ตอนที่ 143
ร่างจําแลงเก็บหอกกลับก่อนจะบินหายไป
ฉันเทียนขมวดคิ้วแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเร่งฝีเท้าไล่ล่าเหยาชิงต่อไป
ยิ่งเหยาชิงทิ้งห่างออกไปไกลมากเท่าใด อาการของเฮยหยานก็จะยิ่งย่ําแย่ลงเท่านั้น
ฉินเทียนไม่มีเวลาให้ขบคิดว่าเหตุใดร่างจําแลงจึงกล่าวออกมาเช่นนั้นตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ไปสนใจเรื่องอื่นตอนนี้ในสมองหลงเหลืออยู่เพียงความคิดเดียวฆ่าเหยาชิง
ร่างของฉันเทียนกลายเป็นเงาพุ่งออกจากเมืองอสูรไป
เมื่อร่างจําแลงจากไป เมืองอสูรก็กลับมาคึกคักดังเก่า
ตอนที่ฉินเทียนประสานทักษะทั้งสามเข้าด้วยกัน ร่างจําแลงก็ชะงักไปด้วยความตะลึง อีกทั้งพลังแห่งความมืดนี้ยังผสมผสานไว้ด้วยพลังชนิดอื่นๆ นี่ทําให้มันสับสนนัก เนื่องจากมันเป็นร่างจําแลงที่ถูกสร้างขึ้นดังนั้นสิ่งที่ มันสัมผัสได้ร่างจริงก็ย่อมสัมผัสได้เช่นกัน
การปรากฏขึ้นของพลังที่ผสมผสานกันทั้งสามชนิดนั้นทําให้เจ้าเมืองอสูรถึงกับตะลึงแล้วจริงๆ
ตอนนี้เขาเริ่มสนใจฉินเทียนขึ้นมาแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะยื่นมือช่วยเหลือฉุนเทียนสักเล็กน้อย
สํานัหเมฆาคล้อยเป็นสํานักใหญ่มากอิทธิพล ความแข็งแกร่งยังเหนือกว่าเมืองอสูรอยู่หลายขุม นั่นเป็นเพ ราะอีกฝ่ายอาจจะมีผู้บ่มเพาะขั้นบรรลุวิถีอยู่ เพียงคนผู้นั้นขยับนิ้วเมืองเล็กๆอย่างเมืองอสูรก็คงกลายเป็นฝุ่นผงเรื่องนี้เองที่ทําให้เจ้าเมืองอสูรรู้สึกลังเล สุดท้ายจึงตัดสินใจเพียงทําร้ายเหยาคงบาดเจ็บหนักแต่ไม่ได้เอาชีวิต
หากเกิดเรื่องขึ้นที่นอกเมือง นั่นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาแล้ว
แต่หากอีกฝ่ายต้องการจะมาหาเรื่อง เมืองอสูรแห่งนี้ก็หาหวาดกลัวการรบไม่
พลังที่เขาครอบครองอยู่ย่อมเพียงพอจะสั่นสะเทือนทั้งทวีปเทียนหยวน…..
กลับมาทางด้านจิ้นเทียน
ฉันเทียนเร่งความเร็วขึ้นจนเกือบจะถึงขีดจํากัด
แก่นภายในตันเถียนทั้งห้าหมุนวนคอยเติมพลังปราณอย่างต่อเนื่องฉินเทียนยังนําเอาเม็ดยาที่ตนหลอมปรุงขึ้นมาในช่วงนี้ออกมาใช้เพื่อทําให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุดเมื่อสามารถเติมพลังมาได้ถึงห้าหมื่นจุดฉุนเทียนก็มั่นใจขึ้นมาแล้ว
ต่อให้ฆ่าเหยาคงไม่ได้ แต่เหยาชิงไม่มีปัญหาแน่
เมื่ออกนอกเมืองมาได้ระยะหนึ่ง ฉุนเทียนก็ใช้กลิ่นอายนักล่า
ฉินเทียนขมวดคิ้ว “มีบางคนไปถึงก่อนแล้ว”
เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ภายในเมืองอสูรได้ย่อมมีจิตใจชั่วร้ายทั้งยังโหดเหี้ยมเป้าหมายเป็นนายน้อยของสํานักใหญ่ทุกคนย่อมทราบว่าอีกฝ่ายจะต้องพกสมบัติติดตัวเอาไว้ไม่น้อยแล้วมีหรือที่คลังสมบัติเคลื่อนที่เช่นนี้จะไม่ดึงดูดใจของเหล่าโจรร้าย?
เมื่อเหยาคงและเหยาชิงออกจากเมือง ที่ด้านหลังก็มียอดฝีมือขั้นสวรรค์ลอบสะกดรอยตามมา
เหยาคงย่อมสัมผัสได้ทว่าเขาเดินทางมาด้วยความรีบเร่งดังนั้นจึงไม่ได้พกเครื่องรางเคลื่อนย้ายพันลื้มาด้วย
ส่วนเหยาชิงนั้นก็ยิ่งไม่พกของสิ่งนี้ ทั้งยังไม่เคยใช้มันในสายตาของเขาทุกผู้คนล้วนแต่ต้องหลีกทางให้กับเขาแล้วเขาจะเตรียมของไร้สาระแบบนั้นไว้ทําไม?
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นนายน้อยแห่งสํานักเมฆาคล้อย?”
“ต่อให้ปล้นคนก็ต้องรู้จักประเมินกําลังของตนเองหากว่าเจ้าสังหารข้าอย่าว่าแต่พวกเจ้าเลยกระทั่งเมืองอสูรก็จะถูกขุดรากถอนโคนข้าแนะนําว่าพวกเจ้าอย่าทําอะไรที่เกินตัวจะดีกว่า”เหยาชิงจ้องมองกลุ่มคนที่สวมดคลุมสีดําพลางตะโกนออกมา
ดูเหมือนว่าเหยาชิงจะเคยตัวจนลืมไปแล้วว่าเขากําลังอยู่ที่ไหน
ทั้งยังลืมเลือนว่าเหยาคงกําลังบาดเจ็บหนัก
หลังออกจากเมืองอสูรมาได้ แรงกดดันที่เคยทําให้เขาหวาดกลัวก็จางหายไป ดังนั้นเขาจึงกลับมาเย่อหยิ่งอีกครั้งราวกับท่าทางขลาดเขลาอ่อนแอก่อนหน้านั้นไม่เคยเกิดขึ้น
“ทุกท่าน วันนี้พวกเราต่างเลิกแล้วกันในลักษณะนี้ดีหรือไม่ ในภายหน้าพวกเราย่อมต้องตอบแทนน้ําใจนี้ นี่เป็นโอสถเปยหยวนจํานวนสิบเม็ด ขอทุกท่านยิ้มรับเอาไว้” เหยาคงหน้าดําคร่ําเครียดขณะที่นําโอสถเป่ยหยวนออกมา
เมื่อโอสถกระทบอากาศก็บังเกิดเป็นกลิ่นหอมกําจาย ที่รอบเม็ดยายังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณบริ สุทธ์ได้ลางๆ
สีหน้าของคนกลุ่มนั้นพลันเปลี่ยนไป ดวงตาเริ่มปรากฏความโลภขึ้นมา
“เหยาคง ใยพวกเราต้องมอบของดีให้กับเศษสวะพวกนี้ด้วย? พวกมันเป็นใครถึงมีคุณสมบัติมาใช้โอสถเป่ยหยวนของสํานักเมฆาคล้อยของพวกเรา? รอก่อนเถอะบิดาจะกลับมาถล่มเมืองรังหมาแห่งนี้ให้ราบ!”เหยาชิงมองเหยาคงอย่างไม่พอใจจากนั้นจึงมองกลุ่มคนชดําด้วยความเหยียดหยามไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเพิ่งกระตุ้นความคิดฆ่าฟันของผู้คนโดยรอบไป
“หุบปาก!”
เหยาคงโมโหจนแทบจะพลั้งมือตบเหยาชิง หากคนผู้นี้ไม่ใช่นายน้อยของเขาเหยาคงย่อมฆ่าตายคามือไปแล้ว
เขาเคยเตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าได้ก่อปัญหาภายในเมืองอสูรสุดท้ายพวกเขาก็ต้องมาอยู่ในสภาพนี้เหยาชิงก็ยังไม่สํานึกตัวความคิดที่จะสับสังหารนายน้อยไร้ประโยชน์ผู้นิ้วนเวียนในหัวซ้ําแล้วซ้ําเล่า
เมื่อถูกตะคอกใส่ใบหน้าของเหยาชิงก็เขียวคล้ําดวงตาของเบิกกว้างจ้องมองเหยาคงอย่างเดือดดาล “ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สํานักเมฆาคล้อยอันเกรียงไกรต้องยอมอ่อนข้อให้สวะเช่นพวกมัน?พวกมันนับเป็นตัวอันใด?….บิดาของเตือนเดรัจฉานอย่างพวกเจ้าไว้ต่อให้จะปล้นคนก็ต้องรู้จักใช้ตาเสียบ้าง!”
“พวกเจ้าแบกรับความโกรธเกรี้ยวของสํานักเมฆาคล้อยไม่ไหวหรอก….”
เหยาคงร่างสั้นเพิ่มขณะขบกรามแน่น ครั้งนี้เขาพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ
“นายน้อยเหยาช่างสุดยอดนัก อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ยังปากสุนัขไม่เปลี่ยนพี่น้องทั้งหลาย หากปล่อยพวกเขาไปพวกเราคงมีแต่ตายสภานเดียว”บุรุษคนหนึ่งขยับมือชักอาวุธออกมาพลังสวรรค์ค่อยๆหลั่งไหลเข้าไปในอาวุธชิ้นนั้นจนเปล่งแสงสีเขียวจางๆ
“เหอๆ…” ชายชุดดําคนอื่นๆส่งเสียงหัวเราะทั้งหมดชักอาวุธออกมาโอบล้อมเหยาคงเอาไว้
เหยาชิงแค่นเสียง “พวกสมองหมาดูเหมือนพวกเจ้าคงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตกันแล้ว เหยาคงบดขยี้พวกมันให้กลายเป็นขี้เถ้าเลย!”
เหยาคงแทบจะกระอักเลือด สถานการณ์ดําเนินมาถึงขั้นนี้การเจรจาย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว “ท่านต้านทานไว้คนหนึ่งที่เหลืออีกสามคนข้าจะรับมือเอง”
“เอ๊ะ?” เหยาชิงผงะก่อนจะชักสีหน้า”ก็แค่สุนัขขั้นสวรรค์เพียงสี่ตัวตอนนี้ข้าใช้ปราณจนเหนื่อยแล้วไม่ลงมือแล้วเหยาคงเจ้าเป็นยอดฝีมือขั้นจุติดังนั้นเจ้าต้องรับมือพวกมันทั้งหมด”
“จงอย่าลืมว่าเจ้าเป็นเพียงทาสชั้นต่ําของตระกูลเหยา เจ้าต้องทําทุกวิถีทางเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของข้าต่อให้เจ้าตายก็ต้องทําให้ข้ารอด!”
“หากข้าตาย ครอบครัวของเจ้าย่อมแบกรับไว้ไม่ไหว!”
“ท่าน!…” เหยาคงโกรธจนแทบจะพ่นไฟออกมา เห็นท่าทางที่ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนผู้นี้แล้วเหยาคงก็อยากจะตบให้ตายในฝ่ามือเดียว
ทว่าผู้อื่นกลับไม่มอบเวลาให้กับเขาแล้ว ยอดฝีมือขั้นสวรรค์ทั้งสี่พลันลงมือพร้อมกัน
คนทั้งสีนี้ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ก่อกรรมทําเข็ญมาแล้วหลายดินแดน เมื่อเจอคู่ต่อสู้เช่นเหยาคงพวกเขาย่อมต้องทุ่มออกสุดตัวไม่กล้าประมาทอย่างเด็ดขาด ส่วนเหยาชิงผู้นั้น ทั้งสี่ล้วนไม่แม้แต่จะเห็นอยู่ในสายตา
ฉินเทียนที่มองดูอยู่ห่างออกไปเผยยิ้ม “ตีกันแล้ว”
ได้ฟังวาจาของเหยาชิง เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “สมองของเจ้านี้คงไปถูกลาเตะมาตอนเด็กหรือไม่ก็คงถูกสุนับกัดเอาช่างเป็นคนประเภทที่หาได้ยากจริงๆฮ่าๆ…”
เหยาคงติดตามรับใช้นายน้อยเช่นนี้ ตัวเขาคงยากจะมีชีวิตรอดแล้ว!