จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 142

ฉินเทียนรู้สึกตื่นเต้น

เพียงร่างจําแลงของผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลก็สะกดข่มผู้บ่มเพาะขั้นสวรรค์เสียจนอยู่หมัดเพียงมือวาดเท้ายอดฝีมืออย่างเหยาคงก็สิ้นท่า ง่ายดายอะไรปานนั้น นี่เป็นระดับพลังที่เหนือจินตนาการขั้นจุติและขั้นจักรวาลช่างแตกต่างกันมากมายมหาศาล

ฉินเทียนยังรู้สึกชื่นชมและโล่งอกในเวลาเดียวกันหากอีกฝ่ายลงมือไม่ทันเวลาตอนนี้เขาก็คงกลายสภาพเป็นปุ๋ยไปแล้ว

แม้จะเพิ่งโมพันชนะมาหมาดๆ แต่แผ่นหลังของเขาก็ยังช่มไปด้วยเหงื่อ

เมื่อครู่นี้ทําเอารู้สึกอึดอัดแทบตายแล้ว

เมื่อเปลือกนอกจะดูผ่อนคลาย แต่ในใจยังกลัวอยู่ไม่หาย

ทั่วร่างของเหยาคงเกลื่อกลาดไปด้วยบาดแผล เขาหมอบฟุบร่างอยู่กับพื้นพลางหอบหายใจอย่างหนักเลือดลมภายในตีกันปั่นป่วนวุ่นวายไม่มีหนทางทําให้มันสงบลงสายตาเงยขึ้นมองดูร่างจําแลงที่อยู่บนฟ้าด้วยความสิ้นหวัง

จากนั้นจึงหันไปมองเหยาชิงที่ทั้งถ่ายหนักถ่ายเบาออกมาจนหมด ชายหนุ่มผู้นี้เรียกได้ว่าถูกขู่จนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้วเหยาชิงยังคงแนบผากไปกับพื้นพลางตัวสั่นระริกไม่กล้าขยับ

ทายาทผู้มีอํานาจก็มักจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาชื่นชอบอวดโอ่บารมีด้วยความหยิ่งยโส เหยาชิงมีปู่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดดังนั้นจึงมักวางท่าอยู่ในสํานักเมฆาคล้อยได้โดยไม่ติดขัด มีหรือที่จะเคยพบเคยเจอกับภาวะคับขันเป็นตายเช่นนี้?

“ใต้เท้าเจ้าเมืองโปรดเมตตาพวกเราด้วย บุญคุณครั้งนี้พวกเราสํานักเมฆาคล้อยจะไม่ลืมเลือน” เหยาคงเค้นเรี่ยวแรงที่หลงเหลือร้องขอความเมตตา

ร่างจําแลงส่งเสียงหัวเราะดุจปีศาจร้ายจากขุมนรก เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วชวนขนลุกยิ่งนัก

ร่างจําแลงสะบัดหอกพลางคํารามออกมา “ไสหัวไป แล้วจงอย่าได้กลับมาเหยียบเมืองนี้อีกมิเช่นนั้น…”

“หึหึ…มิเช่นนั้นเจ้าจะได้ไปเยือนนรกแล้วตกเป็นทาสของปีศาจไปตลอดกาล ฮ่าๆ…………..”

เสียงหัวเราะอันชั่วร้ายที่แฝงไว้ด้วยพลังจักรวาลได้สลักลึกลงในใจของผู้คนราวกับจะไม่มีวันหายไปนี่เป็นความรู้สึกที่เลวร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีก

เหยาคงนําเม็ดยาออกมาใส่ปากเพื่อฟื้นฟูร่างกาย จากนั้นจึงเข้าไปพยุงเหยาชิงลุกขึ้นเดินออกจากเมือง

ก่อนไปยังหันมามองฉันเทียนคราหนึ่ง

ฉันเทียนเพียงเผยยิ้มสดใส

แต่ในสายตาของเหยาคงแล้วนี่ไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มของปีศาจ เหยาคงขมวดคิ้ว

แน่นอนว่าฉันเทียนอยากสังหารอีกฝ่ายใจแทบขาด ทว่าเขาก็ไม่แน่ใจว่าเหยาคงยังเหลือกําลังอยู่อีกเท่าใดหากว่าเหลือไม่ถึงครึ่ง…..

เฉินเทียนเริ่มวางแผนอยู่ในใจ มุมปากแสยะยิ้มชั่วร้าย

หากปล่อยแกะตัวอวบอ้วนที่กําลังบาดเจ็บตัวนี้ไปเฉยๆ ฉุนเทียนคงรู้สึกเจ็บใจไปทั้งชีวิตยังมีดหยาชิงที่เป็นทายาทของบุคคลระดับสูงของสํานักเมฆาคล้อยอีกคน เจ้าคนผู้นี้จะต้องมีสมบัติพกไว้กับไม่ใช่น้อยๆแน่หากสังหารคนทั้งสองนี้ได้สําเร็จสมบัติที่ได้มาจะต้องไม่ธรรมดาแม้ชิ้นเดียว

ยิ่งคิดก็ยิ่งคึกคัก ฉุนเทียนแทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว!

“รอก่อนเถอะ บิดาจะไปหาเจ้าทั้งสองในไม่ช้า

หนึ่งชราหนึ่งเยาว์พยุงกันออกจากเมืองไป ภายใต้สายตาที่ทอแววเยาะเย้ยหรือกระทั่งมีจิตคิดร้าย…..

“ไม่ดีแน่ ปล่อยแกะอ้วนไปแบบนี้ใยไม่ใช่ตกอยู่ในมือของผู้อื่น? ฉุนเทียนหุบยิ้มและต้องการจะสะกดรอยเหยื่อไปอย่างเงียบๆ

ตอนนั้นเองเพิ่งผ่านอีกกลับมาพร้อมด้วยโลหิตชโลมร่าง บนหลังของเขาแบกร่างของเฮยหยานไว้ทุกก้าวที่เดินยังทิ้งคราบโลหิตเอาไว้ ดูท่าเพิ่งผ่านอีคงจะเจ็บหนักจริงๆ

ระดับสุดยอดขั้นกลั่นวิญญาณคนเดียวสู้กับระดับเดียวกันอีกสี่คนย่อมห่างไกลจากคําว่าง่ายอยู่แล้ว

เห็นแบบนั้นฉันเทียนก็เจ็บปวดใจ เขารีบเข้าไปช่วยพยุงเพิ่งผ่าน “ไม่ต้องพูดแล้ว ประคองสติเอาไว้จะได้ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน”

ฉันเทียนนําเม็ดยาออกมาให้เพิ่งผ่านอีกกินเข้าไป

หลังจากกลืนยาไปแล้วเพิ่งผ่านอีก็นั่งลงแล้วหลับตาฟื้นฟูกาย โลหิตตามร่างเริ่มหยุดไหล สีหน้าท่าทางก็ดี ขึ้น

“พี่ใหญ่เฮย นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ฉุนเทียนหันไปมองเฮยหยานที่นิ่งเงียบราวกับคนตายอย่างปวดใจ

ตอนนี้ใบหน้าของเฮยหยานเป็นสีขาวเหมือนขี้ผึ้ง และร่างกายของเขาก็แข็งที่อไม่ต่างจากศพหากไม่ใช่เพราะสัมผัสได้ถึงหัวใจที่กําลังเต้นและการไหลเวียนโลหิตภายในร่างแล้วฉันเทียนยังนึกว่าเฮยหยานตายไปแล้วเฮยหยานค่อยๆลืมตาขึ้นมองฉันเทียนดวงตาของเขาขยับเบาๆ ริมฝีปากก็สั่นราวกับจะเอ่ยคําพูดชัดเจนว่าเขา ต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่างหากแต่ไม่มีเสียงเปล่งออกมา

“เป็นแบบนี้ได้ยังไง?” ฉุนเทียนรีบใช้กลิ่นอายนักล่าตรวจสอบหาสาเหตุ หากแต่ก็ไม่พบว่าผิดปกติตรงที่ใด”เป็นแบบนี้ได้ยังไง เป็นแบบนี้ได้ยังไง?!”

สําหรับฉันเทียนแล้ว เฮยหยานเป็นทั้งพี่ชายและครูผู้ชี้แนะ ตอนอยู่ภายในเทือกเขาคุนหลุนเฮยหยานได้สอนให้เขาล่า สอนว่าใช้ปราณอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นแล้วหันกลับมามองดูเฮยหยานในเวลานี้ ฉันเทียนก็รู้สึกราวกับถูกมีดกรีดผ่าหัวใจ

เป็นความเจ็บปวดที่สุดแสนทรมาณใจ

“เขาถูกพิษ ทั้งยังเป็นพิษกร่อนวิญญาณที่ร้ายแรง พิษนี้เมื่อแพร่แล้วก็จะกัดกร่อนภายในจนกว่าผู้ที่ได้รับพิษจะตกตาย….”

เพิ่งผ่านอีกล่าวอย่างออกมาเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของฉันเทียน “พิษกร่อนวิญญาณที่อยู่ภายในร่างของเขามีความเชื่อมโยงกับพลังจิตวิญญาณของผู้แพร่พิษ ขอเพียงผู้ที่แพร่พิษนี้ตกตายพิษกร่อนวิญญาณก็จะสลายไปตามธรรมชาติ”

“ข้าเคยเห็นผ่านตาจากตํารายาโบราณ และอาการของเขาก็คล้ายกับที่บรรยายไว้ในนั้น พิษชนิดนี้ ผู้ถูกแพร่ และผู้ใช้พิษไม่อาจอยู่ห่างกันเกินไป ไม่เช่นนี้พิษจะกําเริบขึ้นเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นแข็งที่อ ไม่นานกลิ่น อายของเขาก็จะค่อยๆหายไป ร่างกายก็จะเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว” เพิ่งผ่านอีกล่าวเสริม

“พิษกร่อนวิญญาณ?” ฉุนเทียนผงะ “สารเลวสํานักเมฆาคล้อย นี่มันจะชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”

ฉินเทียนเดือดดาลจนฝุ่นผงโดยรอบเริ่มลอยขึ้น

ผู้ที่แพร่พิษชนิดนี้ใส่เฮยหยานคงเป็นเหยาชิงไม่ผิดแน่

“รอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะไปฉีกร่างของมันเป็นชิ้นๆ…..”

ร่างของฉันเทียนเปลี่ยนเป็นเงาดําพุ่งหายไปจากถนน

“หยุดก่อน!”

ร่างจําแลงที่ลอยตัวอยู่บนฟ้าพลันสกัดฉินเทียนเอาไว้ “ประมุขเจ้าเมืองต้องการพบเจ้า”

“ข้ายังไม่ว่าง” ฉนเทียนกล่าวตอบ ความเดือดดาลของเขาพุ่งทะยานถึงขีดสุด ต่อให้สวรรค์จะถล่มลงมาตรงหน้าเขาก็จะต้องฆ่าเหยาชิงให้ได้

“บังอาจ!”

ร่างจําแลงแค่นเสียง มันไม่สนใจว่าฉันเทียนจะมีเรื่องเด่นด่วนอะไร เมื่อประมุขเจ้าเมืองเอ่ยปากออกมาคนทั้งหมดล้วนต้องปฏิบัติตาม

ฉินเบิกตากว้างพร้อมเผยความเดือดดาลออกมา “ไสหัวไป!”

เมื่อความโกรธครอบงําความคิด ฉุนเทียนก็ไม่สนใจอะไรอีก ต่อให้ต้องปะทะกับร่างจําแลงของผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลเขาก็จะไม่หันหลังกลับในใจปราศจากความเสียใจใดๆทั้งสิ้น

เฮยหยานเป็นพี่ใหญ่ที่น่าเคารพเลื่อมใสของเขา

เมื่ออีกฝ่ายถูกคนวางยาพิษจนอาจสิ้นใจได้ทุกเมื่อแบบนี้ มีหรือที่ฉินเทียนจะทนดูอยู่เฉยๆ?

ไม่ว่าผู้ใดจะปรากฏตัวออกมาหยุดยั้ง เหยาชิงก็จะต้องตาย ต่อให้เป็นเจ้าเมืองอสูรก็หยุดเขาเอาไว้ไม่ได้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงแค่ร่างจําแลงร่างหนึ่ง

จิตสังหารและความเดือดดาลที่ฉินเทียนแสดงออกทําให้ร่างจําแลงชะงัก แววตาดํามีดไหววูบคราหนึ่ง

“เอาเถอะ หากพวกเจ้าไม่กลับมาในหนึ่งวัน พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตาย”

ร่างจําแลงนี้กลับประนีประนอมแล้ว!?