินจิ่วเกอยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอึกๆ อย่างไม่มีพิธีรีตองใดๆ ตอนขึ้นบันไดเก้าชั้น มันต้องเสียเหงื่อไปไม่น้อย

แลบลิ้นเลียปากอย่างพึงพอใจ ฉินจิ่วเกอถึงค่อยวางแก้วลงกลับที่เดิม มือเปื้อนเล็กน้อย แต่ก็ยังเอนตัวพิงกับเก้าอี้ไม้ลี่อันเย็นฉ่ำอย่างไม่คิดจะสนใจ

ไป๋หลี่ชิงเฉิงเอนตัวขึ้นเล็กน้อย ต้นขาทั้งสองข้างหนีบบดบังทัศนียภาพอันชุ่มฉ่ำตรงกลางไว้ “พ่อหนุ่ม ไม่กลัวพี่สาวคนนี้วางยาเจ้าบ้างเลยรึ? ”

ฉินจิ่วเกอรับฟังจนหน้าเปลี่ยนสี รีบอ้าปากแล้วล้วงมือเข้าไปให้วุ่น

จากนั้นหยิบแก้วขึ้นมาถ่มน้ำลายเป็นการใหญ่ “ถุ่ดๆๆ อาหญิง ท่านตั้งใจขู่ข้าเล่นใช่หรือไม่ ข้าเพิ่งกระเดือกหมดแก้ว แล้วจะให้คายออกมาได้ยังไง”

มันไม่กลัวอีกฝ่ายวางยา หรือแม้แต่กู่บงการเทพก็ตาม ขอเพียงเส้นชีพจรภายในร่างไม่เสียหาย ฉินจิ่วเกอย่อมสามารถใช้คุณลักษณะทางยาของต้นพฤกษาภายในหลิงไถชำระล้างยาพิษทั้งมวลในโลกได้

“อาหญิง? ” ดวงหน้าขาวผ่องของไป๋หลี่ชิงเฉิงเปลี่ยนเป็นดำทะมึน

ว่ากันแล้ว ตนยังดูเด็กกว่าฝ่ายตรงข้ามอยู่หลายปีเลยด้วยซ้ำ แล้วคำเรียกขานนี่มันอะไร?

ฉินจิ่วเกอทำตาบ๊องแบ๊ว แก้มพอง ปากจู๋ แตะนิ้วจรดริมฝีปาก “หรือข้าจะเรียกผิดไป? ”

“เจ้าคิดยังไงล่ะ? ” กลิ่นหอมยั่วยวนรดพรมลงข้างหูฉินจิ่วเกอ หมายจะเป่าให้ใบหน้าของฉินจิ่วเกอต้องร้อนลวกดั่งไฟ

สุภาพชนแซ่ฉินที่ยอมฟังความคิดเห็นผู้อื่นเสมอมารีบพลิกลิ้น กล่าวเสียงหวาน “สวัสดีท่านน้า”

แคร่ก

เล็บใสของไป๋หลี่ชิงเฉิงกดลงกับผิวไม้บนตั่งเตียงจนเกิดเสียงลั่น

ผ่านไปเพียงครู่ ผิวไม้แข็งหนาก็เกิดรอยขูดลึกขึ้นแทน

ฉินจิ่วเกอลูบผมยาวบนหัวแล้วเอ่ยต่อ “ไอหยา ไฉนอยู่ๆ ตรงหน้าข้าถึงได้ปรากฏนางเซียนรูปงามล่มสวรรค์ขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย ที่แท้เป็นแม่นางไป๋หลี่นี่เอง แปลกจัง ไม่ใช่ว่าท่านเพิ่งร่วมเดินทางไปเขาเหมิงซานกับฝูงชนหรอกหรือ? ”

ไป๋หลี่ชิงเฉิงผุดยิ้มโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เจ้าหมอนี่ เจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอก รู้ทั้งรู้ก็ยังจะถาม

“ในเมื่อทราบดีว่านี่เป็นแผนของพรรคโลหิตนภาเรา เหตุใดถึงไม่เตือนสหายของเจ้าล่ะ? ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงลุกจากตั่งเตียงสูงศักดิ์ กระโปรงยาวสีแดงลากจรดพื้น

ฉินจิ่วเกอยกมือตบอก เอ่ยเสียงดัง “เข้าเป็นไส้ศึกที่แอบเข้ามาในเผ่ามนุษย์ แต่อันที่จริงเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ แล้วจะให้ข้าช่วยพวกตีสองหน้าอวดอ้างคุณธรรมแถมยังเห็นแก่ได้อย่างเจ้าพวกนั้นได้อย่างไร”

“เจ้าพวกนั้น ถึงภายนอกจะทำตัวดี ลับหลังกลับขายเพื่อนแย่งภรรยา ฆ่าคนเป็นผักปลา แต่กลับอวดอ้างคุณธรรมบังหน้า ไม่งั้นก็ล้วนเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล คบไม่ได้! ”

“พูดได้ดี! ”

คำพูดอันชอบธรรมของฉินจิ่วเกอเรียกความสนใจจากอาวุโสพรรคโลหิตนภาด้านนอกได้ชงัด

เจ้าเด็กนี่ นับเป็นอัจฉริยะแห่งผู้ฝึกวิชาปีศาจโดยกำเนิด

ไป๋หลี่ชิงเฉิงยกมือปิดปากด้วยกิริยาชดช้อย รอยยิ้มของนางแม้แต่บุปผายังต้องหม่นหมอง “ขอเรียนถามนามท่านอาจารย์ของคุณชายได้หรือไม่? ”

ฉินจิ่วเกอล้วงเอาตราประจำบรรพตสละฟ้าออกมาอย่างผึ่งผาย——ตราประทับบรรพตผนึกธาตุ “ข้ากับเฒ่าเสียเยว่เป็นสหายที่คบหากันมานานจนมิอาจจดจำวันเวลาได้ ไม่นานมานี้มันหลุดรอดจากที่คุมขัง และส่งมอบบรรพตสละฟ้าให้ข้าดูแล”

จริงเท็จผสมปนเป ฉินจิ่วเกอบอกถึงเป้าหมายในการมาเมืองเทียนเอินให้ไป๋หลี่ชิงเฉิงได้ทราบ รวมๆ แล้วคือบอกกล่าวข้อมูลออกไปสองอย่าง

อย่างแรก เฒ่าเสียเยว่ยังไม่ตาย นี่ถือเป็นยันต์คุ้มภัยให้กับทั้งตนเองและบรรพตสละฟ้า เชื่อว่าพรรคโลหิตนภาพอได้รู้ก็จะไม่ลงมือกับตนอีก

อย่างที่สอง ตนคือผู้ฝึกวิชาปีศาจ และแฝงตัวเข้าสู่ภายในของฝ่ายศัตรู พวกเจ้าจะต้องเชื่อในความประพฤติของสุภาพบุรุษฉินคนนี้ โอเคหรือไม่

“คุณชายฉินนอกจากจะต้องกล้ำกลืนความอัปยศ และรับความไม่เป็นธรรมแล้ว ยังไม่ถามหาชื่อเสียงอีกด้วย” ไป๋หลี่ชิงเฉิงพอได้เอ่ยถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ของผู้ฝึกวิชาปีศาจขึ้นมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

ฉินจิ่วเกอประคองมือไปบนฟ้า “ผู้น้อยฉินปาเตา”

“คุณชายปาเตา ได้ยินชื่อเสียงมานาน* ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงแย้มกลีบปากงามเล็กน้อย เผยให้เห็นประกายกระจ่างสวยงาม (เป็นสำนวนเชิงว่า เป็นเกียรติที่ได้พบ)

นัยน์ตาของฉินจิ่วเกอเปลี่ยนเป็นลุกวาวขึ้นมา เอ่ยอย่างคาดหวัง “ไม่นึกเลยว่าแม่นางไป๋หลี่จะเคยได้ยินชื่อเสียงของข้าฉินปาเตา ไม่ทราบท่านไปได้ยินมาจากที่ใด? ”

ไป๋หลี่ชิงเฉิงตาชะงักค้าง ก่อนจะผุดยิ้มผงกศีรษะน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยคำ แต่ในใจรู้สึกอยากจะฟาดให้สักป้าบ

บุรุษหน้าเหม็นนี่ ยามเห็นนาง ไม่เพียงไม่เกิดความประหม่าลนลานสักเสี้ยว ยังไม่เกิดความพิศวาสในตัวนางเหมือนคนอื่นๆ อีกด้วย

ถึงจะดูสงบนิ่งมีการศึกษา แต่ที่จริงเป็นพวกไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ชวนให้ผู้คนแทบจะพุ่งเข้าไปฉีกปากให้ขาด

สี่ประมุขพอได้เห็นประมุขน้อยตีฝีปาก ในใจก็ค่อยสงบลงได้

ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีลวดลายเพียงใด ประมุขน้อยก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครมาก่อน เรื่องนี้แม้แต่หลงเฟิงก็ยังเห็นด้วย

“อันที่จริงสาเหตุที่ผู้น้อยมีนามว่าฉินปาเตา (แปดมีด) เป็นเพราะมีทักษะติดตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปราณสุริยัน พิสุทธิ์ไพศาล หรือกลั่นดวงธาตุ ล้วนลงมีดแค่แปดครั้งก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน ลงมีดแปดครั้ง ทุกชีวิตล้วนตกตาย พอเวลาผ่านไป คนก็เรียกกันติดปากว่าฉินปาเตา”

ไป๋หลี่ชิงเฉิงปิดริมฝีปากแดงสดเอาไว้เล็กน้อย ห้านิ้วขยับเอื่อย “ชิงเฉิงยินดีที่จะขอคำชี้แนะจากทักษะชั้นเลิศนี้ของคุณชาย ไม่ทราบเป็นแปดมีดใด? ”

ฉินจิ่วเกอกล่าวต่ออย่างเที่ยงตรง น้ำเสียงเคร่งขรึมไม่เสื่อมคลาย “มีดแรกสะบั้นฟ้า มีดสองผ่าแผ่นดิน มีดสามราพณาสูร มีดสี่แบ่งหยินหยางกำหนดความแปรผัน มีดห้ากำเนิดดาวมฤตยูโกลาหล มีดหกเที่ยงธรรมไร้หวั่นกลัว มีดเจ็ดถมสุญญาผ่ามังกร มีดแปดกลบฝังสุดขอบโลก”

“ซู๊ด” แพขนตาที่เลิกขึ้นสูงของไป๋หลี่ชิงเฉิงสั่นเทิ้มเบาๆ “คุณชายฉินช่างมีฝีมือลึกล้ำเกินคาดหยั่ง มิทราบผู้น้อยขอคำชี้แนะจากท่านได้หรือไม่? ”

“แค่กๆ ” ฉินจิ่วเกอจากที่สูงส่งดั่งทรราชพลันต้องกลายเป็นมุสิกขโมยข้าวสารไปในทันที “ทักษะยุทธ์ชนิดนี้ข้ายังไม่ได้ศึกษาจนปรุโปร่ง รอจนร่ำเรียนได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว ท้องนภาจะต้องอาบย้อมไปด้วยโลหิต พสุธาจะต้องยุบยวบลง สรรพชีวิตจะต้องถึงกาลปวสาน”

“เยี่ยม! ”

อาวุโสพรรคโลหิตนภาที่มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาด้วยแทบจะถลาเข้ามาในห้องแล้วรับเอาฉินจิ่วเกอมาเป็นคนสนิทส่วนตัว จากนั้นเสาะหาสถานที่เหมาะๆ ไปยืนก่นด่าผู้คนให้สาแก่ใจสักสิบวันแปดคืน

เชื่อว่าอีกฝ่ายตั้งแต่เล็กจนโตจะต้องขาดความรัก ยามฝึกวิชาจะต้องขาดแคลเซียม ถึงได้โตมามีความแค้นอยากจะทำลายล้างโลกถึงเพียงนี้

ฉินจิ่วเกอเข้าใจแล้วว่า ที่เรียกกันรักองค์กรอุทิศให้องค์กร ที่แท้ก็คือการตะโกนคติประจำองค์กรออกมาให้ดังๆ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เพิ่มความอุทิศตน ถลำลึกเข้าไปในดงศัตรูให้มากกว่าเดิม กล้ำกลืนความอัปยศอยู่เงียบๆ เพื่อที่ว่าสักวันจะได้เอาคืนดีกว่า

“หมื่นสิ่งธรรมชาติเพื่อคน หมื่นคนไร้สิ่งเพื่อฟ้า* ฆ่าฆ่าฆ่า! ” หลังเป่าปากออกมาเบาๆ ฉินจิ่วเกอก็โบกไม้โบกมือร่ำร้องออกมาอีก (*ธรรมชาติมอบสรรพสิ่งแก่มนุษย์ แต่มนุษย์ไม่เคยมอบแม้แต่สิ่งเดียวตอบแทนธรรมชาติ สมควรฆ่า)

อาวุโสโลหิตนภาด้านนอกถูกคำพูดนี้สะกดใจทันที ประโยคนี้เปี่ยมกลิ่นอายฆ่าฟันอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่าหลังฆ่าคนยังสามารถเอ่ยร้องสโลแกนอันชอบธรรมออกมาได้อีก

ฉินจิ่วเกอซ่อนรอยยิ้มเย็นที่มุมปากเอาไว้ คำพูดประโยคนี้ที่จริงยังมีต่ออีกแปดคำ คือ: ภูติผีวิญญาณ์คอยจ้อง จงสังวรณ์ระวังไว้ให้ดี

แต่กับพวกที่ถลำตัวเข้าสู่วิถีปีศาจไปแล้วนั้น พวกมันไม่จำเป็น ทั้งไม่ยินยอมที่จะเห็นคำพูดพ่วงท้ายนี้ ดังนั้นแค่คำพูดท่อนแรกก็ถือว่าเกินพอ

“กล่าวได้ประเสริฐเพริศแพร้วจริงๆ หากมิใช่เพราะเฒ่าเสียเยว่นั่นชิงตัดหน้าไปก่อน ป่านนี้ข้าย่อมรับเจ้ามาเป็นศิษย์สายตรงไปแล้ว”

อาวุโสโลหิตนภาสุดท้ายก็ทนไม่ไหว ผลักประตูเข้ามา ตาของมันดำสนิทไร้ตาขาว ราวกับมองเข้าไปในหลุมดำไร้ก้นบึ้ง

“ขอบังอาจถามนามอันสูงส่งของอาวุโส”

“ข้าคือจ้วนหลุนหวัง!”

ในเมื่อเฒ่าเสียเยว่ได้ถ่ายทอดเคล็ดหมื่นมารทมิฬให้กับฉินจิ่วเกอแล้ว จ้วนหลุนหวังย่อมไม่อาจบีบคั้นอีกฝ่ายจนเกินไป

อาวุโสพรรคโลหิตนภา มีอยู่สิบท่านที่โดดเด่นที่สุด และถูกจัดอยู่ในสิบตำหนัก

สิบตำหนักนี้ แต่ละตำหนักปกครองด้วยจ้าวตำหนัก อันเป็นเสาหลักของพรรคโลหิตนภา ในหมู่กฎสรรพสิ่งด้วยกัน พวกมันยังถือว่าเป็นตัวตนที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร

ซึ่งก็แปลว่า พรรคโลหิตนภา อย่างน้อยต้องมีสัตว์ประหลาดเฒ่าชั้นกฎสรรพสิ่งที่ร้ายกาจสุดสูงอยู่สิบท่าน

ตำหนักจ้วนหลุนที่จ้วนหลุนหวังปกครองนั้น เป็นเพียงตำหนักสุดท้ายในหมู่ตำหนักทั้งสิบเท่านั้น

พอคิดดูก็จริง หากไม่มีรากฐานกำลังระดับนี้ พรรคโลหิตนภาไหนเลยจะกล้าตอแยสามเผ่า กระทั่งคิดทำลายมหาทวีปฉงหลิงทั้งทวีป

พันปีก่อน เฒ่าเสียเยว่และจ้วนหลุนหวังที่ครองตำแหน่งอยู่ในเวลานั้นเปิดศึกชิงตำแหน่งจ้าวตำหนักที่สิบกัน และพ่ายให้กับอีกฝ่ายในหนึ่งกระบวนท่า

ด้วยเหตุนี้ จ้วนหลุนหวังจึงไม่กล้าลองดีกับเฒ่าเสียเยว่มากเกินไป ยิ่งไม่กล้าต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม

“ตอนที่ข้าเห็นคุณชายฉินครั้งแรก ก็รู้ได้เลยว่าท่านจะต้องไม่ธรรมดา ที่แท้พวกเรากลับเป็นครอบครัวเดียวกัน” จ้วนหลุนหวังรู้สึกถูกชะตากับเจ้าเด็กตรงหน้าเหลือเกิน โดยเฉพาะกับความคิดอ่านของมัน เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะหาตัวจับยากในหมู่ผู้ฝึกวิชาเลยทีเดียว

ฉินจิ่วเกอปลุกขวัญตัวเอง แล้วจู่ๆ ก็เดินเข้าไปกุมมืออีกฝ่าย จับจ้องด้วยแววตาปลื้มปริ่ม “ท่านพี่อาวุโสช่างตาถึงจริงๆ สมแล้วที่สามารถฝึกปรือจนบรรลุชั้นกฎสรรพสิ่งได้ นัยน์ตาทั้งสองของท่านช่างยอดเยี่ยม ไม่อาจหาใดเทียม”

ยากที่จะมีคนชมมันอย่างไม่กระดากปากขนาดนี้ ฉินจิ่วเกอซาบซึ้งน้ำตาไหล

ถึงขั้นว่าทันทีที่ลืมตาดูโลก หากได้เข้าสู่ร่มธงของผู้ฝึกวิชาปีศาจเลยก็คงจะดี

ครั้งแรกที่เจอกัน ก็รู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นญาติใกล้ชิด เพียงแค้นใจที่ไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้

คนทั้งสองใช้เวลาร่วมครึ่งค่อนวัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเบื้องสูงเบื้องต่ำสรรพสิ่งในทวีปฉงหลิง

พูดคุยกันไม่หยุดปาก……