ใต้หล้าในปัจจุบัน มนุษย์มารอสูรสามเผ่าพันธุ์ร่วมมือกันปราบปรามผู้ฝึกวิชาปีศาจ
จ้วนหลุนหวังในฐานะที่เป็นหนึ่งในสิบอาวุโสใหญ่ของพรรคโลหิตนภา ย่อมต้องติดทำเนียบล่าสังหาร หากกล้าบุกไปถึงผืนอาณาเขตของสามเผ่า เชื่อว่าคงไปปลุกให้สัตว์ประหลาดเฒ่าที่กำลังหลับใหลต้องตื่นขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อย
แม้แต่แผนการฮุบกลืนเมืองเทียนเอินในครั้งนี้ จ้วนหลุนหวังก็ยังใช้เพียงร่างจำแลงที่อยู่ในขอบเขตเก้าดวงธาตุสูงสุด นี่ก็เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจจากสามเผ่า จนสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นตามมา
ขณะที่ฉินจิ่วเกอและจ้วนหลุนหวังพูดคุยกันอย่างถูกคอจนทิ้งไป๋หลี่ชิงเฉิงไว้ตรงมุมห้อง ในที่สุดภายใต้การคะยั้นคะยอจากฉินจิ่วเกอ ไอพลังปีศาจก็กวาดกราดครอบคลุมเมืองเทียนเอิน จนเสาะพบไก่อ้วนพีที่ยังหลงเหลืออยู่หลายตัว ก่อนจะทำการเชือดประหารพวกมันลงที่ตรงนั้น
โลหิตหลั่งไหลเต็มท้องทุ่ง ขนไก่กระจายเต็มฟ้า เสียงหัวเราะของภูติผีปีศาจดังระงมเนิ่นนานยังไม่จางหาย
ประมุขน้อยบรรพตสละฟ้าออกหน้าลงมือด้วยตัวเอง แสดงให้เป็นที่ประจักษ์ว่าอะไรจึงเรียกกรรมวิธีการย่างไก่อันจริงแท้ดั้งเดิม ซึ่งก็ได้รับเสียงปรบมือสนับสนุนอย่างล้นหลาม
ขณะที่กำลังฮึกเหิมได้ที่ ฉินจิ่วเกอก็แนะมาอีกว่าในเมื่อต้องการปิดล้อมจัดการยอดฝีมือเมืองเทียนเอิน มิสู้ให้สี่ประมุขขุนเขาร่วมมือกับพรรคโลหิตนภา ช่วยเป็นแขนขาให้อีกแรงหนึ่ง
จ้วนหลุนหวังยิ่งมายิ่งชอบใจเจ้าฉินจิ่วเกอผู้นี้ จึงปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความอ่อนโยนอะลุ่มอล่วยเหมือนลูกเหมือนหลาน
อันใดเรียกยามคับขันพิสูจน์ใจ อันใดเรียกบททดสอบพิสูจน์ธาตุแท้ มันแทบจะปรี่เข้าไปมอบถ้วยรางวัลผู้ฝึกวิชาปีศาจดีเด่นแห่งทวีปฉงหลิงให้แก่อีกฝ่ายอยู่แล้ว
ในฐานะสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่ง ต่อให้เป็นเพียงร่างจำแลง แต่บนตัวก็ยังมีของดีอยู่ไม่น้อย
จ้วนหลุนหวังใจกว้างสุนทาน ตบรางวัลให้บรรพตสละฟ้าอย่างงาม เรียกว่าไม่น้อยหน้าทรัพยากรหนึ่งในสามที่ตระกูลจวงได้รับเลยทีเดียว
จากนั้น ฉินจิ่วเกอก็อาสาเดินทางไปเขาเหมิงซาน
ในเวลาอันสั้น เมืองเทียนเอินย่อมไม่อาจรวบรวมขุมกำลังทั้งหมดได้
มันพาหลงเฟิงไปด้วย จะได้แฝงตัวเข้าไปในดงศัตรู แล้วค่อยส่งข่าวคราวออกมา
ส่วนสี่ประมุขขุนเขา ให้ปักหลักอยู่ที่เมืองเทียนเอิน ตระเตรียมฆ่าคนก่อเพลิงได้ทุกเมื่อ
จ้วนหลุนหวังแน่นอนย่อมไม่คัดค้าน สมแล้วที่เป็นบุคคลชั้นนำของขุมอำนาจมืด ความคิดอ่านของมันต่างไปจากคนปกติอยู่ไม่น้อย ช่างน่าประทับใจยิ่ง
เย็นวันนั้น ทั้งสองฝ่ายร่ำลากันอย่างอิดออด หวังว่าพบกันครั้งหน้า ใต้หล้าจะตกอยู่ในขุมนรกที่มีแต่การนองเลือด
ก่อนที่จะจากไป สี่ประมุขก็เข้ามากระซิบกระซาบกับฉินจิ่วเกอ โดยดูให้แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ด้วย
ประมุขหยางลดเสียงลงแล้วกระซิบถาม “ประมุขน้อย ท่านตั้งใจจะแฝงตัวเข้าพรรคโลหิตนภาจริงๆ? ”
ฉินจิ่วเกอพลันเดือดพล่าน “จะไปใช่ได้ยังไง? ข้าคนนี้จิตภักดีคุณธรรมจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ และมีหลักการถึงเพียงนี้ จะทำเรื่องต่ำช้าที่แม้แต่เดียรัจฉานยังไม่ทำออกมาได้? ”
ประมุขหลิวหนังตากระตุกวูบ ตอนที่เจ้าร่วมก่นด่าประชาโลกไปกับจ้วนหลุนหวังเมื่อครู่ ไม่ได้พูดแบบนี้เลยนี่
ฉินจิ่วเกอทอดถอนใจ “ข้าอุตส่าห์ยอมทำให้เกียรติประวัติของตัวเองต้องด่างพร้อยเชียวนะ เพื่อที่จะแฝงเข้าไปในดงศัตรู ก็ต้องได้รับความเชื่อใจจากศัตรูเสียก่อน ในอดีตเคยมีคนละทิ้งชีวิตแต่ไม่ยอมทิ้งหลักการ ทำทุกวิถีทางโดยไม่สนใจความตาย มาในยุคข้า กับอีแค่ชื่อเสียงไร้สาระนั่น จะให้ข้าทำเรื่องต่ำทรามที่ชวนให้ผู้คนชี้นิ้วครหาได้อย่างไร? ”
“ประมุขน้อยละทิ้งชีวิตผดุงความยุติธรรม โปรดรับความเคารพเลื่อมใสจากพวกเราด้วย” ประมุขโหวกล่าวจบ ก็ยกมือทาบอก “พอได้ฟังคำท่านแล้ว ข้าเหล่าโหวก็รู้สึกใจอุ่นวาบ เหมือนเลือดเข้าไปสูบเลี้ยงจนถึงก้นบึ้งหัวใจ”
“ย่อมแน่อยู่แล้ว ดั่งคำที่ว่า บารมีวีรชนอยู่ยงฟ้าดิน พันปีไม่เสื่อมคลาย คำพูดประโยคนี้ คือหลักการวีรบุรุษ จงอย่าลืม ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ผู้ฝึกวิชาปีศาจก็คือศัตรูหมายเลขหนึ่งของพวกเรา ธรรมะอธรรมมิอาจอยู่ร่วม วิถีราชันมีเพียงหนึ่งเดียว! ”
ฉินจิ่วเกอจงเกลียดจงชังผู้ฝึกวิชาปีศาจจนถึงกระดูก
เพียงแต่ บุคคลสามชาติภพอย่างมัน ไม่มีวันทำเรื่องไม่คุ้มค่าอย่างการที่เห็นผู้ฝึกวิชาปีศาจเมื่อใด ก็จะปรี่เข้าไปแลกชีวิตด้วยเมื่อนั้นอย่างเด็ดขาด คิดทำลายพวกมัน จำต้องทำลายให้ลึกลงไปถึงแก่น มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะถอนรากถอนโคนพวกมันได้อย่างแท้จริง
วิถีราชันและวิถีทรราช ผู้กล้าและวีรชน ในแง่ความหมายที่สะท้อนออกมาอาจไม่เหมือนกัน แต่โดยรวมก็ส่องแสงไปชั่วยุคชั่วกาลเหมือนๆ กัน
ฉินจิ่วเกอลากเหล่าประมุขมาอีกด้าน เอ่ย “รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงให้พวกเจ้ารั้งอยู่ที่นี่เพื่อทำงานลับหลังศัตรู? ”
รอยแผลเป็นบนใบหน้าของประมุขหลิวขยับไหว ใบหน้าชั่วร้ายอำมหิตสั่นกระตุกเล็กน้อยขณะกล่าว “ข้ารู้ ประมุขน้อยต้องการให้พวกเราฉวยจังหวะที่พวกมันไม่ทันระวังตัว เสือกมีดแทงใส่ข้างหลังพวกมันหนึ่งกระซวก! ”
ฉินจิ่วเกอปรายตามองอีกฝ่าย “คราวหน้ายามออกไปอย่าได้บอกใครเชียวว่าข้ากับเจ้าเกี่ยวข้องกัน ข้ากลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจข้าผิดไป”
ประมุขโหวผู้หัวไว รีบตอบ “ข้าเข้าใจเจตนาของประมุขน้อย นั่นคือท่านต้องการให้พวกเราหาโอกาสกำจัดมาร ในขณะเดียวกันก็รักษาขนบธรรมเนียมของเราไว้ ใช้กำปั้นและเลือดเนื้อ ผดุงความยุติธรรมอันแจ่มจรัส! เพื่ออนาคตของมวลมนุษยชาติ สู้ไม่ถอย! ”
ฉินจิ่วเกอพยักหน้า “ประมุขโหวพูดถูกแล้ว เจ้าช่างรู้ใจข้าจริงๆ พอกลับไปบรรพตสละฟ้าเมื่อไหร่ ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
ทอดตามองความเวิ้งว้างไกลออกไป อนาคตเป็นเช่นไรยังไม่อาจทราบ
ผืนดินสีเหลืองกระดำกระด่างกับท้องนภาสีครามสวย ท่ามกลางกระแสลมฝุ่นละอองในผืนพรมแดน ความสะอาดบริสุทธิ์และสกปรกต่างก็ผสมปนเปจนมิอาจแยกแยะ
ก็เหมือนกับธรรมะและอธรรม ความผิด ความถูก ต่างก็ยากจำแนก มองไม่ชัดว่าความต่างอยู่ตรงที่ใด
ยืนอยู่บนเส้นทางเก่าแก่ที่ถูกฝุ่นละอองกวาดเซาะจนเป็นหลุมเป็นบ่อ พฤกษาต้นเก่าปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป ภายในจิตใจมนุษย์ ก่อเกิดความชอบธรรมเล็กจ้อยทว่าปลอบโยนหัวใจขึ้นมาอย่างเปล่าประโยชน์
“เมืองเทียนเอินมีทำเลที่สำคัญมาก ฝั่งเหนือประชิดศูนย์กลางการปกครองของเผ่าอสูร ฝั่งตะวันตกเชื่อมกับสามล้านปราการทางธรรมชาติของเผ่ามาร ใต้อยู่ติดแปดหมื่นมหาบรรพตเผ่ามนุษย์ ตะวันออกใกล้กับทะเลใหญ่ สามเผ่าพันธุ์ย่อมไม่มีทางนิ่งมองเมืองเทียนเอินถูกพรรคโลหิตนภายึดครองอยู่เฉยๆ แน่”
“แต่ถ้าไปติดต่อเจรจากับสามเผ่าในตอนนี้ เกรงว่าพวกนั้นจะไม่มีวันยอมเชื่อ กลับกัน รังแต่จะสร้างปัญหาใส่ตัวเสียเปล่า” ประมุขโหวล่วงรู้ความคิดของฉินจิ่วเกอ โลกหล้าสุดไพศาล เพียงกลัวว่าจะถูกพัดเข้าไปในวังวนแห่งความโกลาหลอีกครั้ง
นัยน์ตาฉินจิ่วเกอสะท้อนประกายโลหิต โลกหล้าหมุนวนอยู่ภายใน “ที่ข้าให้พวกเจ้าทั้งสี่รั้งอยู่ ก็เพื่อเป็นกำลังให้เมืองเทียนเอินรอดพ้นจากหายนะในครั้งนี้ไปได้ แผ่นดินนี้จะกลับกลายเป็นขุมนรกบนดินหรือไม่ก็คงต้องดูที่พวกเจ้าแล้ว”
สี่ประมุขคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง แสดงความเคารพ “เชิญประมุขน้อยรับสั่งมาได้”
“คาดว่าก่อนที่เมืองเทียนเอินจะถูกยึดครอง พรรคโลหิตนภาย่อมไม่กล้าประกาศให้โลกรู้ กำลังรบของพวกมันบางทีอาจเหนือกว่าหนึ่งในสามเผ่าใด แต่ถ้าสามเผ่าผนึกกำลังกัน พวกมันก็มีแต่ต้องถอยอยู่ถ่ายเดียว มิเช่นนั้นแม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างจ้วนหลุนหวัง ยังกล้าเพียงใช้ร่างจำแลงอยู่เช่นนี้หรือ”
“ดูจากตรงนี้ เพื่อไม่เป็นการดึงดูดความสนใจจากสามเผ่า พรรคโลหิตนภาย่อมไม่ส่งยอดฝีมือออกมามากเท่าใด ตอนที่พวกเจ้าแฝงตัวเข้าไป จ้วนหลุนหวังจะต้องส่งพวกเจ้าไปทำภารกิจ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็แค่ลอบเปิดเผยร่องรอยของพวกมันให้สามเผ่าได้ทราบ”
“ประมุขน้อยใช่ต้องการให้พวกเราสืบหาแหล่งกบดานของพวกผู้ฝึกวิชาปีศาจ จากนั้นเปิดเผยร่องรอย แล้วชักนำความสนใจของยอดฝีมือจากสามเผ่ามาที่เมืองเทียนเอิน? ” ประมุขหยางปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในทันที
ไกลออกไป ชั้นเมฆอันมืดฟ้ามัวดินลดตัวหายเข้าไปหลังตีนเขา เส้นแสงหลายหลากไปรวมตัวกันอยู่ทางสุดตะวันตก ก่อนที่แสงเหล่านั้นจะเคลื่อนหายเข้าไปในหุบเหว
อาทิตย์ตก ฟ้าดินมิได้จมจ่อมสู่ความมืดอันไร้แสง
แสงจันทร์ขาวนวลเพียงสายใย ยังคงทำหน้าที่ส่องแสงแทนพระอาทิตย์สืบต่อ เริ่มต้นความผันผวนอันพร่าเลือนสุดไพศาล
“มิผิด นั่นก็คือเจตนาของข้า ตราบใดที่สามเผ่าส่งคนมาไล่ล่าผู้ฝึกวิชาปีศาจถึงเมืองเทียนเอิน พวกที่อยู่ในเมืองก็เหมือนถูกมัดแขนมัดขาขยับตัวทำการไม่ได้ เพราะทันทีที่ขยับ ก็จะชักนำการปิดล้อมสังหารจากสามเผ่า เช่นนี้ เหตุการณ์นองเลือดก็จะไม่เกิดขึ้น”
“แต่ทำเช่นนี้ออกจะสุ่มเสี่ยงอยู่มาก หากผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ย่อมชักนำความเดือดแค้นจากพรรคโลหิตนภามาอย่างแน่นอน พวกเจ้าต้องระวังตัวให้มาก” ฉินจิ่วเกอรู้สึกถึงความยะเยือกของแสงจันทร์ เป็นความเย็นเฉียบดั่งผืนน้ำ
“ชายชาติบุรุษรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร พวกเราแม้จะชิงชังสามเผ่า แต่ก็ไม่ขอมองดูโลกหล้าตกเป็นสรวงสวรรค์ของพวกผู้ฝึกวิชาปีศาจเด็ดขาด”
“แสงจันทร์ไร้ใจส่องใส่ข้า สมเป็นโลหิตนภาหลั่งวิญญาณ”
ณ ช่วงเวลาแห่งการผงาดง้ำล่มสลายแห่งฟ้าดิน สรรพชีวิตผจญหายนะ สุภาพบุรุษฉินอาทรต่อปวงประชา เอื้อนวลีกลอนออกมาสองบท
หลายปีต่อมา เวลาที่ฉินจิ่วเกออวดอ้างความเป็นสุภาพชนของตัวเองต่อหน้าศิษย์น้องชายหญิง ก็มักจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นแบบอย่าง
ประมุขโหวลุกขึ้นปรบมือเกรียวกราว “ประมุขน้อย กลอนอันประเสริฐ กลอนอันประเสริฐแท้! ”
“หามิได้ๆ ข้าก็แค่พูดส่งๆ ออกไปเท่านั้นเอง ว่าแต่พวกเจ้าเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ด้วยรึ? ”
สี่ประมุขจ้องมองฉินจิ่วเกออย่างโง่งม แม้จะฟังไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกว่ากลอนบทนี้ช่างมีรสนิยมยิ่งนัก เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของการเป็นวีรบุรุษ เป็นแบบอย่างของวิถีแห่งความถูกต้อง
ไม่ว่าคนทั่วหล้าจะมองข้ายังไง ก็จะขออุทิศตนเพื่อปวงประชาสืบไป
หากทั่วหล้าให้ร้ายข้าสบประมาทข้า สรรเสริญข้าทำลายข้า เหล่านั้นล้วนไม่คงอยู่ มีเพียงใจที่อุทิศ จึงสืบแสงเจิดจรัสชั่วกาล
ในดวงตาของหลงเฟิง พลันเกิดประกายระยับแพรวพราว
ฉินจิ่วเกอในเวลานี้ ห่มแสงจันทร์ต่างอาภรณ์ เหมือนเทพเซียนที่ลงมาโปรดสัตว์ทั่วหล้า ในดวงตาจึงเกิดระลอกขึ้นเล็กน้อย
“ความหมายของข้าคือ รอจนพวกเจ้าเรียกให้ยอดฝีมือของทั้งสามเผ่ามาที่นี่ได้สำเร็จ พรรคโลหิตนภาจะต้องหลบซ่อนตัวอย่างแน่นอน เช่นนั้นทรัพยากรที่พวกมันปล้นชิงมาได้ ย่อมไม่มีทางได้รับการขนย้าย พวกเจ้าก็ใช้โอกาสนี้เข้าแทงพวกมัน จะปล้นชิงบีบคั้นขู่กรรโชกอะไรก็ตามแต่ พอเสร็จแล้วก็ขนกลับบรรพตสละฟ้าเราให้หมด”
“อ๋า? ” สี่ประมุขเบิกตาโง่งม หลงเฟิงถึงกับหน้าหงาย
ไหนล่ะห่วงหาปวงประชา? ไหนล่ะช่วยให้สัตว์โลกหลุดจากกองทุกข์? ไหนล่ะเพื่อวันพรุ่งนี้ที่สวยงาม จึงเสียสละตัวเองอย่างสมศักดิ์ศรี?
นี่อะไร ใช้มีดเข้าแทง? จะปล้นชิงบีบคั้นขู่กรรโชกยังไงก็ได้? ช่างเป็นคำพูดที่สารเลวอะไรอย่างนี้ แสลงนัยน์ตาอะไรอย่างนี้
จากภาพผู้ทรงคุณธรรมสละตนเมื่อครู่ จู่ๆ ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นชั่วช้าสามานย์ผิดมนุษย์ไปได้ เหมือนโจรร้ายที่แสร้งทำเป็นจำยอม แต่ที่จริงกำลังวางแผนทรยศหักหลัง เรียกได้ว่าไร้ศีลธรรมจรรยาโดยสิ้นเชิง
มองในแง่นี้ พรรคโลหิตนภาที่กำลังจะถูกยกเค้า มิใช่เป็นกระต่ายตัวน้อยน่ารักไร้เดียงสา ประเภทที่ได้รับความเห็นใจจากผู้คนไปเลยหรอกหรือ ส่วนฉินจิ่วเกอผู้ประพฤติตัวต่ำช้า กลวิธีน่าสาปส่ง ก็คือมืออาชีพในหมู่ผู้ฝึกวิชาปีศาจ เป็นจอมปีศาจที่ควรถูกตรึงไว้บนเสาแห่งความอัปยศทางศีลธรรม
สี่ประมุขขุนเขาและหลงเฟิงหัวใจคล้ายถูกย่ำยี เส้นทางแห่งเกียรติยศที่ยังไม่ทันจะเริ่มเดิน ก็ต้องมาจบลงเหมือนทารกที่ยังไม่ลืมตาออกจากครรภ์ไปเช่นนี้ รู้สึกรักใครไม่ได้อีก
“เอาเถอะ เพื่อความถูกต้อง เพื่อสัจพจน์ของพวกเรา เพื่อความสดใสแห่งผืนฟ้า เพื่อความสมบูรณ์แห่งผืนดิน เพื่อเสียงหัวเราะอันเป็นสุข ณ ช่วงเวลานี้ ขอพวกเราชักกระบี่วิเศษออกมา ผดุงความยุติธรรม กำจัดความชั่วร้ายทั้งปวง! ”
“ช่างหัวความดีมันสิ! ”
สี่ประมุขตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียว พอได้พูดวาจาประดานี้ออกมา ก็รู้สึกเหมือนมีความชอบธรรมเพิ่มขึ้นทันที
ที่จริง สัจความจริงบนโลก ประการแรกดูที่กำปั้น ประการที่สองดูที่วจนะ มิถูกหรือ?
ตะวันลาลับทางทิศตะวันตก หัวใจสลายอยู่อีกฝั่งนภา
บนกระดานหมาก วาสนามาอย่างไม่คาดฝัน กาลเวลาเปลี่ยนผันเร็วเกินตั้งตัว
โลกก็เหมือนกระดากหมากที่เลี้ยวลัดหักมุม ส่วนสรรพชีวิตบนนั้นก็คือเบี้ยหมาก
ระหว่างความปนเป ลักษณ์อันซับซ้อน แยกขาวแยกดำ
แต่วันนี้โลกหล้าพร่ามัว สีขาวสีดำปนเปยากจำแนก ต่อให้เป็นหมากดำหมากขาวบนกระดานที่จำแนกได้อย่างชัดเจน พอมองไปนานๆ ก็ทำให้ผู้คนตาพร่าเลือน ไม่ทราบเส้นแบ่งความขาวดำคือสิ่งใด
สวรรค์ไร้น้ำใจ ไร้น้ำใจก็คือมีน้ำใจ นั่นก็คือวิถีของผู้ศักดิ์สิทธิ์นิรวาน
ยามฟ้ามีน้ำใจ ก็คือจุดเริ่มต้นของการล่มสลายแห่งสรรพชีวิต คือกำเนิดแห่งการทำลายล้าง
มีน้ำใจย่อมมีปรารถนา มีปรารถนาย่อมมีอยาก มีอยากย่อมมีรูป มีรูปย่อมมีแสวงหา มีแสวงหาย่อมมีประโยชน์ มีประโยชน์ย่อมมีได้
ผู้คนปรารถนาได้ แน่นอนย่อมมีฝ่ายเสีย นั่นคือมีได้ย่อมมีเสีย
วิถีฟ้า ยามมีน้ำใจ นั่นคือมหันตภัยบังเกิด
จ้วนหลุนหวังเคาะหมากดำเข้ากับขอบกระดานอย่างเอื่อยเฉื่อย
ลำแสงอ่อนๆ ลอดผ่านตะเข็บหน้าต่างเข้ามา ไม่อาจมองชัดว่าหมากดำขาวต่างกันอย่างไร เพียงดูเหมือนบนกระดานแปรลักษณ์มังกร หงส์ประกายเทวะสาดแสง
กลยุทธ์บีบคั้นอันยอดเยี่ยม ปะทะพัวพัน จนผู้เฝ้าดูต้องเปลี่ยนสีหน้า