“อย่างนี้ได้หรือ” เซวี่ยเยวียนขมวดคิ้วสีหน้าสงสัย
“ในเมื่อเจินเจินคิดจะลอง ทำไมจะไม่ได้ หรือเจ้าสงสัยประสิทธิภาพยาของตระกูลเรา อย่าลืมนะตอนนั้นข้าก็โดนเยียนจือจุ้ยไปเหมือนกัน หลายปีมานี้ยังพัฒนาประสิทธิภาพขึ้นอีก ไม่ทำลายสุขภาพอย่างแน่นอน และยังมีประสิทธิภาพดีมากอีกด้วย” ซือฟั่งเฉินหัวเราะอย่างสะใจ ทีนี้ในกลุ่มพี่น้องชายที่ถูกมอมยาจนต้องแต่งภรรยาก็จะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวแล้ว
“ข้าไม่ได้สงสัยในประสิทธิภาพของเยียนจือจุ้ย แต่กังวลเรื่องเจี้ยนซิง…” เซวี่ยนเยวียนชะงักไป ก่อนจะถอนหายใจได้อย่างเสียไม่ได้ “ก็ใช่ว่าเจ้าไม่เคยเจอกับนิสัยดื้อรั้นของเจี้ยนซิง หากเกิดขึ้นแล้วเขายังคงไม่ยอมแต่งงานกับเจินเจิน ในใจเขายังคงมีปม อาจไม่ยอมแก้ปมในใจ มันก็ไม่แน่เหมือนกัน…”
“มีแต่เจ้าที่เรื่องมาก อาซีชอบบอกว่าเจ้าพูดมากเหมือนยายแก่ ไม่ผิดเลยสักนิด เจี้ยนซิงชอบเจินเจิน อันนี้เป็นความจริงที่พี่น้องเราล้วนรู้กัน เพียงแต่ติดแค่สถานะของเจินเจิน เขาแค่ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกที่มีต่อเจินเจิน ตอนนี้เจินเจินกว่าจะตัดสินใจลองวิธีนี้ได้ เจ้าถึงกับยังเอาแต่พูดมากลังเลอยู่ได้ ทนเจ้าไม่ไหวแล้วนะ”
ซือฟั่งเฉินกางแขนกางขานอนแผ่บนเก้าอี้นอน ถอนหายใจอย่างสบายใจ ตั้งแต่ลูกคนที่สามออกจากท้องภรรยาเขามา เขาก็ไม่มีเวลาว่างแม้แต่วันเดียว ครั้งนี้หากไม่ใช่บอกว่าจะออกมาหารือกับเซวี่ยเยวียน ไหนเลยจะมีเวลาได้ลงเขามา
แต่จะว่าไป แม้แต่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ที่ค่ายชิงเฟิงมาทีเดียวก็เจ็ดปี นอกจากหกปีก่อน ตอนที่ลูกชายคนโตของเขาเกิดและครบเดือน เขาได้กลับไปฉลองใหญ่ที่เหอหยวน จัดงานงานแต่งงานชดเชยและงานครบเดือนลูกชาย ก็ได้กลับไปแค่ตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์และสิ้นปี เวลาที่เหลือทั้งหมด เขาอยู่แต่แค่บนเขา ช่วยค่ายชิงเฟิงจัดการงานที่ภรรยาเขาไม่สะดวกจัดการเอง พร้อมกับเป็นเพื่อนนาง หยอกเล่นกับลูกๆ ใช้เวลาแบบสามีภรรยากันมา ห้าปีมานี้ก็มีลูกน่ารักชายหญิงเพิ่มมาอีกคู่ วันเวลาก็ผ่านไปอย่างไม่มีเวลาว่างสักนิด
เซวี่ยเจินได้ยินซือฟั่งเฉินกล่าวเช่นนี้ก็แอบทำหน้าอยากจะร้องไห้ อะไรเรียกว่ากว่านางจะตัดสินใจ นางคิดเช่นนี้นานแล้วต่างหาก เพียงแต่ไม่มีโอกาสสักที แถมยังกลัวว่าเจี้ยนซิงจะยิ่งหลบหน้า แล้วจะทำให้นางเจ็บปวดใจ แต่ทว่าพ้นปีนี้ไปนางก็อายุยี่สิบสี่แล้ว ไม่อาจยืดเยื้อต่อไปได้อีกแล้ว บิดาและมารดานางคงไม่ปล่อยให้นางรอต่อไป
“พี่เซียวคิดเช่นนี้?” เซวี่ยเยวียนแอบแปลกใจ หลินเซียวกับเจียงไหวอานเรียกได้ว่าเป็นคนเงียบและสุขุมที่สุดในบรรดาพี่น้อง พวกเขาถึงกับเห็นด้วยกับเจินเจินหรือ
“อืม เยียนจือจุ้ย อย่างไรภารกิจเราก็สำเร็จแล้ว จากนี้ก็ต้องดูว่าเจ้าสองคนจะยอมหรือไม่ ข้าว่านะ เจ้าก็ทำหลับตาข้างหนึ่งแล้วกัน ปล่อยให้เจินเจินจัดการเรื่องของตัวเอง” ซือฟั่งเฉินควักเอาห่อกระดาษออกมาจากอกเสื้อ โยนลงบนโต๊ะ บิดขี้เกียจก่อนจะก้าวออกจากห้องไป
“เจินเจิน?” เซวี่ยเยวียนจ้องมองห่อกระดาษบนโต๊ะอย่างอึ้งๆ ก่อนจะเงยหน้ามองน้องสาว “ต้องรู้ว่า ด้วยนิสัยเจี้ยนซิง จะไม่ยอมให้คนมาวางหมากอย่างเด็ดขาด ข้าแค่เป็นห่วงว่าหากเขารู้ว่าเจ้าเป็นคนคิด จะ…” ผลักนางออกไปยิ่งไกลหรือไม่
“เช่นนั้นข้าก็คงต้องยอมรับผล พี่เยวียน ชีวิตข้าต้องการเพียงเขา เขาต้องการข้าหรือไม่ก็เรื่องของเขา…” เซวี่ยเจินแอบปวดแปลบในใจ น้ำเสียงนิ่งเรียบ
นางไหนเลยจะไม่คิดถึงผลอีกแบบ ถูกนางใช้เยียนจือจุ้ยทำให้เขากำหนัดจนต้องระบาย หากเขาตัดสินใจไปจากนางจริง จากนี้นางก็จะยากได้เขากลับคืนมา แม้แต่ความใส่ใจเล็กน้อยก็อาจไม่มีอีกแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ลองดูแล้วกัน หวังว่าเขาจะเห็นแก่ที่เจ้ายืนหยัดในความคิด ไม่ทิ้งเจ้าไป” เซวี่ยเยวียนถอนหายใจ ในใจแอบยอมรับวาจาซือฟั่งเฉิน เจี้ยนซิงมีใจให้นาง แต่กลับเพราะความแตกต่างทางสถานะจึงไม่ยอมรับสักที หากว่าสองคนยืดเยื้อเช่นนี้นานไป ที่รอพวกเขาอยู่ก็คงมีแต่การรอคอยที่ไม่สิ้นสุดและการจากลา
……
เจ็บปวดมาก นางราวกับถูกรถม้าทับผ่านร่าง หมดแรงปวดไปทั้งตัว
นางหลับตาควานหาแก้วน้ำบนหัวเตียงมาดื่ม กลับไม่คิดว่าจะเจอกับอะไรบางอย่างที่ร้อนอบอุ่น นางลืมตาผึงขึ้นทันที สวรรค์! เป็นเจี้ยนซิง
นางหวนนึกถึงแต่ละฉากในค่ำคืนที่ผ่านมา ความร้อนแรงที่ทำให้นางหายใจติดขัดหน้าแดงก่ำ ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดนางอีกครั้ง นางกับเขาถึงกับอาศัยเยียนจือจุ้ยมีสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาไปแล้วจริงๆ
เจี้ยนซิงตอนนี้อาจจะกำลังโมโหเรื่องเมื่อคืน เขานอนหลับสนิท ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้เคร่งเครียดเหมือนตอนกลางวัน ริมฝีปากแดงเม้มเล็กน้อย ไม่เหมือนตอนกลางวันที่เอาแต่เงียบไม่เปิดโอกาสให้เข้าใกล้ง่ายๆ ทำให้นางอดใจไม่ไหว เขยิบเข้าใกล้ ใกล้อีกนิด ยามที่ริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกัน เขาก็ลืมตาขึ้น ดวงตาดำขลับทำให้นางตกใจนิ่งอึ้งไปทันที
“เจ้ายังไหวไหม” น้ำเสียงเขาแหบพร่าทำลายความเงียบระหว่างเขาและนางขึ้น
“ยัง…ยังไหว…” นางตอบงึมงำเบาๆ
“ขอโทษ…ข้า…” เจี้ยนซิงกำลังคิดบอกว่าเขาเป็นครั้งแรก อาจจะหนักมือกับนางไปบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกนางปิดปากเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวว่า “อย่า…อย่าบอกว่าขอโทษอะไรพวกนี้ หากเจ้าไม่อยากแต่งกับข้า ก็ถือเสียว่าเมื่อคืนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น วางใจ ข้าจะไม่บีบให้เจ้ารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น” กล่าวจบนางก็หลับตาลงอย่างเจ็บปวด ไม่อยากเห็นสายตาดูแคลนของเจี้ยนซิง
เพื่อจะลองใจเขา คิดจะรั้งเขาไว้ นางถึงกับใช้วิธีการชั้นต่ำเช่นนี้ เขาจะมองนางเช่นไร จะคิดว่านางเลวร้ายไหม นางไม่กล้าคิดต่อ แผนทุกอย่างที่คิดไว้ดิบดี ยามนี้ในสมองว่างเปล่า มีแต่ขยับตัวออกอย่างระมัดระวัง คิดจะออกจากอ้อมกอดอบอุ่นร้อนผ่าวของเขาก่อนที่เขาจะผลักนางออก
“เจิน” เจี้ยนซิงรั้งนางที่คิดจะผละไปเอาไว้ กอดนางไว้ในอ้อมกอดตนเองแน่นและบังอาจ น้ำเสียงเขายังคงแหบพร่า “ข้าจะแต่งกับเจ้า” วาจาแอบมีลังเล แต่จากนั้นก็มั่นใจเต็มที่
เซวี่ยเจินได้ยินก็ลืมตาโพลง “ไม่จำเป็น” นางรีบอธิบาย “เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความยินยอมของเจ้า เจ้าไม่ต้องนำมาทำให้ลำบากใจ” เขาอาจจะคำนึงถึงนาง จึงเสนอแต่งกับนางเอง ทำให้นางดีใจมาก แต่นางก็กลับไม่อยากทำให้เขาต้องลำบากใจเขาเองจริง
“เป็นไปได้อย่างไรที่ไม่ใช่ข้ายินยอมเอง” เจี้ยนซิงหัวเราะ กอดนางไว้แน่น ซุกใบหน้าลงที่ซอกคอนาง “เจ้ารู้ไหมว่าเยียนจือจุ้ยมีประสิทธิภาพอย่างไร” หากเขาไม่ยินยอม จะแทรกกายเข้าสู่กายนางครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร หากเขาไม่ยินยอม จะปล่อยให้เยียนจือจุ้ยมีผลได้อย่างไร มันก็แค่บีบให้เขายอมรับใจตนเอง เขาใช้พลังวัตรขับมันทิ้งได้
“มะ…หมายความ…ว่าอย่างไร…” เซวี่ยเจินถามติดๆ ขัดๆ นางคิดภาพนางและเขาสองคนนอนกอดกันหลายต่อหลายครั้ง เพียงแต่พอเกิดขึ้นจริง นางกลับรู้สึกงุนงงสงสัย เป็นเจี้ยนซิงจริงหรือ เขาไม่ใช่ไม่แต่งกับนาง ไม่ต้องการนางไม่ใช่หรือ
“เจิน ฟั่งเฉินกล่าวได้ถูกต้อง เสียเจ้าไป ย่อมเสียใจภายหลังยิ่งกว่า” ก่อนเขาโดนเยียนจือจุ้ย ก็ถูกฟั่งเฉินจัดการมายกหนึ่งแล้ว ความรักที่นางมีต่อเขา ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เพียงแต่ต้นตระกูลเขาคือองครักษ์แห่งราชวงศ์เซวี่ยหมิง เขาไม่มีวาสนาจะแต่งกับนาง แม้ว่าท่านพ่อไม่ได้กดดันเขา แต่ยามได้ร่ำสุรากันสองคนพ่อลูก ในแววตาเขาและวาจาที่ไม่ได้กล่าวออกมาทำให้เขารู้สถานะตนเองดี
แต่เมื่อวานนี้ พอเขากลับมาก็ถูกฟั่งเฉินลากไปคุยมาตลอดบ่าย
สมาชิกกลุ่มพี่น้องชายรู้เรื่องเขากับเซวี่ยเจิน เขาไม่แปลกใจ อย่างไรห้าปีมานี้ทุกครั้งที่เจอกัน พวกเขาก็จะมาร่วมกันพร้อมหน้า แอบยอมรับเรื่องพวกเขาแล้ว
เขาคิดว่าตนเองเพียงแต่ใช้รูปแบบนี้ปกป้องนางไปจนกว่านางจะออกเรือน ให้นางได้ออกเรือนไปกับคู่ครองที่เหมาะสมกับนาง เขาก็ย่อมปลดภารกิจลง อวยพรนางอยู่ห่างๆ แต่พอคิดถึงตรงนี้ วันที่ต้องจากนางไปก็เหมือนสูญเสียดวงใจของเขาไปด้วย แต่จะทำอย่างไรได้ เขาไม่ใช่ไม่ร้อนรน
แต่เสียงด่าของฟั่งเฉินทำให้เขาได้สติ เดิมคิดจะมาคุยกับนาง หากนางยังชอบเขา ยังต้องการเขา เขาก็จะแบกหวายมารับผิดกับนาง ให้นางลงโทษเขา ไปขอร้องให้บิดามารดานางยอมให้นางแต่งกับเขา
คิดไม่ถึงว่านางจะเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง ให้เขากินเยียนจือจุ้ย
ยาปลุกกำหนัดที่สู้แรงปรารถนาในใจเขาไม่ได้นี้ ทำให้เขาตัดสินใจปลดปราการในใจลง ร่วมอภิรมย์กับนาง
“เจ้า…” เซวี่ยเจินประคองใบหน้าเขาไว้ เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเขา ไม่ได้มีแววดูแคลนหรือดูถูกนางสักนิด “ไม่โกรธข้าหรือ”
“โกรธอะไรเจ้า” เขายันตัวขึ้นย กมือที่ว่างไปปัดผมที่ระคอนางออก น้ำเสียงอ่อนโยน ที่ควรโดนโมโหก็คือเขาไม่ใช่หรือ เขาทำให้นางคอยมานานเช่นนี้ สุดท้ายยังทำให้นางต้องละเมิดจารีตที่สตรีควรมี ปลุกความต้องการส่วนลึกของเขาขึ้นมา เขาควรขอบคุณนาง หลายปีมานี้ที่ยังคงชอบเขา รักเขา เขามีความดีความสามารถอันใดกัน
“…ข้าใช้เยียนจือจุ้ยบีบให้เจ้ายอม…” นางก้มหน้ายอมรับ “เจ้าไม่คิดว่าข้ามันเลวร้ายหรือ ปล่อยตัวมากใช่ไหม”
“เช่นนี้ ข้าก็อาศัยเยียนจือจุ้ยกินเจ้าเสียหลายรอบ ใช่ว่าขาดคุณธรรมหรือ ไม่ใช่บัณฑิตไหม” เขาหัวเราะ ยกมือไปลูบคางนางเบาๆ พลางให้นางหันมาสบตาเขา
“นั่น…ไม่เหมือนกัน…ข้าบอกแล้ว…เจ้าสามารถ…ไม่ต้องรับผิดชอบ…ข้า…” เซวี่ยเจินหลบดวงตาดำร้อนแรงของเขา ดวงตาที่เมื่อก่อนมีแต่ความนิ่งสงบ ตอนนี้กลับร้อนแรงดังไฟแผดเผา ราวกับจะเผานางให้มอดไหม้จึงจะหยุดลงได้…
“จริงหรือ อย่างนั้นเจ้าล่ะ ไม่ต้องรับผิดชอบหรือ เมื่อคืน…อย่างไรก็ครั้งแรกของข้า…” ริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาครอบครองริมฝีปากอ่อนนุ่มของนาง สองมือไล้ผ่านร่างนุ่มนิ่มไร้เรี่ยวแรงของนางอย่างเอาแต่ใจ
“ซิง…” ยามที่เขาแทรกกายเข้าสู่กายนางอย่างอ่อนโยน นางก็อดหลับตาลงครางอย่างพึงใจไม่ได้
“ยินยอมรับผิดชอบไหม องค์หญิงของข้า…” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโหมกระหน่ำระลอกแล้วระลอกเล่าไม่หยุด
“ยินยอม…” นางย่อมยินยอม หลงรักมาหลายปี วางแผนมาหลายวัน ไม่ใช่เพื่อให้เขายอมแต่งกับนางหรือ แม้ว่าเขาจะรักเพียงแค่ร่างกายนาง นางก็ไม่นึกเสียใจ ขอเพียงเขายอมอยู่ข้างกายนาง ยอมเป็นเขาที่นางเลื่อมใส นางยินยอม…ย่อมมีสักวันที่นางจะทำให้เขารักนางที่ใจ เหมือนที่นางรักเขาลึกซึ้ง…
นางเชื่อว่า รักแม้บางเบา หากก็ร้อนแรงปรารถนา…