ท่านพ่อเขาเป็นองครักษ์ประจำตัวพระบิดานาง
นางให้เขามาอารักขาข้างกายนาง
ไม่เพียงเท่านี้ นางยังหวังว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาไปอีกขั้น
แต่ทว่าห้าปีมานี้ เขาทำตามคำสั่งนางทุกเรื่อง ตามอารักขาความปลอดภัยให้กับนาง มีเพียงแค่อย่างไรก็ไม่ยอมแต่งนางเป็นภรรยา
เพื่อให้หลุดพ้นจากคำสรุปของบรรดาสมาชิกลุ่มพี่น้องชายที่ได้ตัดสินแล้วว่าไร้หนทางเดินต่อ นางตัดสินใจลองใช้ ‘วิธี’ นี้ ไม่เชื่อว่าเขา ‘กิน’ นางแล้วจะไม่ยอมรับ จะยังดื้อดึงดึงดันในความคิดเดิมของเขา…
ห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่นางอายุสิบแปดปีเต็ม เซวี่ยเยวียนพี่ชายฝาแฝดกับนางรับตำแหน่งฮ่องเต้เซวี่ยหมิง นางก็มาดำรงตำแหน่งปกครองพื้นที่ตอนเหนือ…เมืองเหยียนซิ่ว…ที่ฮ่องเต้ใหม่แบ่งให้นางปกครอง
การส่งนางมาดูแลพื้นที่รกร้างห่างไกลเช่นนี้ หลักๆ แล้วก็เพื่อปิดช่องโหว่การรุกรานจากแผ่นดินหย่วนเซี่ยทางตะวันตก พร้อมกับหวังว่าจะพลิกสภาพยากจนของชาวบ้านในพื้นที่ได้
องค์หญิงแผ่นดินเซวี่ยหมิงก็เหมือนผู้สืบทอดแผ่นดิน ต้องทุ่มเทความสามารถเพื่อพัฒนาแผ่นดิน
และนางก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ห้าปีที่นางอยู่ที่นี่ ทำให้เหยียนซิ่วเริ่มมีระบบ เริ่มเห็นผลสำเร็จอย่างชัดเจน
พื้นที่ตะวันตกที่ติดกับหย่วนเซี่ยมีหิมะปกคลุมตลอดปี คนจึงน้อยมาก ราษฎรที่นี่อพยพไปแออัดกันทางแถบทิศใต้ ขอเพียงชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือตั้งป้อมปราการ ทุกเดือนส่งทหารผลัดเวรกันไปประจำการรักษาชายแดนไว้ก็จะมีคนกลับไปอยู่
สำหรับเมืองเหยียนซิ่วที่มีประชากรหนาแน่น ก็พัฒนาพื้นที่เดิมใหม่ ให้ขยายเมืองออกไปอีกพันจั้ง ทางการออกเงินสร้างที่อยู่อาศัยให้ราษฎร เพื่อจัดให้เป็นที่สำหรับราษฎรจากชายแดนมาอยู่รวมกัน
เมืองหลักก็เพิ่มกิจการขนาดใหญ่ที่ลงทุนโดยราชสำนักเซวี่ยหมิง มีทั้งร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า โรงเตี๊ยม ร้านม้า แทบจะครอบคลุมชีวิตความเป็นอยู่หลักของเมืองเหยียนซิ่วทั้งหมด
พอเป็นเช่นนี้ก็จะแก้ปัญหาชีวิตและการงานของราษฎรที่อพยพมาจากชายแดนได้แล้ว และค่อยๆ ทำให้เมืองเหยียนซิ่วรุ่งเรืองขึ้น
ห้าปีมานี้ เขตเมืองหลักรุ่งเรือง ค่อยๆ แผ่ขยายความรุ่งเรืองออกไปละแวกใกล้กัน พัฒนาเป็นเมืองหลักอีกเมือง ถึงกับดึงดูดให้คนจากในแผ่นดินเซวี่ยหมิงย้ายมาอยู่ที่นี่กัน
ห้าปีต่อมาเหยียนซิ่วก็กลายเป็นเมืองใหญ่อันดับสามแห่งแผ่นดินเซวี่ยหมิง
ความลำบากในช่วงนี้ย่อมไม่ต้องพูดถึง สิ่งที่ทำให้ราษฎรทั้งเมืองซาบซึ้งใจก็คือเจ้าเมืองพวกเขาก็คือน้องสาวฝาแฝดกับฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิง ตอนนี้อายุยี่สิบสามแล้ว แต่ยังไม่แต่งงาน
ตั้งแต่เจ้าเมืองมารับดูแลเหยียนซิ่วถึงตอนนี้ ราษฎรเหยียนซิ่วก็รอปีแล้วปีเล่า
ตอนนี้ตามถนนหนทาง ทุกวันนอกจากคุยเรื่องอาหารประจำวัน เรื่องการเมืองเซวี่ยหมิง ที่คุยกันมากที่สุดอีกเรื่องก็คืองานแต่งงานของเจ้าเมือง
……
“ข้างนอกลือข่าวอะไร เกี่ยวอะไรกับข้า” เซวี่ยเจินห่อตัวด้วยชุดฝ้ายไหมทั้งตัว นางเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมยังเปียกอยู่ หยดน้ำยังหยดอยู่บนแผ่นหลังนาง มือถือแผนที่เหยียนซิ่วเอาไว้ กล่าวโดยไม่เงยหน้า น้ำเสียงกระจ่างใส ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรสักนิด เหมือนที่นางว่ามา เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนางสักนิด
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า?! น้องข้า ตัวละครที่พวกเขาพูดถึงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเจ้า!” เซวี่ยเยวียนอุ้มลูกชายวัยสามขวบเดินเข้าห้องหนังสือมา คิ้วดาบเลิกสูง เห็นชัดว่าตกใจมาก
“แล้วอย่างไร!” เซวี่ยเจินเลิกคิ้วงามขึ้น เงยหน้าสบตาเซวี่ยเยวียน ก่อนจะก้มหน้าลงอีก หันไปจับจ้องแต่กับหนังสือในมือ
“แล้วอย่างไร??!!” เซวี่ยเยวียนพลันโมโหจนหายใจไม่ออก “ก็ไม่อย่างไร เจ้าเป็นเจ้าเมืองพวกเขา พวกเขาใส่ใจเจ้าก็เป็นธรรมดา จะว่าไป จริงๆ แล้วเจ้าตั้งใจจะทำเช่นไร ตัดสินใจโสดไปชั่วชีวิตจริงหรือ เจ้าควรรู้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ย่อมไม่ยอมให้เจ้าเหลวไหลเช่นนี้แน่ พวกเขา…”
“ข้าบอกตอนไหนว่าจะโสดไปชั่วชีวิต?” เซวี่ยเจินขัดการคาดเดาไปเองของเซวี่ยเยวียนอย่างตกใจ
“เอ๋? เปล่าหรือ อย่างนั้นทำไมเจ้าเอาแต่ไม่ยอมให้ท่านพ่อเลือกคู่ครองให้เจ้าล่ะ” เซวี่ยเยวียนสีหน้าเหมือนกำลังพูดว่า ‘เจ้าทำข้างงไปหมดแล้ว’ จ้องมองเซวี่ยเจินเป็นนาน
“ข้าย่อมมีความคิดของข้า พี่เยวียน พี่ว่างมากหรือ” ในที่สุดเซวี่ยเจินก็อดหยุดวาจาเซวี่ยเยวียนที่เอาแต่พูดเรื่องแต่งงานนางไม่หยุดไม่ได้
“ข้าว่างมาก???” เซวี่ยเยวียนตบหน้าอกราวกับสะเทือนใจรุนแรง สายตาไม่พอใจ กล่าวว่า “เจ้าไม่รู้ว่าเพื่อการมาครั้งนี้ ข้าต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเจ็ดวันเจ็ดคืน?”
“ไม่รู้” เซวี่ยเจินหรี่ตามองเขาแวบหนึ่ง “หากเป็นเช่นนี้จริง พี่ก็กลับไปเซวี่ยหมิงได้เลย วางใจ ภาษีปีนี้ข้าย่อมนำส่งก่อนสิ้นปี”
“เซวี่ยเจิน! เจ้าคิดว่าพี่ว่างมากนักหรือ รอนแรมพันลี้มาที่เหยียนซิ่วนี่ เพื่อมาเร่งภาษีจากเจ้า? เจ้านี่ช่าง…น่าโมโหจริง!” เซวี่ยเยวียนตบหน้าอกตนเองระงับความโกรธ อีกมือกรอกน้ำชาเข้าปาก “เอาละ พรุ่งนี้ข้าก็จะกลับแล้ว อย่าว่าข้าไม่เตือนเจ้า ก่อนปลายปีนี้ยังหาคู่ไม่ได้อีก เจ้าก็รอท่านพ่อหาคู่ครองให้เจ้าเถอะ”
“ทราบแล้ว” เซวี่ยเจินพยักหน้านิ่ง “ขอบคุณพี่เยวียน ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้พี่ทิ้งงานวิ่งมาถึงที่นี่เพื่อเรื่องของข้า ข้า…”
“เอาละ ข้าเข้าใจแล้ว แต่ข้ามาเพื่อเรื่องนี้ ท่านพ่อบอกว่าให้ข้าเกลี้ยกล่อมให้เจ้ากลับไปเลือกคู่ เจ้าก็คิดเอาเองดีๆ หากมีคนในใจแล้วจริงๆ ก็รีบลงมือเถอะ”
คนในใจหรือ เซวี่ยเจินตัวแข็งทื่อ นางมีคนในใจแล้วจริงๆ แต่อีกฝ่ายไม่รับน้ำใจนาง
เรื่องนี้นอกจากนางกับเขาสองคน ก็ไม่มีคนที่สามรู้
“เจี้ยนซิงยังไม่ยอมหรือ” เซวี่ยเยวียนก่อนออกจากห้องหนังสือ ก็หันมาทิ้งท้ายที่ทำให้เซวี่ยเจินตกใจราวฟ้าผ่า
“พี่เยวียน!” น้ำเสียงนางแหบพร่า
“เอาเถอะ ถือว่าข้าไม่ได้ถาม แต่เจินเจิน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกเราไม่รู้ พูดตามตรง นอกจากอี๋เยว่กับจิ่งอวี้ กลุ่มพี่น้องชายเราไม่มีใครไม่รู้ว่าคนที่เจ้าปักใจแต่ไรมาก็คือเจี้ยนซิง”
“หา…” นางตกใจสะดุ้ง “เป็นไปได้อย่างไร…” นางมั่นใจว่าปิดบังมิดชิดแล้ว ก่อนมาที่นี่ นางกับเจี้ยนซิงใกล้ชิดกันไม่มาก นอกจากพบกันในงานกลุ่มพี่น้องชายบ้าง แต่นางก็ไม่เคยสนทนาส่วนตัวกับเขา
จากนั้นเพราะว่านางต้องมาดูแลพื้นที่เหยียนซิ่ว กำลังขาดผู้ช่วยและองครักษ์อารักขาข้างกาย นางเลยขอตัวเขาผ่านไปทางเซวี่ยเยวียน ตอนนั้นข้ออ้างนางก็คือนางไม่เชื่อใจคนนอก แต่กลุ่มพี่น้องชายล้วนมีงานสำคัญให้ดูแลไม่น้อย เทียบกันแล้ว งานเจี้ยนซิงเปลี่ยนมือง่ายที่สุด ดังนั้นเซวี่ยเยวียนไม่รอให้นางกล่าวชัดเจนก็ไปตามเจี้ยนซิงมาให้นาง
เจี้ยนซิงเป็นคู่คิดที่ดีมาก ตั้งแต่ได้แต่มองอยู่ไกลๆ จนมาได้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กัน นางก็ยิ่งพบว่านางมีใจรักเขามากขึ้นทุกวัน
จนกระทั่งคืนไหว้พระจันทร์สามปีก่อน ในที่สุดนางก็ทนเก็บความในใจไว้ไม่ไหว ถือโอกาสเมาสุรา ลอบลองใจเจี้ยนซิง ผู้ใดจะคาดคิดว่า เขาแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่คิดแต่งกับนาง ไม่คิดแต่งสตรีในราชวงศ์ เป็นหลักการของเขา ไม่มีเหตุผลอื่น
คืนวันไหว้พระจันทร์ปีก่อน นางยังไม่ท้อใจ ยังถือโอกาสเมากล่าวออกมา เขากลับแสดงท่าทีชัดเจน เขาไม่อยากเป็นราชบุตรเขย
จากนั้นนางก็ไม่กล้าลองอีก
ความกล้าหาญนี้นางเคยพยายามมาสามครั้ง ที่กล่าวว่าทุกเรื่องไม่เกินสาม นางจะไม่คิดเองเออเองเช่นนี้อีก และไม่คิดว่าชายที่นางชอบด้วยใจรักใคร่ลึกซึ้ง เขาจะต้องตอบรับอีกเช่นกัน
เจี้ยนซิงไม่ต้องการนาง นางไม่ต้องการคนอื่น
ดังนั้นนางยอมเป็นเต่าหัวหด เอาแต่หนีมาพัฒนาเหยียนซิ่ว
ผู้ใดจะคาดคิดว่า ตนเองคิดว่าปิดบังอารมณ์ความรู้สึกตนเองได้ดีแล้ว กลับถูกพี่ชายมองปราดเดียวก็รู้ ยังบอกว่าสมาชิกกลุ่มพี่น้องชายก็รู้หมดแล้ว สวรรค์! นางแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ
“อย่าว่าแต่กลุ่มพี่น้องชาย ท่านพ่อก็เริ่มเดาได้แล้ว จึงปล่อยเจ้า เพียงแต่เจินเจิน สตรีพ้นยี่สิบก็ยากหาคู่ครองที่ดีแล้ว หากเจี้ยนซิงเขา…”
“พี่รอง! ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร” เซวี่ยเจินตัดบทเซวี่ยเยวียนที่คิดจะพูดกล่อม นางไม่กล้ารับฟัง ไม่กล้าคิด ไปต่อได้ถึงไหนก็ถึงนั่นแล้วกัน ขอเพียงเขาไม่แต่ง นางก็ไม่ตัดใจ นางต้องการเฝ้ามองเขา เฝ้ามองว่าสตรีที่เขาชอบจะเป็นสตรีเช่นไร…
“เอาละ อย่างนั้นเจ้าก็คิดให้ดี หากปล่อยวางไม่ลงจริง ก็พยายามให้ได้มาครองแล้วกัน พี่ชายสนับสนุนเจ้า แม้ว่ากลุ่มพี่น้องชายคนอื่นจะไม่ทางของเจ้าสองคนก็ตาม” เซวี่ยเยวียนยักไหล่ กอดลูกชายที่ถูกวาจาเขาพี่น้องรบกวนจนใกล้ตื่น ก่อนจะก้าวออกจากห้องไป
เห็นชัดขนาดนั้นหรือ เซวี่ยเจินปล่อยมือจากหนังสือมาลูบคลำใบหน้าเย็นของตนเอง นางยังคิดว่านางปิดบังได้มิดชิดแล้ว ขอเพียงเขายังอยู่ข้างกายนาง นางยอมมีชีวิตไปวันๆ เช่นนี้
แต่ความหมายของเซวี่ยเยวียน แม้แต่ท่านพ่อก็ทนเห็นนางลากต่อไปเช่นนี้ไม่ได้ ก่อนคืนวันสิ้นปีจะจับนางกลับไปเลือกคู่แล้ว สมาชิกกลุ่มพี่น้องชายเองก็ไม่เห็นทางบรรจบของนางกับเจี้ยนซิง
ทำไม หรือว่าสิ่งที่เรียกว่าสถานะสำคัญขนาดนั้นจริงหรือ
นางไม่เชื่อเรื่องบ้าบอพวกนี้ ขอเพียงเจี้ยนซิงปฏิเสธนาง ไม่ใช่เพราะว่านางไม่ดี ไม่ใช่เพราะว่าไม่ชอบนาง เพียงแต่ถือสาสถานะองค์หญิงนาง เช่นนั้นนางก็จะทลายสิ่งที่เขาถือสาเอง สละตำแหน่งองค์หญิง เช่นนี้เขายังจะกล่าวอันใดอีก ยังจะหาเหตุผลใดมาปฏิเสธนางอีก
“ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง” เสียงทุ้มของผู้ชายดังขึ้นด้านหลังนาง จากนั้นก็มีผ้าแห้งผืนหนึ่งคลุมลงมาบนผมเปียกชื้นที่ยาวถึงแผ่นหลังของนาง
“กลับมาแล้ว?” เซวี่ยเจินปล่อยให้เขาลงมือเช็ดผมให้นาง คำพูดเซวี่ยเยวียนทำให้ใจนางหวั่นไหว ก่อนจะพยายามดึงอารมณ์กลับคืนสู่ปกติ
“อืม ทุกอย่างราบรื่นดี” เจี้ยนซิงกวาดตามองนางแวบหนึ่ง ไม่รู้ทำไม มักรู้สึกว่าวันนี้นางจิตใจไม่นิ่ง แม้ว่านางจะแสดงออกอย่างนิ่งสงบเหมือนเดิมก็ตาม
“สองวันนี้ ในจวนมีเรื่อง?” เขาขมวดคิ้วถาม
“ไม่มี ใช่แล้ว พี่ชายข้ามา พี่รอง” นางยังมีพี่ชายที่อายุมากกว่านางยี่สิบกว่าปี
“ข้ารู้ เพิ่งเข้ามาก็ได้ยินลุงหลิ่วว่า” เจี้ยนซิงเห็นผมนางแห้งได้เก้าส่วนแล้วก็หยุดมือ เตรียมเอาผ้าเปียกไปซักตาก แต่ไรมาเขาไม่ชินกับการเรียกสาวใช้
“เจี้ยนซิง…” เซวี่ยเจินรีบเรียกเขาไว้ เงยหน้ามองไปยังชายบึกบึนที่ทำให้นางหลงใหลมาหลายปี กัดริมฝีปาก อดถามไม่ได้ว่า “หากคืนวันสิ้นปีปีนี้ ข้าต้องกลับไปเลือกคู่ตามคำสั่งท่านพ่อ เจ้าจะทำเช่นไร?”
“ยินดีด้วย” เจี้ยนซิงค่อยๆ กล่าวขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบ จากนั้นก็เปิดประตู ถอนหายใจไร้เสียงก้าวออกไป
เซวี่ยเจินอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะยิ้มเฝื่อน รู้คำตอบเขานานแล้วไม่ใช่หรือ นางควรตัดใจได้แล้ว