นที่ 66 ฟันเฟืองแห่งค้อนเหล็ก

ณ ห้องทำงานของสันตะปาปาซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิหารของนครศักดิ์สิทธิ์

มีคอมพ์ซึ่งเป็นหัวหน้านักบวชสังกัดอยู่โบสถ์ผู้พิทักษ์แซงต์เฟลิฟกำลัง

รายงานปิอุสเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของฟาร์มา

“ตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น จักรพรรดินีก็แสดงความเป็นศัตรูต่อทางศาสนจักรของเราอย่างชัดเจน เพราะนางเลยทำให้พวกเราเข้าไปติดต่อกับเทพโอสถได้อย่างยากลำบาก ในกรณีนี้บางทีทางเราอาจจะมีหนอนอยู่ด้วยก็ได้เพราะลักษณะการเคลื่อนไหวของพวกเราถูกอ่านออกราวกับพวกเขารู้ตั้งแต่แรกแล้ว”

กิจกรรมต่างๆ ของโบสถ์เราก็ถูกจำกัดเอาไว้ ส่วนการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ภายในเมืองหลวงจากสายลับของเราก็ถูกขัดขวางไม่ต่างกัน

ดูท่าจักรวรรดิก็ติดตามการเคลื่อนไหวของศาสนจักรเช่นกัน การจะเข้าถึงตัวฟาร์มาเน้นจึงทำได้ยาก สายลับที่ถูกส่งให้ไปจับตามองตระกูลเดอ เมดิซิสก็ถูกทางองครักษ์ของจักรพรรดินีจับตัวไว้ได้เสียหมด

และถึงจะน่าแปลกไปหน่อย แต่สถานที่ที่เหล่านักบวชของทางศาสนจักรจะพบกับฟาร์มาได้นั่นก็คือที่ร้านขายยาต่างโลก

ด้วยเหตุนี้เหล่านักบวชของทางโบสถ์เมืองหลวงจักรวรรดิก็เริ่มจะมีความศรัทธาในตัวฟาร์มามากยิ่งขึ้น ในทุกๆ วันที่พวกเขาเดินทางเพื่อไปซื้อยาและกลายเป็นลูกค้าประจำของทางร้าน โดยพวกเขาสามารถพูดคุยกับฟาร์มาได้อย่างเป็นกันเองยิ่งขึ้น ถึงขั้นมีนักบวชบางคนที่ถูกส่งไปเพื่อสังเกตการณ์ที่ร้านแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับหน้าที่นั้นจนพูดเชิง “ครั้งนี้ฝากไว้เป็นหน้าที่ผมได้เลย!” ก่อนจะกลับมาด้วยอารมณ์ที่สดชื่น

“แล้วผลอย่างไร?”

“จากการสังเกตดูเหมือนพลังแห่งเทพของเทพโอสถจะมีความแตกต่างกันไปในช่วงวันครับ”

“โฮ่ เป็นงั้นหรือ”

ปิอุสกล่าวออกมาด้วยความสนใจ จากที่คอมพ์รายงาน ฟาร์มานั้นได้ทำการผนึกพลังของตัวเองไว้ในช่วงวัน ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจากการตามวัดพลังแห่งเทพในตัวฟาร์มาผ่านมาตราวัดพลังแห่งเทพที่ประสิทธิภาพสูง โดยพลังของมันจะแข็งแกร่งขึ้นในเวลาช่วงกลางคืนแทน

แม้ว่าพลังโดยรวมจะอ่อนแอไปบ้าง แต่ผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวได้ก็ย่อมมีมากเกินกว่าระดับของมนุษย์ตามมาตรฐานทั่วไปอยู่แล้ว

อีกทั้งพลังแห่งเทพของเขายังสร้างอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ที่สามารถปัดเป่าพวกปีศาจร้ายโดยรอบในทุกๆ ที่ที่เขาเดินทางไป

“จากข้อมูลที่ได้มาหมายความว่า เขาจะอ่อนแอในช่วงกลางวันงั้นหรือ??”

“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาดูเหมือนเขาจะพยายามระมัดระวังช่วงแขนของเขาซึ่งพวกเราสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาจะต้องทำอะไรบางอย่างบนแขนของตัวเองเป็นแน่ครับ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นวิธีที่เขาสะกดพลังของตัวเองเอาไว้ก็เป็นได้”

คอมพ์อ้างอิงจากรายงานที่เขาได้จากลูกน้องของเขา กล่าวว่าในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ฟาร์มาค่อนข้างจะดูใส่ใจกับบริเวณแขนของตนเป็นพิเศษ

“เทพโอสถรับรู้ถึงผนึกเทพ แล้วใช้มันกับตัวเองงั้นสินะ”

เนื่องจากศาสนจักรทราบกันดีอยู่แล้วถึงตัวตนของผนึกเทพ นั่นหมายความว่าข้อมูลภายในของศาสนจักรได้รั่วไหลแล้วอย่างแน่นอน ปิอุสขมวดคิ้วออกมาด้วยความโกรธ

“ในกรณีนี้อาจจะเป็นเขามีพลังแห่งเทพอยู่เป็นจำนวนมากไม่ก็อยากจะรักษาร่างของมนุษย์เอาไว้ให้ได้นานที่สุดก็ได้ครับ”

“ช่างสูญเปล่าจริงๆ หากพวกเราได้เป็นคนนำพลังนั้นออกมาทีละน้อย คงจะช่วยแก้ปัญหานั้นได้ดีกว่าแท้ๆ”

ปิอุสกำลังตรวจสอบรายการของสมบัติลับที่อยู่ในมหาวิหารละโบสถ์ผู้พิทักษ์ทั่วโลก

“เอาเถอะ ก็ดีแล้ว”

ปลายนิ้วปิอุสเลื่อนไปเป็นแนวตั้งอีกครั้งตามรายการของสมบัติลับ ก่อนที่มือจะไปหยุดตรงสมบัติลับชิ้นหนึ่ง

… ━━… ━━… ━━…

ในเช้าวันที่แสนสงบและมีแสงแดดส่อง เมื่อฟาร์มา ลอตเต้ และเซดริกเดินทางไปทำงานที่ร้านขายยาตามปกติ พวกเขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งหน้าร้านขายยาโดยสวมหมวกใบใหญ่ปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้

ชุดที่เธอสวมเป็นเสื้อคลุมยาวสีดำและดูท่าทางคล้ายนักเดินทางที่เป็นแพทย์โอสถ

“อรุณสวัสดิ์ครับ ต้องขอโทษที่ให้คอยนะครับ ตอนนี้ร้านของเราจะทำการเปิดรับลูกค้าแล้วครับ”

ฟาร์มาเข้าไปทักทายเธอด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง จากการคาดเดาของเขาเธอน่าจะเป็นแม่ค้าที่มาขายสมุนไพรตัวใหม่ให้กับเขาแน่ๆ

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คือไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะคะ ฉันมีชื่อว่าจูเลียน่าเป็นแพทย์โอสถขั้นสองค่ะ พอดีระหว่างการเดินทางฉันถูกปล้นแล้วก็เสียทั้งยาแล้วเงินไปจนหมดเลย พอถามพวกชาวเมืองดูก็ได้ความมาว่าให้ลองมาปรึกษาที่ร้านนี้ดูค่ะ…”

พอจูเลียน่าพูดถึงเรื่องนั้นความทรงจำตอนถูกปล้นเลยกลับมาหรือเปล่านะ? ฟาร์มาคิดหลังจากที่เห็นน้ำตาของเธอไหลออกมาเล็กน้อย

“งั้นเราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่านะครับ”

ฟาร์มาเปิดประตูร้านแล้วเชิญเธอเข้าไปข้างใน

ตามเรื่องที่เธอเล่า เธอเป็นแพทย์โอสถของชนชั้นสูงระดับล่าง และเธอกำลังเดินทางเพื่อฝึกฝนตัวเองอยู่

(แพทย์โอสถหญิงที่พกยาไปไหนมาไหนด้วย เดินทางคนเดียวในสภาพที่มองดูก็รู้ว่าเป็นแพทย์โอสถ ถึงหากเป็นที่จักรวรรดิอาจจะยังปลอดภัย แต่การเดินทางแบบนั้นอันตรายเกินไป ยิ่งตัวยาที่พกมาด้วยมีราคาแพงแล้วยิ่งไม่ต้องสงสัย)

ฟาร์มาไม่น่าแปลกใจที่เธอถูกโจมตี ด้วยลักษณะของเธอที่ดูไร้การป้องกันใดๆ เลยยิ่งแล้วใหญ่

ร้านขายยามียาราคาแพงมากเสียจนในแต่ละร้านหลายๆ ประเทศ ต้องมีบอดี้การ์ดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปล้น

แม้แต่ร้านขายยาต่างโลกของเขาก็ยังจำเป็นต้องมีอัศวินที่ทำหน้าที่เป็นยามรักษาประตูคุ้มกันร้านขาย แต่ก็ใช่ว่าจะพ้นจากการถูกปล้นได้อยู่ดี

“แบบนี้แย่เลยนะครับ แล้วยาตัวไหนถูกปล้นไปบ้างเหรอครับ?”

“แน่นอนสิคะ จะมีก็ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ปวดหัว ยาลดไข้ค่ะ”

“ซาริมานา รูบินส์ อิสเมล แล้วก็โพชั่นจากอีฟนิ่งพริมโรสสินะครับ? ถ้าเป็นทั้งหมดนั้นร้านของเราก็มีนะครับ”

ขณะที่ฟาร์มากำลังฟังจูเลียน่าพูดและกำลังปลดล็อกตู้ยา ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วก็พบกับเอเลนที่เข้าร้านมา

“อรุณสวัสดิ์จ้า อ้าวมีอะไรหรือเปล่าน่ะฟาร์มาคุง ทำไมวันนี้ร้านเปิดซะเช้าเลย”

“คุณคนนั้นไม่ใช่ลูกค้าหรอกค่ะ แต่เป็นแพทย์โอสถชื่อว่าคุณจูเรียน่าค่ะ โจรพวกนั้นยกโทษให้ไม่ได้จริงๆ เลยค่ะ!”

ลอตเต้เล่าเหตุการณ์ของจูเลียน่าให้เอเลนฟังขณะทำความสะอาดร้านเพื่อเตรียมจะเปิดร้าน

แล้วจูเลียน่าก็ถูกพาไปที่ห้องรับแขก ท่าทางของเธอแสดงออกถึงความกังวลได้อย่างชัดเจนและมีความไม่สบายใจขณะนั่งรออยู่

“เท่านี้ก็ครบแล้วสินะ ประมาณนี้จะพอไหมนะ?”

ฟาร์มานำชุดยาแผนโบราณที่คาดว่าเหล่าแพทย์โอสถขั้นสองจะใช้กันออกมา โดยเว้นในส่วนของยาสำหรับแพทย์โอสถขั้นหนึ่งและแพทย์โอสถหลวงเอาไว้

แม้ว่าร้านขายยาต่างโลกนั้นจะเน้นไปในส่วนของยาแผนปัจจุบัน แต่ก็มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ต้องการยาสูตรแผนโบราณ เมื่อมีการบ่นถึงเรื่องนี้บ่อยครั้งทางร้านก็เลยจำเป็นต้องเตรียมตัวยาพวกนี้เอาไว้บ้าง ถึงแม้ว่ายาที่จ่ายให้กับผู้ป่วยจะมีแผนปัจจุบันเป็นหลักก็ตาม

“เดี๋ยวนะคะ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าเป็นยาราคาแพงทั้งนั้นเลยเหรอคะ”

เมื่อฟาร์มาพยายามจะส่งยาให้จูเลียน่าก็สั่นศีรษะและแสดงอาการตื่นตระหนก อย่างไรก็ตาม ฟาร์มาในตอนนี้อยู่ในโหมดการให้ของขวัญคนอื่นโดยสมบูรณ์แล้วนั้นกำลังยื่นยาที่ถูกบรรจุยาลงในถุงพกพาสะดวก

“หากคนเรามีปัญหาก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้วครับ ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งสามารถหาเงินเป็นค่าเดินทางได้มากขึ้นนี่ครับ แล้วก็ระวังอย่าให้โดนปล้นเข้าอีกนะครับ ผมแนะนำว่าให้เปลี่ยนชุดที่คุณใส่ด้วยก็น่าจะดีนะครับเอาเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่ดูไม่เหมือนแพทย์โอสถ เพราะคุณคงไม่พ้นต้องถูกปล้นเอาอีกแน่”

“นั่นมัน…..ฉันไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความเมตตาเช่นนั้นได้หรอกค่ะ ดังนั้นฉันจะจ่ายมันด้วยร่างกายของฉันเองค่ะ”

จูเลียน่าพูดออกมาด้วยความสั่นกลัว

“ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าเธอจะรู้ไหมเพราะเป็นนักเดินทาง แต่ฟาร์มาคุงน่ะเขารวยเกินกว่าที่เธอคิดเอาไว้อีก ของแค่นั้นไม่กระทบอะไรเขาหรอก ทางที่ดีเธอรับมันเอาไว้เถอะ”

เอเลนหัวเราะและบอกให้จูเลียน่าอย่าลังเลที่จะรับยาเอาไว้เลย

สำหรับฟาร์มาในเวลานี้ แม้จะไม่รวมทรัพย์สินของบรูโนหรือกำไรจากร้านขายยาและร้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่เป็นเพียงแค่จากร้านขายยาต่างโลกและเงินเดือนในฐานะแพทย์โอสถหลวงเพียงเท่านั้นก็ทำให้เขาเป็นหนึ่งในห้าคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงของจักรวรรดิแล้ว

ข้อมูลที่ได้มานั้นก็มาจากการที่ชื่อของเขาถูกประกาศในติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของคนที่จ่ายภาษีจำนวนมหาศาลให้กับรัฐ

จนไม่นานมานี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าทรัพย์สินของตนจะมากกว่าบรูโนไปแล้วหรือเปล่า

ถึงแม้เขาจะมีเงินอยู่เป็นจำนวนมากขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่เคยที่จะหยุดค้นหาและสร้างตัวยาไว้สำหรับการป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาภายในเมืองหลวงเลย จนทำให้เขากลายเป็นแพทย์โอสถชื่อดังที่ผลิตยาตัวใหม่ๆ ออกมาจำนวนมาก และไม่ได้รับความขุ่นเคืองใจใดๆ จากผู้คนที่ทราบถึงผลงานนี้เลย

“ด้วยร่างกายเหรอครับ…?”

ถึงฟาร์มาจะเป็นหนึ่งในผู้มั่งคั่งที่สุดของจักรวรรดิ แต่เขาก็ถูกโจมตีด้วยพลังทำลายล้างของคำว่า “ด้วยร่างกายของฉัน” ที่เป็นดั่งกระสุนปืนซึ่งถูกยิงมาโดยหญิงสาวคนนั้น จนทำให้ตัวแข็งทื่อไป

“แหมๆ โดนเข้าเต็มๆ เลยสินะ ถ้าเป็นเรื่องพวกนี้ฟาร์มาคุงเค้าไม่รู้ประสีประสา

มากนักน่ะ ดังนั้นก็อย่าไปล้อเล่นกับเขาให้มากเลย”

เอเลนพูดไปขำไป

“ถ้าหากไม่เป็นการรบกวน เดี๋ยวฉันจะขอทำงานที่ร้านนี้เองค่ะ ฉันทำได้ทุกอย่างเลยนะคะ จะทำความสะอาดหรืองานบ้านก็ได้ทั้งนั้น!”

จูเลียน่าอ้อนวอนเขาก่อนจะหมอบกราบลงกับพื้น

“ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่อยากให้คุณได้ยาพวกนั้นแล้วเดินทางกลับไปได้ด้วยดีเท่านั้นเอง”

พนักงานของร้านขายยาต่างโลกตอนนี้ก็มีถึงหกคนด้วยกัน ซึ่งนั่นก็น่าจะเพียงพอต่องานที่ต้องรับแล้ว แถมเขายังไม่รู้จักภูมิหลังของจูเลียน่าดีด้วย อีกทั้งเธอก็ไม่น่าจะมีความรู้อะไรเกี่ยวกับยาแผนปัจจุบันดีด้วยจึงไม่สามารถทำงานที่ร้านนี้ได้

“ได้โปรดให้ฉันทำงานที่นี่เถอะนะคะ! ฉันจะพยายามตามให้ทันเองค่ะ…หรือเพราะว่าถ้ามีฉันมันจะเกะกะแทน.…?”

(แย่ละสิ คนของเราก็มีพอแล้วด้วย)

จริงๆ แล้วฟาร์มาอยากจะให้เธอกลับไปได้แล้ว

จนถึงตอนนี้มีแพทย์โอสถหลายคนด้วยกันที่เขาต้องปฏิเสธไม่รับเข้าในฐานะเด็กฝึกงานของร้านขายยาต่างโลก แต่แนะนำให้ไปลงทะเบียนเรียนที่วิทยายาจะดีกว่า เพราะยังไงเขาก็ต้องไปเป็นอาจารย์สอนตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงอยู่แล้ว แถมยาแผนปัจจุบันนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสอนให้เข้าใจได้เพียงชั่วข้ามคืน การทำงานด้วยความรู้ครึ่งๆ กลางๆ ยิ่งจะเป็นอันตรายมากกว่าเดิมอีก

แถมเขายังไม่อยากให้คนนอก นอกจากพนักงานร้านเห็นถึงเบื้องหลังของร้านเขาอีกด้วย

“เธอก็พูดถึงขนาดนั้นละนะฟาร์มาคุงจะทำไงดีล่ะ? เอาไงล่ะนายไม่อยากลองเห็นการทำงานของแพทย์โอสถประเทศอื่นดูบ้างเหรอ”

ในทางกลับกัน เอเลนกลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจจูเลียน่า

“อืออออ…”

ฟาร์มาจึงยอมแพ้ให้กับแรงกดดันจากเอเลน

“เอาเถอะครับ ถ้าแค่สักพักหนึ่ง แต่ว่าคุณไม่มีสิทธิ์ในการจ่ายยานะครับ”

“ด-ได้ค่ะ! ฉันจะไม่จ่ายยาใดๆ ทั้งสิ้น แล้วจะทำงานให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยค่ะ!”

แล้วจูเลียน่าก็เริ่มเข้ามาช่วยงานที่ร้านขายยาต่างโลก

เธอเป็นคนขยันและจริงจังกับสิ่งที่ทำ เธอเริ่มทำงานบ้านและทำความสะอาดโดยไม่ตกหล่น ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังค่อยๆ เรียนรู้จากเหล่าแพทย์โอสถพาร์ทไทม์และเอเลนถึงวิธีการจ่ายยาแผนปัจจุบันทีละเล็กทีละน้อย จะการชั่งน้ำหนักหรือคำนวณสัดส่วนยาก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ งานเอกสารก็ทำได้ดี อ่านตำราของฟาร์มาอย่างกระตือรือร้น และบางครั้ง พูดคุยพบปะสังสรรค์กับพนักงานระหว่างรับประทานอาหารและออกไปช๊อปปิ้งกันด้วย

เธอเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วและไม่ว่าจะทำอะไรก็ราบรื่นไปเสียหมด

(เด็กคนนี้เป็นแพทย์โอสถที่มีความสามารถมากจริงๆ ทั้งที่เด็กขนาดนี้แท้ๆ กลับทำได้ถึงขั้นนี้ แล้วทำไมเธอถึงยังเป็นแค่แพทย์โอสถขั้นสองกันนะ)

จากสิ่งที่เขาได้เห็นมาทั้งหมดทำให้ฟาร์มาคาดหวังกับเธอไว้สูง

แม้ตอนนี้จูเลียน่าจะยังถังแตกอยู่ แต่ความสามารถในฐานะแพทย์โอสถของเธอนั้นถือว่าไม่เหมือนใครเลย ด้วยความสามารถที่นำศาสตร์แห่งเทพมาใช้กับการนวดได้

เธอสามารถนวดผู้ป่วยได้ด้วยศาสตร์แห่งเทพของเธอที่ส่งผ่านคทาแห่งเทพ โดยผลของมันคือการปรับการไหลเวียนของของเหลวในร่างกาย เธอได้ทำการนวดเหล่าพนักงานของร้านขณะอยู่ในช่วงพัก

หลังจากที่เอเลนได้รับการนวดจากจูเลียน่าไป เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอแทบจะละลายได้เลย

“อ้า นี่มันสุดยอดไปเลย ไหล่ของฉันรู้สึกดีขึ้นจริงๆ จูเลียน่าจังจริงๆ แล้วเธอไม่เห็นจะต้องใช้ยาพวกนี้ก็หากินได้ทั้งชีวิตแล้วนะรู้ไหม!”

“ค-ค่ะ เป็นเกียรติที่ได้รับคำชมจากท่านเอเลโอนอร์จริงๆ”

เอเลนชอบการนวดของจูเลียน่าเป็นอย่างมาก

“ยอดเยี่ยมมาเลยค่ะ ร่างกายของฉันเหมือนกำลังเต้นไปมาอยู่แล้ว!”

ลอตเต้พูดขณะจ้องไปที่ตาของเธอ

“อุฟุฟุ ลอตเต้จังเป็นยังไงบ้างล่ะกับประสบการณ์ที่มีพลังแห่งเทพไหลเข้าไปในร่างกาย รู้สึกตื่นเต้นบ้างไหม”

(ลอตเต้ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เหมือนกับได้รับยาชนิดใหม่เข้าไปในร่างกาย)

โดยปกติแล้วศาสตร์แห่งเทพนั้นจะไม่ถูกนำมาใช้กับเหล่าสามัญชนเนื่องจากถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองโดยธรรมชาติ

พอเห็นฟาร์มาเดินเข้ามา เอเลนก็ลองชวนเขาดู

“นายไม่มาลองบ้างเหรอฟาร์มาคุง?”

“ร่างกายของท่านจะรู้สึกดีขึ้นแน่ๆ ค่ะ”

พอเห็นทั้งสองคนรู้สึกดีขนาดนี้ ฟาร์มาเลยลองทำตามที่เอเลนและลอตเต้ชวนดู

“ถ้างั้นก็ขอรบกวนด้วยแล้วกันนะครับ”

ฟาร์มานอนลงบนเตียงภายในห้องตรวจ ก่อนที่จูเลียน่าจะใช้คทาของเธอเป็นลูกกลิ้งไหลไปตามร่างกายของเขา เธอทำการกดปลายคทาลงไปยังแต่ละส่วนของร่างกายเขา

เนื่องจากพลังแห่งเทพของฟาร์มานั้นแข็งแกร่งมากเสียจนเขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งเทพที่จูเลียน่าส่งเข้ามาได้เลย แต่อย่างน้อยเขาก็มีประสบการณ์จากการถูกนวดด้วยคทาของเธอ

(แต่ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะเนี่ย เหมือนกับร่างของเรากลายเป็นขนมปังไปเลย)

“ขอถามได้หรือเปล่าครับว่าคุณจูเลียน่าเรียนศาสตร์ด้านไหนมาเหรอครับ”

“ค่ะ ฉันกำลังเรียนจบมาจากหลักสูตรการนวดด้วยศาสตร์แห่งเทพค่ะ”

“เอ็ ถ้าแบบนั้นก็คงจะดีสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่ชัดเจนเลยนะครับ”

“นั่นมันคืออะไรเหรอคะ?”

“ก็อาการจำพวกที่ใช้ยารักษาไม่ได้น่ะครับ”

“อ๋อ ถ้าเป็นเรื่องนั้นฉันใช้ศาสตร์นี้บ่อยเลยค่ะ”

เนื่องจากมีผู้ป่วยบางคนที่มายังร้านขายยาแล้วเขาไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้จากการใช้ดวงตาวินิจฉัย จึงทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้ชัดเจนนัก

เขาต้องพบเจอกับผู้ป่วยที่บอกว่าตนมีอาการปวดศีรษะ ไหล่แข็ง ปวดหลัง ปวดช่วงล่าง ปวดท้อง ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้คือกลุ่มที่เขาไม่สามารถหาสาเหตุการป่วยได้ชัดแม้จะตรวจแล้ว ซึ่งนั่นอาจจะมาจากการวิตกกังวลและความเครียดของผู้ป่วยเอง จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะทำการรักษาหรือช่วยเหลือได้

เนื่องจากมันอยู่นอกเหนือขอบเขตของการรักษาด้วยวิธีทางเภสัชวิทยา สาเหตุหลักๆ ของมันมาจากตัวผู้ป่วยเองจึงทำให้ช่วยเหลือได้ยาก

กระทั่งในปัจจุบันอาการพวกนี้ก็ยังคงมีอยู่ แม้จะมีหลายหน่วยงานที่เข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุก็ยังหาสาเหตุของอาการเหล่านี้จริงๆ ไม่พบ จนทำให้มียาหลอกสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้

พอมีเสียงร้องมาจากผู้ป่วยมากขึ้น ก็ทำให้ฟาร์มาสงสัยถึงประสิทธิภาพ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฟาร์มากลับมาคิดว่าศาสตร์แห่งเทพอาจมีประสิทธิภาพในบางกรณีสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับอาการไหล่แข็ง ปวดหลัง ปวดหัว และอื่นๆ การใช้ศาสตร์แห่งเทพถ่ายเทเข้าไปยังส่วนที่ปวดสามารถช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้จริงๆ จากที่เอเลนเสริมเธอบอกเอาไว้ว่าบางครั้งเหล่าแพทย์หรือแพทย์โอสถก็ใช้วิธีดังกล่าวเพื่อขจัดความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วย และมันยิ่งได้ผลหากเป็นผู้ที่มีพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่ง เท่านั้นยังไม่พอเขายังได้ยินมาว่าบรูโนก็เป็นหนึ่งในคนที่มีชื่อเสียงในวงการด้านนี้เลยทีเดียว

หากเป็นในอดีตฟาร์มาคงมองว่ามันเป็นเพียง ไสยศาสตร์ แต่หลังจากที่เขาได้สัมผัสถึงประสิทธิภาพในการรักษาของจูเลียน่าที่นำศาสตร์แห่งเทพผสานเข้ากับการนวดรักษาผู้ป่วย เขาก็เริ่มนึกถึงการนำมันมาปรับใช้กับร้านขายยาต่างโลก

“ผลที่ได้นี้บางทีอาจจะต้องหาข้อสรุปด้วยการทดลองแบบสุ่มโดยมีกลุ่มควบคุมที่ไม่มีความลำเอียงน่าจะดีนะครับ จะได้นำมันไปเทียบประสิทธิภาพกับยาหลอกด้วย”

“ยาหลอก…?”

เขาอธิบายถึงยาหลอกว่ามันเป็นยาที่ไม่ได้มีผลอะไรใดๆ ทางสรรพคุณทางชีววิทยา แต่กลับสร้างผลกระทบในการชี้นำร่างกายได้ เช่น แม้ว่าผู้ป่วยจะกินยาหลอกเข้าไปโดยไม่มียาตัวอื่นตามเลย แต่ร่างกายของเขาก็กลับดีขึ้นจากความเชื่อที่ว่านั่นคือยารักษาจริงๆ

“ถึงจะเป็นยาหรือแนวทางการรักษาแบบใหม่ แต่ถ้าเราไม่ตรวจสอบสถิติผลลัพธ์อย่างถูกต้อง มันก็จะเป็นเพียงความเชื่อเฉยๆ ผมจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลให้ถูกต้องสำหรับผู้ป่วยในอนาคตด้วย”

เขากำลังคุยกับจูเลียน่าถึงการวิเคราะห์ผลทางสถิติ

“ท่านฟาร์มาถึงแม้จะยังเด็กแต่ก็มีความสามารถไม่เบาเลยนะคะ”

ระหว่างที่ฟาร์มาคุยกับจูเรียน่าไปเรื่อยๆ นั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาจากการนวดของเธอหลังจากนั้น

“อึก?”

ฟาร์มารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป เขาจึงหันหลังไปมองเธอด้วยความตกใจ

“เป็นอะไรไปเหรอครับ?”

“มะ-ไม่มีอะไรค่ะ!”

“หรือผมพูดอะไรแปลกๆ กับคุณไปเหรอครับ?”

ตูเลียน่ายกไหล่ของเธอขึ้นและแสดงอาการหวาดกลัวออกมาจนเผลอปล่อยคทาหลุดมือไป

“ขอโทษด้วยนะคะ พอดีฉันเสียสมาธิไปหน่อย ฟิ้ว… มานวดกันต่อเลยแล้วกันนะคะ”

หลังจากวันนั้นจูเลียน่าก็ดูเหมือนจะพยายามเว้นระยะห่างมากยิ่งขึ้น การทำงานของเธอก็ยังคงสมบูรณ์แบบเช่นเคย แต่สีหน้าของเธอกลับมัวหมองมากยิ่งขึ้น การพูดจาก็น้อยลงกว่าเดิม

(ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ)

ฟาร์มาเริ่มกังวลเกี่ยวกับเธอมากยิ่งขึ้น แล้วพยายามจับตามองเรื่อยมา

แล้ววันหนึ่งจูเลียน่าก็หายตัวไป

“จูเลียน่าจังหายไปไหนกันนะ?”

เหล่าพนักงานร้านเชื่อว่าเธออาจจะหลงทางอยู่ในเมืองหลวงก็ได้ แต่กลับไม่มีใครพบเธอเลยในสถานที่ที่คาดว่าจะเจอเธอได้ แม้จะใช้เครือข่ายข้อมูลของคุณแม่ลูกติดอย่างเซเลส หรือ ร้านขายหนังสือพิมพ์ก็คว้าน้ำเหลว

“เมืองหลวงแซงต์เฟลิฟนี่มันกว้างใหญ่เกินกว่าจะหาแบบนี้ได้จริงๆ”

โรเจอร์เหนื่อยจากการวิ่งไปรอบ ๆ เมืองหลวงด้วยม้าเพื่อค้นหาจูเลียน่า

“ฉันหลงทางเข้าแล้วค่ะ-ฮึก-ขออภัยด้วยนะคะ!”

รีเบคก้าที่พยายามค้นหาจูเลียน่าทุกหนแห่ง ก็ดันมาหลงทางเสียเองในท้ายที่สุดแล้วถูกทหารพากลับมาส่งที่ร้าน ดูท่าเธอจะเป็นพวกไม่ชำนาญการจำเส้นทางมากเสียเท่าไหร่

(เราน่าจะตรวจสอบลักษณะทางกายภาพของเธอเอาไว้เสียแต่แรก)

ถ้าเขามีข้อมูลอาการป่วยเรื้อรังของจูเลียน่า ฟาร์มาคงสามารถค้นหาเธอที่ปะปนอยู่กับผู้คนภายในเมืองหลวงนี้ด้วยดวงตาของเขาได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่มันไม่เป็นเช่นนั้น

“เธอจะกลับไปที่ประเทศของเธอแล้วหรือเปล่าคะ น่าเสียดายจังทั้งที่อยากจะจัดปาร์ตี้เลี้ยงอำลาให้แท้ๆ”

ลอตเต้แสดงความเสียใจออกมา

“เธอไม่ใช่เด็กประเภทที่จะหายไปเงียบๆ ด้วยสิ ก็หวังว่าจะไม่เป็นอะไรนะ”

เอเลนพยายามเช็ดแว่นของตัวเองเพื่อไม่ให้ตัวเองจินตนาการถึงเรื่องร้ายๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

“ดูเหมือนก่อนหน้านี้เธอจะกังวลอะไรอยู่ด้วยนี่นา……”

ฟาร์มาที่กำลังจัดการกับเวชระเบียน ได้จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูวิวของเมืองหลวง

ไม่มีใครพบจูเลียน่าเลยกระทั่งถึงเวลาปิดร้านแล้ว

เมฆหนาปกคลุมท้องฟ้าของเมืองหลวง และฝนเริ่มตกหนัก

“กลับบ้านกันเถอะครับ”

เมื่อเซดริก ฟาร์มา และลอตเต้กำลังเดินทางกลับด้วยกันบนรถม้า ลอตเต้ก็พูดขึ้น

“ฉะ-ฉันอยากจะไปตามหาคุณจูเลียน่าจังเลยค่ะ ฝนตกแบบนี้ถ้าเธอยังหลงทางอยู่ในเมืองหลวงแล้วละก็….…”

คงไม่พ้นต้องอยู่ในสภาพที่เปียกโชก ลอตเต้แสดงความเป็นห่วง

“นั่นสินะ งั้นมาลองกันอีกสักหน่อย ก่อนกลับบ้านไหม”

ทั้งสามหยุดรถม้าแล้วเดินทางไปสอบถามผู้คนภายในเมืองหลวง ทั้งเจ้าหน้าที่ภายในเมืองก็ด้วย จนท้ายที่สุดก็ได้เบาะแสว่ามีผู้หญิงลักษณะคล้ายจูเลียน่ามาถามชาวเมืองคนหนึ่งถึงสถานที่หรืออาคารที่สูงที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้

(อย่าบอกนะว่า…จะเป็นแบบนั้นจริงๆ?!)

“ลอตเต้ คุณเซดริก กลับไปกันก่อนเลยนะครับ!”

ฟาร์มาทิ้งทั้งสองไว้ แล้วรีบวิ่งเข้าไปยังตรอกหนึ่งของเมืองหลวง

“ท่านฟาร์มา!?”

ลอตเต้ที่รีบวิ่งตามฟาร์มาเข้ามาในตรอกกลับพบว่า ฟาร์มาไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว

“ท่านฟาร์มา…หายไปไหนกัน?”

ฟาร์มาบินขึ้นไปบนฟ้าด้วยคทาแห่งเทพโอสถ แล้วเขาก็มองไปยังหอระฆังทั้งหมดที่อยู่ทั่วเมืองหลวง

แล้วก็พบเข้ากับหอระฆังบริเวณมุมหนึ่งของเมืองหลวงที่มีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่บนนั้น

ฟาร์มาได้บินไปที่หอระฆังและร่อนลงที่นั่นอย่างช้าๆ ด้วยเสียงของฝนที่ดังอยู่จึงทำให้เธอไม่รู้ถึงตัวตนของฟาร์มา ตัวเธอในตอนนี้ได้ก้าวข้ามรั้วเหล็กของหอระฆังไปแล้ว โดยจุดที่ข้ามไปนั้นไม่มีทั้งราวจับ หรือ ยามเฝ้าอยู่เลย หากเธอตกลงสู่พื้นด้วยความสูงระดับนี้ย่อมหมายถึงความตาย เธอนั่งลงกับขอบของหอระฆังโดยห้อยขาครึ่งหนึ่งลงไปข้างล่างแล้ว

ดูท่าเธอจะยังลังเลที่จะกระโดดลงไป

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้วก็อย่าขยับออกจากตรงนั้นเด็ดขาดนะครับ”

ฟาร์มาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ ก่อนที่เธอจะหันหน้าขึ้นมาแล้วรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นเขา

“…ท่านฟาร์มา…”

“อย่าขยับนะครับแล้วยืนอยู่ตรงนั้นแหละ”

“ได้โปรดอย่าเข้ามาเลยค่ะ…ฉันไม่มีหน้าที่จะไปพบท่านแล้ว ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหก”

พอเธอรู้ว่าฟาร์มาเห็นว่าตนกำลังจะกระโดดลงไปก็เริ่มสารภาพขึ้นมา

“ฉันไม่ใช่นักเดินทางที่เป็นแพทย์โอสถหรอกค่ะ แล้วก็ไม่ได้ถูกขโมยอะไรไปด้วย”

“ถ้างั้นมันเป็นยังไงกันเหรอครับ”

ฟาร์มาตอบกลับ

“ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไร ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยดีครับ ไม่มีเหตุผลที่คุณจะต้องกระโดดลงไปเลย”

ฟาร์มากุมคทาของตนเอาไว้

เขาน่าจะจับเธอได้ทันกลางอากาศหากเธอโดดลงไปจริงๆ

“ถ้าหากคุณไม่อยากทำแบบนั้นจริงๆ ไม่สายเกินไปหรอกนะครับที่จะเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟัง”

เธอเริ่มร้องไห้ออกมา

“ฉันเป็นคาร์ดินัลของทางมหาวิหารค่ะ”

เขาพาตัวเธอเข้ามาภายในรั้วของหอระฆัง แล้วนั่งฟังคำสารภาพของเธอ

เธอเปิดปากพูดด้วยความสำนึกผิด

“ภารกิจของฉันคือการเข้าหาท่านฟาร์มาแล้วล่อลวงด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อขโมยเอาพลังแห่งเทพจากตัวท่านมาค่ะ แต่ฉันทำมันไม่ได้ค่ะ ยิ่งรู้จักท่านมากเท่าไหร่ยิ่งทำไม่ได้จริงๆ มันขัดกับความเชื่อแต่แรกของฉันอยู่แล้วด้วย การจะไป

ลิดรอนเอาอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพผู้พิทักษ์มาใช้เอง ฉันทำไม่ได้จริงๆ แต่นั่นมันก็จะเป็นการทรยศต่อศาสนจักร…ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากต้องกระโดดลงไปค่ะ”

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะครับ?”

“ขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ แต่ฉันคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ถึงจะไม่กระโดดลงไปก็ตาม ตัวของฉันมีคำสาปที่ค่อยๆ กัดเซาะร่างอยู่ จนท้ายที่สุดมันก็จะทำให้ฉันสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองไปค่ะ….ฉันจึงอยากจะตายก่อนที่ตัวเองอาจจะไปทำร้ายผู้อื่นเอาได้”

ฟาร์มาถามถึงสถานการณ์โดยละเอียดจากเธอต่อ

“เหล่านักบวชที่รู้ถึงความลับของศาสนจักรแล้วจะถูกร่ายคำสาปใส่เพื่อไม่ให้พวกเขาทรยศต่อศาสนจักรได้ เว้นแต่พวกเขาจะกลับไปยังมหาวิหารเพื่อรับยาสำหรับการรักษาคำสาปนั้น หากไม่ทำแบบนั้นคนผู้นั้นก็จะสูญเสียจิตวิญญาณและตายไปในที่สุดค่ะ”

(มันมีเรื่องแบบนั้นด้วยงั้นเหรอ ถึงเราจะสงสัยมานานแล้วก็เถอะ แต่พวกระดับสูงของศาสนจักรนี่อันตรายมากจริงๆ)

“แล้วสัญลักษณ์ของคำสาปมันอยู่ตรงไหนกันครับ?”

เธอส่ายหัวและปฏิเสธที่จะพูด แต่พอฟาร์มาสังเกตดูก็พบว่า มีลวดลายสีน้ำเงินดำถูกสลักอยู่ที่ต้นคอของเธอ ก่อนที่มันจะเริ่มลุกลามไปรอบๆ ผิวหนังบริเวณนั้น

“กล้าทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้”

ฟาร์มารู้สึกโกรธต่อเรื่องที่ทางมหาวิหารทำพวกเขากำลังพยายามทำอะไรอยู่กันแน่ เป้าหมายขององค์กรมันต้องใหญ่ขนาดไหนกัน? คิดแล้วก็น่าขนลุก

“ขอผมจับดูหน่อยนะครับ”

พอฟาร์มาพูดเสร็จเขาก็สัมผัสไปที่ต้นคอของเธอซึ่งเปียกชุ่มอยู่

“ฮึก..!”

เธอร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจเนื่องจากอยู่ดีๆ ก็ถูกสัมผัสเข้าที่คอ ก่อนที่เธอจะหลับตาลง คำสาปของเธอนั้นได้สูญสิ้นไปอย่างสมบูรณ์จากพลังแห่งเทพที่ฟาร์มาใช้ประทับลงไปที่คำสาปนั้นโดยตรง

“มันหายไปแล้ว ทีนี้คุณก็เป็นอิสระแล้วครับ”

“อ่ะ…เอ๋!?”

เธอแสดงความงุนงงออกมา

“ไม่มีทางน่าคำสาปที่ไม่น่าจะมีสิ่งใดในลงมาลบล้าง…”

“แต่ผมก็ลบมันไปแล้วนี่ครับ”

“ท่านฟาร์มา ท่านจะต้องเป็นเทพผู้พิทักษ์ที่ทรงอานุภาพที่สุดตลอดกาลที่ผ่านมาเป็นแน่ค่ะ เพราะกว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมานั้นไม่เคยมีเทพผู้พิทักษ์องค์ไหนลงมายังโลกนี้เลย ราวกับว่าพลังของเทพผู้พิทักษ์เหล่านั้นได้ส่งต่อมารวมที่ตัวท่านเพียงผู้เดียวเลยค่ะ”

จากที่ได้ยิน เขาเข้าใจได้ว่าพลังแห่งเทพของเทพผู้พิทักษ์นั้นจะถูกสะสมแล้วส่งต่อมายังเทพผู้พิทักษ์รุ่นถัดไปที่จะจุติลงมา

“สำหรับผมแล้วนั่นมันไม่ได้สำคัญอะไรเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมก็หวังว่าคุณจะคิดว่าไม่ว่าภายในหรอกภายนอกผมเป็นยังไง ผมก็ยังเป็นผมเหมือนเดิมครับ”

แม้จะมีพลังแห่งเทพโอสถอยู่ภายในตัวเขา แต่โดยความรู้สึกแล้วเจตจำนงจิตของฟาร์มาก็ยังคงเป็นมนุษย์เช่นเดิม

“ว่าแต่ทางมหาวิหารจะเอาพลังของผมไปทำอะไรกันครับ?”

“โลกใบนี้กำลังจะล่มสลายค่ะ มีสิ่งที่ถูกเรียกกันว่า [ตะขอและฟันเฟือง] โดยตะขอจะทำหน้าที่เชื่อมต่อโลกเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวและฟันเฟืองมีหน้าที่ในการขันมันให้แน่นยิ่งขึ้น การจะทำให้เครื่องจักรนั้นทำงานได้จำเป็นจะต้องพึ่งพาพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากเทพผู้พิทักษ์โดยตรง ต่อให้พวกเราต้องทำร้ายเทพผู้พิทักษ์และทำบางสิ่งที่ขัดต่อศรัทธาของตัวเองก็ต้องฝืนเพื่อพยายามหยุดยั้งโลกไม่ให้ล่มสลายค่ะ”

“การล่มสลายของโลก?”

เนื่องจากเธอเป็นคนที่มาจากส่วนกลางของมหาวิหาร ข้อมูลที่ได้มานั้นย่อมมีจำนวนมากเกินจะคาดได้

ซาโลม่อนบอกว่าทางมหาวิหารนั้นจะล่อลวงให้เทพผู้พิทักษ์เข้ามาก่อนจะทำการผนึกเอาไว้จนกว่าพวกเขาจะหายตัวไป แต่เบื้องหลังการกระทำนั้นเป็นแบบนี้เองสินะ

ฟาร์มารู้สึกสับสนเกี่ยวกับคนระดับสูงของทางศาสนจักรที่มีความเชื่อแสนบ้าคลั่งเพียงนี้

(นั่นเป็นเรื่องจริงเหรอ?)

ฟาร์มาพยายามใช้สายตาสังเกตดูว่าเธอนั้นโกหกอยู่หรือไม่

แต่ไม่ว่าจะอุณหภูมิของร่างกาย ชีพจร หรือการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองก็ไม่เปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ซึ่งเป็นวิธีการจับโกหกด้วยเครื่องจับเท็จดีๆ นี่เอง แม้จะยังไม่มีอะไรมารองรับทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าสมองของเธอถูกกระตุ้นจากการถามเรื่องนั้นหรือตรวจสอบการโกหกของเธอ

ลักษณะสรีรวิทยาของสมองของเธอไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากตอบคำถามบางข้อ

(คงจะจริงสินะ…ถ้าเป็นแบบนั้นเหตุผลที่ทางศาสนจักรพยายามพาเราไปกักขังแล้วนำพลังของเราออกมาก็มาจากเรื่องนี้)

“แล้วคุณมีแผนจะเอาพลังของผมออกไปยังไงเหรอครับ หรือคิดจะเอาชนะผมแล้วจากผมกลับไปด้วย?”

“ถ้าเป็นส่วนนั้นฉันมีสมบัติลับที่มีพลังในการดูดซับพลังแห่งเทพอยู่ค่ะ…แต่ฉันทำมันไม่ได้อีกแล้ว”

“สมบัติลับที่มีมันสอดอยู่ภายในคทาของคุณหรือเปล่าครับ?”

“เอ่อ เรื่องนั้นคือ…”

“ผมขอยืมดูหน่อยครับ”

ฟาร์มาหยิบสมบัติลับที่มีลักษณะคล้ายใบมีดมาจากจูเลียน่า พอเขาดึงมันออกจากฝังก็พบว่ามันมีใบมีดบางๆ อยู่สองข้างพร้อมด้ามจับ ขนาดของมันอยู่ที่ประมาณของมีดปอกผลไม้

“คล้ายกับปลั๊กเลยนะครับ แล้วมันเอาพลังแห่งเทพออกมาได้ยังไงกันเหรอครับ?”

พอเขาลองกรีดนิ้วตัวเองไปที่ปลายมีดเลือดของเขาก็ไม่ไหลแต่อย่างใด และไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยตอนที่เขาถือมีดนั้นอยู่

“ได้โปรดนำมันคืนมาเถอะค่ะ เพราะคงไม่ดีแน่หากฉันไปทำร้ายท่านเข้า นั่นมันคือสิ่งที่ผิดค่ะ”

จูเลียน่าพยายามอย่างยิ่งที่จะเอาสมบัติลับนั้นคืนมา

(ไม่เจ็บอะไรเลยแฮะ หรือว่าต้องลองแทงเข้าไปดู)

ว่าแล้วเขาก็แทงใบมีดเข้าไปที่ต้นขาของเขา

ร่างกายของฟาร์มาไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ออกมาและไม่มีเลือดไหลออกมาเลย

อาจจะรู้สึกเมื่อยล้าและเจ็บนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นทนไม่ไหว

“กรี๊ดไม่นะ!? ท่านฟาร์มา!”

“ดูไปก็คล้ายกับแบตเตอรี่เลยนะครับว่าไหม?”

เมื่อเขาจินตนาการว่าเขาสามารถฉีดพลังแห่งเทพของเขาลงไปยังใบมีดนั้น ตัวใบมีดก็เริ่มเรืองแสงและกะพริบอย่างรุนแรง จากนั้นพลังแหง่เทพที่มีปริมาณมากจนเกิดที่จะเก็บเอาไว้ได้

“นี่แปลว่ามันชาร์จเต็มแล้วใช่ไหมครับ แล้วมีอันอื่นอีกไหมครับ ผมว่ายังไหวอยู่ถึงจะมากกว่านี้สักหน่อย”

พอเวลาผ่านไปประมาณ 20 วินาที

“อ่ะ….เอ๋….ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเหรอคะ? เพราะว่ากันว่าใบมีดนั้นจะสร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงให้กับเทพผู้พิทักษ์ และเป็นที่ทราบกันดีว่ามันจะดึงพลังของพวกท่านไปจนหมดเลยนะคะ”

“ก็ไม่รู้สึกอะไรเลยนะครับ พลังแห่งเทพผมก็ไม่ได้ลดลงอะไรเลยด้วย งั้นหมายความว่าภารกิจที่คุณได้มาก็สำเร็จแล้วนี่ครับ คงจะกลับไปที่มหาวิหารได้แล้วสินะครับ ถ้าเกิดว่ามันไม่พอไว้คุณกลับมาเอาอีกก็ได้นะครับ แล้วมันพอสำหรับการใช้ฟันเฟืองที่คุณว่าหรือเปล่าครับ?”

ฟาร์มาแสดงความสงสัยออกมาถึงตะขอกับฟันเฟืองอะไรที่ว่านั่น

“ค-ค่ะ…ไม่อยากจะเชื่อ”

เธอตอบกลับมาว่ามันสามารถทำให้ฟันเฟืองมันทำงานได้อีกนานแสนนานเลย

“แล้วฟันเฟืองที่ว่าอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่าครับ?”

“ลึกเข้าไปในมหาวิหารใต้ดิน มันมีทางเชื่อมระหว่างอีกโลกหนึ่งอยู่ค่ะ มันอยู่ที่นั่น…”

“ถ้าอย่างงั้น กลับมาบอกผมเกี่ยวกับเรื่องที่คุณได้เจอในครั้งต่อไปด้วยนะครับ….จากเรื่องที่คุณพูดแปลว่ามันมีอีกโลกหนึ่งเชื่อมกับเราอยู่สินะครับ หากเกิดอะไรผิดปกติขึ้นผมยินดีที่จะช่วยนะครับ”

เขาบอกให้จูเลียน่าเข้ามาคุยกับเขาแบบปกติได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ

“หากคุณมีอะไรแล้วไม่พูดเราก็ไม่มีวันเข้าใจกันหรอกนะครับ ดังนั้นมีอะไรก็เข้ามาพูดคุยกันดีกว่านะครับ”

ฟาร์มาหัวเราะหลังจากพูดแบบนั้น

แล้วจูเลียน่าก็กลับไปที่นครศักดิ์สิทธิ์ในวันถัดมา

จูเลียน่ากังวลว่าถ้าเธอไม่รีบกลับให้เร็ว สายลับคนใหม่จะถูกส่งมาหาฟาร์มาอีกครั้งเพราะเธอล้มเหลว แน่นอนว่าเรื่องนี้พนักงานของทางร้านไม่ทราบเลย

ท้ายที่สุดเธอก็ทำการนวดด้วยศาสตร์แห่งเทพให้กับพนักงานร้านทุกคนเป็นการส่งท้าย โดยฟาร์มาทราบทีหลังว่านั่นคือเทคนิคที่แพทย์โอสถซึ่งเป็นนักบวชใช้กัน และตามที่ลอตเต้เสนอ ทางร้านได้มีการจัดงานเลี้ยงอำลาเล็กๆ ให้กับจูเลียน่า

“ถึงจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็ขอบคุณมากๆ นะคะ”

“ฉันอยากให้เธออยู่นานกว่านี้อีกหน่อยแท้ๆ นะ….”

เอเลนยังอยากจะเก็บจูเลียน่าเอาไว้เพราะเสพติดการนวดของเธอ

“ถึงจะกลับไปแต่เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีกอยู่แล้วครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ”

ฟาร์มาพูดอย่างสบายๆ และไร้กังวล เหมือนเมื่อวานไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“จนถึงตอนนี้ศาสนจักรมองว่ามนุษย์ไม่สามารถสื่อสารกับเทพผู้พิทักษ์ได้ แต่นั่นเป็นเรื่องที่ผิดค่ะ….ท่านฟาร์มามีหัวใจของมนุษย์อยู่ และท่านก็คิดถึงผู้คนมากมาย อีกทั้งเรื่องที่ท่านใช้สมบัติลับชิ้นนี้และมอบมันให้กับฉันอีก ทั้งหมดนี้ฉันจะนำไปรายงานให้พระสันตะปาปาทราบเองค่ะ”

จูเลียน่าบอกความรู้สึกของเธอต่อฟาร์มาก่อนจะเดินทางกลับนครศักดิ์สิทธิ์ไป

—–

Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913