ตอนที่ 163 ซู่จิง (4)
เสียงเหี้ยมของสตรีวัยกลางคนพูดสอนดังมาจากที่ไกลๆ “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว ก็ไม่ใช่แก้วตาดวงใจของบิดามารดาอีก พวกเจ้าคือบ่าว คือทาส นายบอกให้พวกเจ้าไปทางทิศตะวันออก พวกเจ้าห้ามไปทางทิศตะวันตกเด็ดขาด นายบอกให้พวกเจ้ายกมือขึ้น พวกเจ้าห้าม… ทาสในหมู่ทาส คือพวกชั้นต่ำ…”
ฟังถึงตรงนี้มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ บ่าวไปบ่าวมา นายไปนายมา พูดวกวนจนนางเวียนหัวไปหมด ฟังจากน้ำเสียงคล้ายกับหรงหมัวมัวอบรมหวนจูเก๋อเกอในเรื่ององค์หญิงกำมะลออย่างไรอย่างนั้น เมื่อกำลังเดินอ้อมเรือน เสียงด้านในดังขึ้น
“ยืนให้ดี! ท่าที่ควรยืนเป็นเช่นนี้หรือ…แอบอู้งั้นรึ”
เพิ่งสิ้นเสียงตำหนิ ก็ได้ยินเสียงหวายดังขึ้น เพี๊ยะ หลังจากนั้นก็มีเสียงร้องไห้ ตามด้วยการอ้อนวอน “หมัวมัวอย่าตีเลยเจ้าค่ะ ข้าหิวจนไม่มีแรง ไม่ได้แอบอู้นะเจ้าคะ”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ได้ยินเสียงหวายดัง เพี๊ยะ ขึ้นอีกครั้ง เสียงของหมัวหมัวดังขึ้นอีก “เจ้าพูดว่าข้า? ที่แท้สิ่งที่ข้าพูดเมื่อกี้ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ต้องเรียกแทนตนเองว่าบ่าว…”
“หากเจ้าไม่อยากเรียกแทนตนเองว่าบ่าว พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งเจ้าไปหอไป่ชุน ที่นี่ล้วนมีแต่สตรี ใช้คำเรียกเจ้าและข้าได้ เรือนของข้าไม่อาจเลี้ยงคนที่ชอบกินแต่ขี้คร้านทำงาน ไม่ต้อนรับคนโง่แต่ไม่ยอมรับคำสอน”
“ไม่เจ้าค่ะ หมัวมัวได้โปรด บ่าว…บ่าวจะยืนให้ดี”
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเสร็จ นางพยักหน้าเล็กน้อย แม้คำพูดและการกระทำของหมัวมัวจะไม่มีเหตุผล ทว่าปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าวิธีของนางได้ผล อย่างน้อยเวลานี้ สตรีที่เมื่อครู่ร้องโอดครวญว่าหิวข้าว ทำตัวไม่มีระเบียบ ตอนนี้ก็เชื่อฟังนางแล้ว
ฟังเพียงคำพูดเหล่านั้นของมู่หมัวมัว การสั่งสอนที่เข้มงวดนั้น นางก็รู้ทันทีว่าลุงอวี๋ไม่ได้พามาผิดที่ หากไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่สามารถทำอะไรสำเร็จได้ แม้นางจะมีจิตวิญญาณของคนยุคปัจจุบัน แต่ก็เข้าใจคำที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
ในเมื่อซื้อมาเป็นสาวใช้ ซื้อมาให้ใช้แรงงาน เช่นนั้นก็ไม่อาจแทนตนว่าข้า เรียกผู้อื่นว่าเจ้าได้ บริษัทในยุคปัจจุบัน พนักงานยังต้องเรียกนางด้วยความเคารพว่าประธานมั่ว
ซื้อสาวใช้ที่ดีกลับไป จะคลายความกังวลใจได้ไม่น้อย หากซื้อสาวใช้ที่สร้างปัญหากลับไป เช่นนั้นก็มีแต่จะหงุดหงิด
ฟังถึงตรงนี้ พวกเขาสามคนเดินจากทางด้านนู้นของเรือน มายังประตูเรือนแล้ว ลุงอวี๋ส่งสายตาขออนุญาต มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้าเล็กน้อย ลุงอวี๋จึงค่อยเดินไปเคาะประตู
“มู่หมัวมัว อยู่หรือไม่”
ไม่นาน มู่หมัวมัวเปิดประตู ลุงอวี๋บอกว่าเป็นหญิงมีอายุ แต่ความเป็นจริงคือสตรีที่ค่อนข้างเรียบร้อย อายุสี่สิบกว่า สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
เพียงแต่ นางเงยหน้าขึ้นมองลุงอวี๋ ดวงหน้าของนางฉายความดีใจ รีบโยนหวายทิ้งแล้วเดินมาต้อนรับ พูดด้วยรอยยิ้ม “ไอหยา นี่เถ้าแก่อวี๋ไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงมีเวลาว่าง ที่ร้านขาดคน จึงมาอุดหนุนการค้าของข้าใช่หรือไม่ เช่นนั้นเถ้าแก่ก็มาถูกที่แล้ว คนของข้าที่นี่ทุกคนล้วนได้รับการสอนมารยาท ขยันและรู้งานเป็นที่สุด”
มู่หมัวมัวเปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งนัก เพียงชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมก็หายไปจนหมด
ขณะพูด มู่หมัวมัวเชิญทั้งสามเข้าไปด้านในเรือนแล้ว หันไปบอกสาวใช้ทั้งหลาย “ยังไม่รีบไปยกเก้าอี้ ไปชงน้ำชาอีก”
มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม พูด “ไม่ต้อง” นางมาซื้อสาวใช้ ไม่ได้มาดื่มน้ำชา จะนั่งอะไรกัน
เถ้าแก่อวี๋เห็นคิ้วที่ขมวดเป็นปมของมั่วเชียนเสวี่ยไม่คลาย ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ รู้อยู่แก่ใจว่านางอยากจะรีบซื้อสาวใช้แล้วรีบกลับไป จึงรีบพูดปฏิเสธ “มู่หมัวมัวไม่ต้องให้พวกเด็กๆ วุ่นวายแล้ว ฮูหยินของข้ามาที่นี่เพื่อเลือกซื้อสาวใช้กลับไปสองคน เมื่อหลายวันก่อนข้ามาบอกท่านแล้ว เจ้าเรียกสาวใช้ที่วันนั้นข้าบอกว่าใช้ได้ออกมาให้หมด ให้ฮูหยินของพวกข้าดูหน่อย”
ทันทีที่มู่หมัวมัวได้ยินว่ามั่วเชียนเสวี่ยคือลูกค้า และเมื่อได้ฟังลุงอวี๋บอกว่ามั่วเชียนเสวี่ยคือฮูหยินของเขา จึงยิ้มตาหยีแล้วพูดประจบประแจง “ไอหยา ที่แท้ฮูหยินก็มาเลือกด้วยตนเอง ข้าให้การต้อนรับไม่ดีแล้ว”
มู่หมัวมัวคนนี้แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนทำการค้าเก่ง ถ้อยคำนั้นพูดได้ไหลลื่นยิ่งนัก “ข้ามีทาสครบเครื่องที่สุด ในเมืองเทียนเซียงไม่มีที่ใดดีกว่าที่นี่อีกแล้ว เถ้าแก่อวี๋ก็เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ เมื่อหลายวันก่อนเคยมาดูหนึ่งครั้ง เลือกไปก่อนแล้วไม่กี่คน ข้าจะเรียกพวกนางออกมาเดี๋ยวนี้”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้คล้อยตามไปกับนาง ยังคงเสียงเยือกเย็น “ไม่ต้อง ให้สาวใช้ที่นี่ทั้งหมดของหมัวมัวเดินออกมา ข้าดูเองอีกหนึ่งรอบ”
สาวใช้พวกนี้วันข้างหน้าต้องปรนนิบัติรับใช้นาง ขอเพียงนางถูกใจก็พอแล้ว ในเมื่อมาถึงแล้ว เหตุใดจึงไม่ดูให้หมด ดูแต่คนที่ผู้อื่นเลือกเอาไว้ก่อน ให้ผู้อื่นจัดการชีวิตของนาง นี่ไม่ใช่นิสัยของมั่วเชียนเสวี่ย!
มู่หมัวมัวได้ยินคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ย รู้ทันทีว่านางไม่ใช่นายที่รับมือได้ง่าย รอยยิ้มบนดวงหน้าไม่เพียงไม่ได้จางหายไป แต่กลับยิ้มแก้มปริยิ่งกว่าเดิม ปรบมือหนึ่งครั้ง “บรรดาสาวใช้ ออกมาให้หมด”
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามู่หมัวมัวเป็นคนมีฝีมือจริงๆ เพียงปรบมือ สาวใช้ที่ตอนแรกยืนอยู่ด้านนอกรีบเข้าแถวเป็นระเบียบทันที สาวใช้นับสิบเดินออกมาจากห้องในชั่วพริบตา และยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเช่นเดียวกัน
สายตาของมั่วเชียนเสวี่ยมองไปยังสาวใช้ทั้งสิบกว่าคน แม้เสื้อผ้าจะสะอาด ทว่าเก่ามากแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้า นางไม่ชอบความสกปรกมาโดยตลอด ความสะอาดคือประการแรก
แต่ว่าจะเลือกสาวใช้ที่ดีกลับไปสองคนจากสาวใช้มากมายเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
สาวใช้สองคนที่นางต้องการ คนหนึ่งต้องทำอาหารเก่ง อีกคนต้องเย็บปักถักร้อยได้ แน่นอนว่าทั้งสองต้องเป็นคนที่มีไหวพริบ
สาวใช้ทั้งหลายก็ลอบมองมั่วเชียนเสวี่ยเช่นเดียวกัน เห็นกิริยาของนางมีสง่า เสียงใส แววตาเที่ยงตรง แตกต่างกับพ่อบ้านหยิ่งผยอง และหมัวมัวในตระกูลใหญ่โตที่เป็นสาวใช้เช่นเดียวกันไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
ด้วยเหตุนี้ สัญชาตญาณที่เรียนรู้มาจากความทุกข์ยาก ทำให้พวกนางรู้ทันที สตรีคนนี้ต้องเป็นคนดีแน่นอน ถูกนางซื้อไป ไม่รู้ว่าจะสุขสบายหรือไม่ แต่อย่างน้อยไม่มีทางหิวโหยและโดนลงโทษโดยไม่มีหตุผล
ทั้งสองฝ่ายมองกันอย่างพิจารณา ครู่หนึ่งทั่วทั้งเรือนก็เงียบสงัด
ทว่า เงียบเพียงครู่หนึ่ง สาวใช้เจ็ดแปดคนในสิบกว่าที่ฝึกอยู่ในลานหน้าเรือนเมื่อครู่ต่างวิ่งมาคุกเข่าตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ยราวกับฝูงผึ้ง ร้องตะโกน “ฮูหยิน ข้าซักผ้าและทำอาหารเป็น ท่านซื้อข้าเถอะ”
“ฮูหยิน ข้าปูเตียงเป็น ท่านซื้อข้ากลับไปเถอะ”
มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อครู่หมัวมัวนั่นเพิ่งสอน ต้องขานเรียกด้วยความเคารพ นี่ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีก็ลืมกันไปหมดแล้ว พูดแทนตนเองว่าข้าๆ นางไม่ได้ต้องการที่จะพิถีพิถันกับระดับชั้นทางสังคม เพียงแต่ตัวนางเองไม่ใช่คนที่ชอบพูดซ้ำหลายรอบ หากแค่เรื่องวางตัวสาวใช้เหล่านี้ยังไม่มี เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณา
มู่หมัวมัวเห็นมั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้ว มองไปที่สองใช้ด้วยแววตาเข้มงวดพร้อมกับทำเสียงฮึดฮัด พวกสาวใช้รีบเงียบเสียงลงทันที แต่นัยน์แววตาที่เงยขึ้นมาของพวกนาง เปี่ยมไปด้วยการอ้อนวอน
หันไปมองสาวใช้สิบกว่าคนที่เดินออกมาจากห้อง แม้แววตาของพวกนางจะเปี่ยมไปด้วยการอ้อนวอน ทว่าทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความเคารพ เฝ้ารอฟังคำสั่ง…