นที่ 67 ปัญหาของตระกูลดยุก ครึ่งแรก

จูเลียน่านักบวชแพทย์ได้เดินทางกลับมาถึงนครศักดิ์สิทธิ์โดยสวัสดิภาพโดยรถม้าที่ทางวิหารผู้พิทักษ์ของเมืองหลวงจักรวรรดิจัดเตรียมไว้ให้ ทันทีที่เธอกลับมาถึง ทางมหาวิหารก็ได้มีการจัดประชุมด่วนขึ้นโดยทันที การปรากฏตัวของเธอต่างได้รับการยกย่องจากเหล่านักบวชอาวุโสทั้งหลาย แต่สีหน้าของเธอกลับมืดมนตรงข้ามกับเสียงชื่นชมเสียอย่างนั้น

“หากสรุปตามที่เจ้ากล่าวก็หมายความว่าเจ้าสามารถจัดการกับเทพโอสถแล้วช่วงชิงพลังของเขามาได้อย่างงั้นสินะ….ยอดเยี่ยมมาก”

นักบวชอาวุโสต่างสลับกันเดินมาแสดงความยินดีกับเธอคนแล้วคนเล่า

“ขอบคุณค่ะ….”

“ทั้งที่เจ้าก็แทงใบมีดของสมบัติลับนี้ลงไปยังตัวของเทพโอสถแท้ๆ แต่เจ้ายังสามารถกลับมาโดยปลอดภัยอีกงั้นหรือ”

นักบวชคนหนึ่งกล่าวความคิดเห็นของเขาอย่างตรงไปตรงมา

“มะ-ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ”

เธอถูกฟาร์มาห้ามเล่าความเป็นมาของเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดมากนัก แต่ถ้าเธอพูดเรื่องราวทั้งหมดไปก็คงต้องอธิบายลากยาวไปถึงเรื่องการพยายามฆ่าตัวตายกับเรื่องที่ตนทรยศต่อศาสนจักรเป็นแน่

“ไม่ถูกตอบโต้กลับมาสินะ….แปลว่าเจ้าจัดการเขาในขณะที่เขากำลังหลับอยู่ใช่ไหม? “

“…เรื่องนั้น…คือว่า…”

จูเลียน่าไม่รู้จะตอบเหล่านักบวชพวกนี้อย่างไร เพราะพวกเขาไม่เว้นช่องให้เธอได้คิดเลย

“โฮโฮ้…หรือว่าเทพโอสถองค์นั้นเขาจะเป็นพวกมักมากในกามกันนะ….”

แก้มของจูเลียน่าเกิดแดงขึ้นมาในทันที

“ไม่ใช่นะคะ…ไม่ใช่แบบนั้น!!”

จูเลียน่ารู้สึกเสียใจที่ต้องมาฟังสมมติฐานระหว่างตัวเธอกับฟาร์มามั่วๆ แบบนี้ เธอไม่ได้สนใจหากเป็นแค่ตัวเธอที่โดนดูหมิ่น แต่กับฟาร์มาแล้วเธอยอมไม่ได้จริงๆ

“แล้วเจ้าได้พบจุดอ่อนของเทพโอสถบ้างไหม หรือความลับของพลังไม่ก็วิธีล่อลวงเทพโอสถของเจ้า?? “

จูเลียน่าตอบคำถามที่กรีดอกของเธอ ขณะโดนกล่าวหาว่าตนกลายเป็นคู่นอนของฟาร์มาไปแล้ว

“ท่านฟาร์มาเป็นคนที่ใจดีค่ะแล้วก็มีความเป็นมนุษย์อยู่สูง แม้ฉันจะหลอกเขาในตอนแรก แต่เขาก็ให้ทั้งยาและคำพูดให้กำลังใจกับตัวฉันค่ะ”

เธอยังคงนึกถึงความทรงจำอันแสนสุขนั้นได้เป็นอย่างดี

“ฉันได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคฤหาสน์ของเขาและแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ฉันก็ได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมายจากร้านขายยาแห่งนั้นค่ะ”

พวกนักบวชอาวุโสจ้องมองจูเลียน่าอย่างสงสัย ในขณะที่เธอรายงานออกมาอย่างมีความสุข ดูท่าว่าจูเลียน่าจะหลงไหลในตัวของฟาร์มาเขาเสียแล้ว

“เทพผู้พิทักษ์ไม่ใช่พวกที่มีความปรานีเช่นนั้น มันก็แค่เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาบนโลกนี้ในร่างมนุษย์เท่านั้น พวกเทพผู้พิทักษ์มันไม่เคยคิดถึงมนุษย์อย่างเราหรอก พวกเราก็คงเป็นแค่หนอนแมลงในสายตาเทพพวกนั้นอย่าได้หลงกลจากรูปลักษณ์ของพวกมันเป็นอันขาด เจ้าลองกลับมาย้อนคิดให้ดีสิว่าศาสนจักรของเราได้อดีตถูกพวกมันหลอกมากี่ครั้งแล้ว และต้องมีกี่ชีวิตที่ต้องสังเวยไปกับพวกมัน…”

ปิอุสหวนนึกถึงความขัดแย้งที่มีในอดีตระหว่างศาสนจักรกับเหล่าเทพผู้พิทักษ์ การต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างสองฝั่งที่ถูกบันทึกไวว้ภายในหนังสือต้องห้ามที่ทางศาสนจักรเก็บรักษาไว้ แน่นอนว่าเหล่านักบวชระดับล่างไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เนื้อหาภายใน สิ่งที่พวกเขาต้องทำมีเพียงเชื่อและบูชาเทพเหล่านั้น แต่สำหรับเหล่านักบวชอาวุโสแล้วเทพผู้พิทักษ์ถือเป็นศัตรูกับพวกตน

“ฉันทราบดีว่าหากเป็นเทพผู้พิทักษ์องค์ก่อนๆ อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉันเชื่อมั่นในหัวใจที่มีอยู่ของท่านฟาร์มาค่ะ…ฉันขอยืน-”

“หุกปากซะ!! เจ้าคนเขลา!”

ปีอุสใช้น้ำเสียงตะคอกอย่างไร้ปรานีใส่เธอ

“แต่ที่ผ่านมาท่านฟาร์มาก็ได้ช่วยเหลือผู้คนมามากมาย…..หากท่านปิอุสได้พบกับท่านฟาร์มาฉันเชื่อว่าท่านต้องสัมผัสหัวใจที่มีความเป็นมนุษย์นั้นและเข้าใจกันได้อย่างแน่นอนค่ะ”

“หึ เรื่องไร้สาระพรรค์นั้นข้าไม่เห็นจะสนใจเลยสักนิด ไปเอาสมบัติลับชิ้นนั้นมา”

นักบวชที่ได้รับสมบัติลับมาจากจูเลียน่าก่อนหน้านี้ นำสมบัติลับที่ถูกห่อด้วยผ้าไว้มาวางบนแท่นที่เป็นตัววัดพลังแห่งเทพซึ่งรูปร่างคล้ายดิสก์ ทันทีที่นักบวชปล่อยมันออกจากมือ ตัววัดพลังพลันเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วและจนกลายเป็นสีโปร่งใสอย่างสมบูรณ์ สีของมันนั้นสื่อถึง….

“มันถูกชาร์จจนเต็มเลยงั้นเหรอ?! “

เป็นการบ่งชี้ว่าพลังที่ถูกบรรจุภายในสมบัติลับนั้นถึงขีดจำกัดของมันที่สามารถกักเก็บได้แล้ว

“นี่เจ้าสามารถขโมยพลังแห่งเทพมาได้มากขนาดนี้เลยเหรอ…แล้วอาการของเทพโอสถล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าโดนไปขนาดนี้ก็ไม่น่าจะคงอยู่ในร่างของมนุษย์ได้แล้วนะ”

เหล่านักบวชต่างแสดงอาการตกใจเพราะกลัวว่าเทพผู้พิทักษ์องค์นี้อาจจะสลายหายไปเลยก็ได้ จูเลียน่าละเว้นคำอธิบายว่าเธอขโมยพลังแห่งเทพมาได้อย่างไร และรายงานว่าฟาร์มายังมีพลังแห่งเทพเหลือสำรองไว้อยู่

“ท่านทั้งหลายใจเย็นๆ ลงกันก่อนเถิด”

นักบวชคนอื่นๆ กำลังคำนวณปริมาณพลังแห่งเทพที่เก็บมาได้

“หากเป็นปริมาณเท่านี้ เราคาดการเอาไว้ว่าจะสามารถกรอฟันเฟืองไปได้

อีกราวๆ 175 ปีเลยครับ”

“หึ..หึ….หึฮ่าๆๆๆ ….อ้าฮ่าๆๆๆๆ! ไอ้เจ้าเทพโอสถนี่มันสัตว์ประหลาดของจริงเลย ฮ่าๆๆ!”

ปีอุสหัวเราะออกมาราวกับเป็นคนบ้า

“เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพลังแห่งเทพของเขานั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเทพทุกองค์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ บางทีผนึกเทพของเราอาจจะไม่ได้ผลก็เป็นได้ครับ”

นักบวชอีกคนกุมศีรษะของตนเอาไว้

“แบบนี้ก็หมายความว่าถ้าศาสนจักรนำตัวเขามาได้แล้วพยายามผนึกเขาคงไม่พ้นจะกลายเป็นการยั่วโมโหเขาแทนสินะ…”

“ด้วยพลังที่มากขนาดนี้ผนึกเทพคงไม่เป็นผลจริงๆ ….”

แล้วครั้งนี้เพราะเหตุใดถึงจำเป็นต้องส่งเทพผู้พิทักษ์ที่มีพลังแห่งเทพปริมาณมหาศาลเช่นนี้มากัน จากการคาดเดานี่มันไม่ใช่ปริมาณที่จะถูกส่งต่อมาจากเทพองค์ก่อนสองหรือสามองค์แล้ว นี่มันราวกับว่าเทพองค์นี้ได้ดึงเอาพลังของเทพที่จะจุติภายในอนาคตอีกหลายองค์มาใช้ด้วยเลยทีเดียว

“เราจำเป็นต้องหาทางสร้างพิธีผนึกแบบใหม่ออกมาแล้ว นี่มันเรื่องเร่งด่วนมาก!”

แม้คำพิพากษาในมุมมองของปีอุสจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่จูเลียน่าก็ยังคงไม่ละความพยายามในการถ่ายทอดเจตจำนงของฟาร์มา

“ผนึกนั้นไม่จำเป็นหรอกค่ะ และตราบใดที่เราปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุจริตใจท่านฟาร์มาก็บอกกับฉันว่าเขาต้องการจะให้ความร่วมมือกับของเราค่ะ ในมุมมองของฉัน ฉันคิดว่าศาสนจักรอาจจะมองท่านฟาร์มาเป็นปรปักษ์มากจนเกินไปค่ะ”

“เทพผู้พิทักษ์เนี่ยนะจะให้ความร่วมมือกับศาสนจักร? “

บรรยากาศความสับสนกำลังก่อตัวอยู่ภายในห้องประชุม ในขณะนั้นเองคาร์ดินัลคนหนึ่งได้เปล่งเสียงดังขึ้น

“เดี๋ยวก่อนนะจูเลียน่า ตราศักดิ์สิทธิ์บริเวณคอของเจ้าสัญลักษณ์แห่งการพิสูจน์ตัวตนแห่งคาร์ดินัลมันหายไปไหนกัน เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร!”

พวกเขาพบว่ารอยแห่งคำสาปบนท้ายทอยของจูเลียน่าหายไป

แล้วเหล่านักบวชอาวุโสทั้งหลายก็ตกอยู่ในความโกลาหล

คำสาปที่เหล่าคาร์ดินัลจะจารึกบนร่างกายของตน เพื่อเป็นคำสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อศาสนจักร คำสาปที่ไม่สามารถลบล้างได้ตลอดชีวิต คำสาปศักดิ์สิทธิ์ การที่จะทำให้คำสาปนั้นหายไปอย่างสมบูรณ์มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้

แปลว่านั่นย่อมเป็นฝีมือของฟาร์มาอย่างแน่นอน

“มีเพียงเทพโอสถเท่านั้นที่จะสามารถชำระล้างตราศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ พอย้อนกลับมาคิดตามตำนานแล้วเทพโอสถก็ขึ้นชื่อเรื่องการแก้คำสาปอยู่แล้วนี่นา”

“งั้นแปลว่าเจ้าถูกเทพโอสถล้างสมองให้กลายเป็นทาสรับใช้ของมันไปแล้วสินะ? “

“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ท่านฟาร์มาไม่มีทางทำแบบนั้นอย่างแน่นอน”

จูเลียน่าปฏิเสธความคิดเห็นดังกล่าวอย่างฉุนเฉียว แต่ยิ่งเธออธิบายเรื่องราวมากขึ้นเท่าไหร่ เหล่านักบวชก็ยิ่งสงสัยในตัวเธอมากขึ้นเท่านั้น

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระกันแค่นี้ ในเมื่อเจ้าถูกล้างสมองไปแล้วก็คงมีแต่ต้องทำให้กลับมาเป็นสุนัขของศาสนจักรเราอีกครั้งแค่นั้นเองนี่”

ปิอุสถอนหายใจ ในตอนนี้จูเลียน่าได้ถูกสลักด้วยตราคำสาปนั้นคงไปที่คอของเธออีกครั้งด้วยเหล็กร้อน ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเพลิงถือคทาที่มีตราประทับศักดิ์สิทธิ์และเริ่มร่ายมนตร์ส่วนปลายของคทาเป็นสีแดงสดขึ้น

“จงคุกเข่า แล้วสำนึกผิดกับสิ่งที่เจ้าทำเสีย”

จูเลียน่าคุกเข่าลงหลังจากถูกเตะ ก่อนเธอจะถูกกระชากผมขึ้นมา

“…”

หยดน้ำตาขนาดใหญ่ไหลออกจากดวงตาทั้งสองของจูเลียน่าที่กำลังปิดแน่นเพื่อทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกเผาไหม้บริเวณผิวหนัง

“ตะ-!? ตราศักดิ์สิทธิ์มัน”

ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้ง ผิวของจูเลียน่าก็ไม่เกิดความเสียหายขึ้นเลย รอยแผลหรือแม้กระทั่งตราคำสาปนั้นก็ไม่อาจถูกประทับลงร่างของเธอได้เลย

“แปลว่าเจ้าได้รับพรแห่งการปกป้องจากเทพโอสถสินะ…”

ปิอุสได้เห็นความสามารถในการชำระล้างอันน่าสะพรึงกลัวของเทพโอสถที่ไม่เพียงแค่รักษาโรคร้ายแต่ยังสามารถลบล้างคำสาปได้อีกด้วย แต่ถึงจะได้เผชิญหน้ากับพลังอันแสนยิ่งใหญ่นี้ ริมฝีปากของเขากลับยิ้มออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

“ดูท่าเทพโอสถจะชอบเจ้ามากเลยนี่”

แค่นี้ก็เหมาะกับการใช้เป็นเครื่องมือแล้ว ว่าแล้วปีอุสก็กระซิบบางอย่างให้ผู้ช่วยของเขาฟัง

“เริ่มแผนการช่วงชิงพลังจากเทพโอสถอีกครั้งได้เลย”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จูเลียน่าก็ถูกควบคุมตัวไว้ที่ศาสนจักรตลอด 24 ชั่วโมง

แม้เธอจะบอกพระสันตะปาปาเกี่ยวกับความตั้งใจของฟาร์มา แต่ทัศนคติของฝ่ายตรงข้ามที่มองว่า “เทพผู้พิทักษ์เป็นศัตรูของมนุษย์” ย่อมไม่เปิดใจรับฟังสิ่งที่เธอจะพูดอยู่แล้ว

—-

Note 1 : เนื่องจากติดธุรอาจจะใช้เวลาหลายวันเลยเอาครึ่งแรกมาลงให้ก่อนเผื่อไว้ถ้าอะไรเรียบร้อยเร็วเดี๋ยวพาทหลังตามมาครับ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913