จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 141
“ฆ่ามันให้ข้าเดี๋ยวนี้! ฆ่ามัน!”
เหยาซึ่งคํารามด้วยความโกรธ
ได้ยินคําสั่งนี้ชายชราก็ขมวดคิ้ว “นายน้อยพวกเราไม่ควรก่อปัญหาภายในเมืองอสูร”
“เมืองอสูรแล้วยังไง? หรือจะยิ่งใหญ่ไปกว่าสํานักเมฆาคล้อยของเรา?ก็แค่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งปู่ข้าลําบากเพียงยกมือก็ทําลายจนราบได้แล้วเหยาคงข้าขอสั่งให้เจ้าสังหารมันให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อครู่เพิ่งปัสสาวะราดเพราะความกลัว ตนเองอยู่ห่างจากประตูนรกเพียงแค่คืบความหวาดกลัวกัดกินจิตใจอย่างรุนแรงหากฉันเทียนไม่ตายเหยาชิงก็คงไม่มีวันเชิดหน้าชูตาได้อีก
ผู้อาวุโสเหยาควง ระดับหนึ่งขั้นจุติ เป็นบ่าวรับใช้ตระกูลเหยาเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่ระวังเนื้อระวังตัวอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้าเมืองอสูรมาเขารู้สึกราวกับว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจับจองพวกเขามาโดยตลอดสร้างความครั่น เนื้อครั่นตัวไม่สบายใจอย่างมาก
จนบัดนี้ก็แทบจะไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นเจ้าเมืองอสูรตัวเป็นๆมาก่อน
แต่เรื่องที่ว่าเจ้าเมืองอสูรอยู่ในขั้นจักรวาลแล้วคงไม่ผิดอย่างไม่ต้องสงสัย
เหยาคงมั่นใจมากว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในการรับรู้ของเจ้าเมืองอสูรแต่เรื่องที่ว่าเหตุใดจึงไม่ลงมือนั้นเหยาคงเองก็หาทราบไม่
เห็นท่าทางโกรธแค้นของเหยาชิง ในใจของเขาก็จมดิ่งลงสายตาเบนไปมองฉันเทียนก่อนจะคิดขึ้นในใจ เป็นพลังปราณที่ลึกล้ํานักคนนี้จะต้องเป็นศิษย์ที่ท้าทายสวรรค์ของสํานักเป็นแน่หากไม่กําจัดทิ้งเสียตอนนี้ภายหน้าคงกลายเป็นเภทภัยต่อสํานักเมฆาคล้อยแล้ว”
เหยาคงหรี่ตาลง กลิ่นอายของขั้นจุติเริ่มแผ่ออกจากร่าง
ผู้บ่มเพาะขั้นจุติ พลังที่มีจะมากมหาศาลเพียงใด?
หากปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาทั้งเมืองอสูรแห่งนี้คงหลงเหลือเพียงซาก
เหล่าผู้ที่เดิมที่คอยดูเอาสนุกพลันหน้าซีดลง จากนั้นจึงรีบเผ่นหนีไปด้วยความตื่นตระหนก คนเหล่านี้อาจไม่เกรงกลัวผู้บ่มเพาะขั้นสวรรค์แต่ไม่ใช่กับผู้บ่มเพาะขั้นจุติ
ฉินเทียนพลันหน้าเครียดพลังมังกรคชสารเริ่มร่ําร้องอยู่ภายในกายอย่างกระสับกระส่ายราวกับพวกมันกําลังหวาดกลัว
“พลังจุติ…นี่ก็คือพลังของขั้นจุติ?
พลังจุติ เป็นพลังที่มีระดับชั้นสูงกว่าพลังสวรรค์ไปไกลเป็นพลังที่ยึดหลักทําลายแล้วสร้างขึ้นใหม่สรรพสิ่งใดๆล้วนแต่เวียนวนเป็นวัฏจักรเป็นพลังที่แทบจะฝืนสวรรค์
เกิดใหม่จากการทําลายล้าง?
ฉินเทียนหลับตาลงพลางเผยยิ้มบาง เหมือนเขาจะเกิดการรู้แจ้งโดยไม่รู้ตัวทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบต่างอยู่ใน การรัลรู้ของกล่นอายนักล่าอีกครั้งนั่นยังรวมถึงกลิ่นอายภายในร่างของเหยาคงกลิ่นอายที่สัมผัสได้นั้นงดงามและตราตรึงใจอย่างมาก
“ไม่กลัวเลยงั้นรึ?” เหยาคงชะงัก ฉุนเทียนไม่ได้หนีไปตรงกันข้ามเขากลับดูสงบจนน่าตกใจ เหยาคงแค่นเสียงเย็นเสแสร้งงั้นรึ? เหอะแต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเจ้าก็ยังหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้า
“กระบี่จุติสวรรค์!”
เหยาคงตะโกนพลางใช้พลังจุติสร้างขึ้นเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งเกิดคลื่นกระแทกปะทุขึ้นบนฟ้าจนแหวกเมฆหมอกออกเป็นสาย เผยให้เห็นมิตินอกดวงดาวอยู่ลางๆ
ฉินเทียนยังคงนิ่งไม่ไหวติง
ยังคงนิ่งสงบเหมือนแต่ก่อน กระบี่จุติสวรรค์นี้ฉันเทียนไม่มีหนทางต้านทานหรือทําลายได้เลย แม้แต่จะหนีก็ ยังทําไม่ได้กระนั้นบนใบหน้าของเขากลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
เป็นรอยยิ้มอันลี้ลับที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมาย
“ฮ่าๆ กลัวจนบ้าไปแล้วงั้นรึ?” เหยาชิงหัวเราะอย่างสะใจเห็นฉันเทียนร่างแข็งที่อไม่ขยับ เขาก็ยิ่งมีความสุข “อย่างนั้นก็ตายได้แล้ว!”
“ตาย?!” ฉุนเทียนยิ้มเย็นท่าทางดูเปลี่ยนไปจากเดิม
กระบี่จุติสวรรค์ฟันลงมาทางฉุนเทียน แรงกดดันที่โถมทับเข้ามาเกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างที่สุด
เฉินเทียนแค่นเสียง ในใจร้องตะโกน ถล่มน้องสาวมันเถอะ!ทําไมยังไม่ออกมาอีก?’
นับตั้งแต่ที่เหยาคงปรากฏตัวออกมา ฉินเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีพลังยิ่งใหญ่สายหนึ่งกําลังจับจ้องมองมายังเมืองอสูรพลังสายนี้ยิ่งใหญ่สุดประมาณราวกับยักษ์ที่สามารถบดบังทั่วท้องฟ้า
เมื่อเหยาคงปรากฏตัวลงมือ พลังสายนั้นก็มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหวฉันเทียนยังสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธเกรี้ยวจากพลังสายนั้นได้ลางๆ
คิดถึงคําเล่าลือของเมืองแห่งนี้แล้วฉันเทียนก็มั่นใจว่าพลังสุกสะพรึงขุมนี้จะต้องเป็นของเจ้าเมืองอสูรไม่ผิดแน่
ฉันเทียนกําลังเดิมพัน เดิมพันว่าพลังสายนี้จะต้องลงมือหยุดยั้งเหยาคง
เผชิญหน้ากับขั้นจุติเช่นเหยาคง โอกาสหลบหนีย่อมไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวส่วนที่ว่าทําไมเขาถึงดูไม่ได้เกรง กล้วเหยาคงเลยนั้นนั่นก็เพราะเขามั่นใจว่าเจ้าเมืองอสูรจะต้องสอดมือเข้ามาขัดขวาง
ตอนที่เหยาชิงกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นั้นเองกลิ่นอายของพลังอันยิ่งใหญ่นั้นก็ดูคล้ายจะโมโหขึ้นมา
“เปรี้ยง…….”
เกิดเสียงดังขึ้นคราหนึ่ง
กระบี่จุติสวรรค์ของเหยาคงพลันหายไปแรงกดดันที่เกิดจากพลังจุติของเหยาคงพลันหายไป คล้ายเรื่องราวก่อนหน้าเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
ฉินเทียนยังไม่ตาย
รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งมายิ่งกว้างขึ้น หากแต่ในใจกลับเดือดดาลจนก่นด่าสาปแช่งไม่หยุด หากมีโอกาสบิดาต้องกระทืบเจ้าแน่!”
เหยาคงผงะก่อนจะรีบรวมรั้งพลังจิตกลับเข้าร่าง จากนั้นจึงรีบกลับไปยังข้างกายของเหยาชิงพลางขมวดคิ้วมุ่น
กระบี่จุติสวรรค์ถูกทําลายในพริบตา มีเพียงบุคคลเพียงคนเดียวภายในเมืองแห่งนี้ที่สามารถกระทําได้เจ้าเมืองอสูร
สายลมพัดผ่าน เงาดําหนึ่งลอยเด่นอยู่เหนือน่านฟ้าเมืองอสูรด้านหลังของร่างนั้นมีปีกสีดําคู่ มีความยาวราว สามสิบเมตรในมือของเงาดํานั้นมีหอกสีดําสนิทแววตาของร่างนั้นดํามืดราวกับหุบเหวอันไร้กันกลิ่นอายที่แผ่กําจายออกมาคล้ายกับปีศาจที่บ่มเพาะอยู่ในนรกมาหลายหมื่นปีเพียงปรากฏตัวขึ้นก็สร้างความหวาดกลัวต่อผู้คน
ร่างจําแลงปีศาจ!?
ร่างดําทมึนนี้ถึงกับถูกสร้างขึ้นด้วยพลังจักรวาลล้วนๆพลังที่แผ่ออกยังทําให้ให้ผู้คนต่างพากันหายใจไม่ทั่วท้อง
เหยาคงสั่นเพิ่มก่อนที่ใบหน้าจะซีดเผือดเขารีบโค้งคํานับลงอย่างน้อมนอบ “ขอเจ้าเมืองอสูรโปรดอภัย”
“สํานักเมฆาคล้อยต้องการละเมิดกฏของเมืองอสูร?” ร่างจําแลงนั้นกล่าวก่อนจะสะบัดหอกคราหนึ่งพลังสุดสะพรึงก็ระเบิดออกโขมที่ไปยังหน้าอกของเหยาคง
เหยาคงกระอักเลือดลอยกระเด็นไปหลายร้อยเมตร เลือดลมภายในร่างเกิดความปั่นป่วน มุมปากหยดย้อยด้วยโลหิตเขารีบลุกขึ้นก่อนจะโค้งคํานับลงอีกครั้ง บนใบหน้าไม่ปรากฏร่องรอยโทสะให้เห็นแม้เพียงสักเสียว”พวกเราย่อมไม่กล้า”
“ไม่กล้ากระนั้นรี?” ร่างจําแลงแค่นเสียง ดวงตาดํามีดหันไปจ้องมองเหยาชิง “ไม่ใช่ว่าสํานักเมฆาคล้อยไม่เห็นเมืองอสูรของข้าอยู่ในสายตาหรอกหรือ?”
เหยาชิงที่ยืนขาสั่นอยู่เมื่อได้ยินแบบนั้น ก็รีบทรุกตัวลงคุกเข่าเอาศีรษะแนบไปกับพื้นด้วยร่างกายที่ยังคงสั่น เทาไม่หยุด มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจความหมายของวาจานี้
ชุดคลุมบริเวณท่อนล่างเริ่มเปียกชื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งก่อนปัสสาวะครั้งนี้ก็อุจจาระราดแล้ว น่าอับอายขายหน้าอย่างที่สุด
“ขอท่านเจ้าเมืองโปรดให้อภัย คุณชายท่านนี้เป็นหลายชายของท่านเหยาหม่ หวังว่าท่านจะอภัยละเว้นเขาสักครั้งเป็นการไว้หน้านายท่านของข้า”
“เหยาหม? ระดับสูงสุดขั้นจักรวาลเหยาหม?”
เห็นร่างจําแลงนั้นนิ่งเงียบไป เหยาคงก็เริ่มมีความกล้าขึ้นมา ที่เหลือก็เพียงรอคอยคําตอบที่ต้องการได้ยิน
จู่ๆหอกสีดําสนิทก็พลันปะทุพลังออก พลังแห่งจักรวาลที่ปรากฏอย่างฉับพลันนี้ถึงกับทําให้กฏเกณฑ์ของโลกเกิดการบิดเบี้ยว พลังที่ปะทุออกได้กวาดเอาร่างของเหยาคงลอยขึ้นมาก่อนจะกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง
“โครม!”
บังเกิดหลุมลึกหลุมหนึ่งขึ้นมา เหยาคงที่โลหิตอาบทั่วร่างค่อยคืบคลานขึ้นจากหลุม ดวงตาฉายแววประหวั่นพรั่นพรึงเขาหมอบฟุบร่างนิ่งกับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจโดยแรง
อยู่ต่อหน้าตัวตนที่สูงส่งสุดสูงอย่างขั้นจักรวาล ที่ทําได้ก็มีเพียงขอความเมตตาให้อีกฝ่ายละเว้นตนโอกาสต่อสู้ขัดขึ้นย่อมไม่มีแม้สักเสี้ยว และที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ยังเป็นเพียงร่างจําแลงหากว่าเอาร่างจริงออกมาเกรงว่าไม่ทันขยับเคลื่อนไหวก็คงมอดม้วยมรณาแล้ว
“พลังของขั้นจักรวาล กระทั่งฟ้าดินยังต้องสะเทือน แข็งแกร่ง ช่างแข็งแกร่งนัก ฉุนเทียนตื่นเต้นอย่างมากมองดูร่างจําแลงปีศาจที่ลอยอยู่บนฟ้า หัวใจก็เต้นไม่เป็นระส่ํา บงการพลังฟ้าดินดังใจนึกนี่ก็คือพลังของขอบเขตจักรวาล!