บทที่ 155 กลิ้งไปตามเถาไม้เลื้อย 2 (2)

“ข้าจะทำลายมันอย่างแน่นอน”

‘ทำลายมันอย่างแน่นอน’ ประโยคนี้เหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ทะลุผ่านความกลัวของเขาเข้ามา เขายกมือข้างขวาออกจากใบหน้าและมองไปที่นักบวช

นักบวชแสดงสีหน้าอำมหิตออกมา สายตาที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดทำให้เห็นว่านักบวชผู้นี้ให้ความรู้สึกถึงความสุข ความโกรธและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดปะปนอยู่ในตัวเขา นักบวชเริ่มพูดอีกครั้ง

“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง..เจ้าเป็นใคร?”

คาร์ลจ้องเขม็งไปที่ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า

เขาเป็นทั้งคนดีและคนไม่ดี

ถึงแม้ทักษะของเขาจะไม่ได้เก่งกาจมากนักแต่เขาก็เป็นคนที่มีมโนธรรม รู้จักสำนึกผิดและความรู้สึกรับผิดชอบ เขารู้จักความเห็นใจต่อผู้อื่นและเป็นคนที่มีศีลธรรมในตัวเอง

คาร์ลไตร่ตรองดูแล้วว่าการมีเพียงวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ มันยากเกินไปที่จะทำให้วิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันแข็งแกร่งขึ้นได้โดยไวในจักรวรรดิ นั่นหมายความว่าเขาต้องมองหาฐานอำนาจจากแหล่งอื่น มันทำให้เขาฉุกใจคิดถึงสงครามกลางเมืองของอาณาจักรวิปเปอร์ เขานึกถึงนักเวทย์ที่หลบซ่อนตัวโดยไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของหอคอยพลังเวทย์ พวกเขาอาจวางแผนต่อต้านและหลบหนีออกมาเพื่อซ่อนตัวให้ไกลจากหอคอยพลังเวทย์

เขามั่นใจว่าจะต้องมีนักเล่นแร่แปรธาตุที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันแม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนก็ตาม เขาต้องการดึงพวกเขาให้ออกมาจากที่หลบซ่อน!

คาร์ลต้องการใครสักคนที่จะรับหน้าที่เป็นผู้นำของพวกเขาและผู้นำคนนี้จะเป็นคนที่คาร์ลสามารถใช้งานได้

คาร์ลได้ยินเสียงของราอนเอ่ยถามเข้ามาในหัว

~ มนุษย์!..เมื่อ15ปีก่อนมีการทดลองใช้แอกอฮอล์ให้กับเด็กๆพวกนั้นหรือเปล่า?~

‘ใครจะไปรู้?’

คาร์ลไม่มีทางรู้เรื่องนี้ แม้แต่คนอื่นๆก็ไม่ได้รู้มากไปกว่านี้เช่นกันยกเว้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์

เขาได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้น

“เ..เรย์ สเตกเกอร์…นั่นคือชื่อของข้า”

‘เรย์ สเตกเกอร์’นักเล่นแร่แปรธาตุฝึกหัดผู้มีทักษะพอถูๆไถๆ เขาเคยประจำอยู่ที่ตึกการเล่นแร่แปรธาตุทางภาคใต้ของจักรวรรดิ เขาอยู่ที่นั่นในฐานะเด็กฝึกงานเพียง 1 เดือนเท่านั้น เขาสามารถเอ่ยชื่อที่แท้จริงของตนเองได้เป็นครั้งแรกในรอบ11ปี ความทรงจำเมื่อ11ปีก่อนดูเหมือนจะผุดขึ้นมาในหัวของเขาเมื่อเริ่มเอ่ยชื่อของตัวเองออกมา

“มันเป็นเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน..พวกเขาให้ข้าฝึกงานในช่วงเดือนแรกโดยการดูแลเด็กๆที่มาจากสลัม…พวกเขาบอกว่าเด็กเหล่านี้มาจากเมืองหลวง..ข้าไม่รู้รายละเอียดอะไรแต่ข้าก็ตั้งใจดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีและข้า—-”

เขาสนิทกับเด็กๆเหล่านั้น

“หนึ่งเดือนหลังจากนั้นข้าก็ได้เห็นการทดลองที่พวกเขาทำ..ระหว่างที่ทดลอง—”

ไหล่ของเรย์สะท้านขึ้น ร่างกายที่ผอมบางของเขาดูเหมือนจะล้มไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ

ในตอนนั้นเขาเอื้อมมือไปจับมือเด็กที่เขาสนิทมากที่สุด เขาต้องการจะช่วยเหลือเด็กคนนี้และเด็กคนอื่นๆ เล็บของเด็กข่วนไปที่มือซ้ายของเขานั่นคือสาเหตุที่เขาได้รับพิษจากเวทย์แห่งความตาย

หอคอยเล่นแร่แปรธาตุประจำภาคใต้พยายามจะกำจัดเขา เขาจึงตัดสินใจตัดข้อมือของตัวเองจนขาดและเริ่มวิ่ง เขาวิ่งหนีออกมาราวกับคนบ้า พวกมันหยุดตามล่าตัวเขาหลังจากนั้น1ปี อาจเป็นเพราะพวกมันคิดว่าเขาตายไปแล้ว

“ข้าเห็นสิ่งที่พวกมันทำระหว่างการทดลอง”

“เรย์ สเตกเกอร์…ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาฟังความหลังของเจ้า”

เรย์เงยหน้ามองนักบวชทันที

“ข้ามาที่นี่เพื่อว่าจ้างเจ้า…ข้าได้ยินมาว่าเจ้ายินดีทำทุกอย่างตราบใดที่เจ้าได้เงินเป็นการตอบแทน”

ประโยคนั้นทำให้เรย์เริ่มสงบลงจากนั้นเขาก็หันไปมองขวดแก้วที่บรรจุพลังเวทย์แห่งความตายเอาไว้รวมถึงเอกสารที่มีความลับของหอระฆังระบุเอาไว้

สีหน้าของนักบวชเริ่มจริงจังขึ้น

“ข้าจะให้เงินเจ้าตามที่เจ้าต้องการ..เจ้าสามารถทำตามสิ่งที่ข้าบอกได้ทุกอย่างไม่ว่าเงื่อนไขของข้าจะเป็นอะไรใช่หรือไม่?”

เรย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆเมื่อนักบวชพูดจบ

“…ท่านคิดจะทำลายหอระฆังจริงๆหรือ?”

“แน่นอน”

เรย์ผุดลุกจากเกาอี้ จากนั้นเขาก็เดินไปที่มุมห้องแล้วยกกระดานไม้ขึ้น มีกล่องซ่อนอยู่ใต้กระดานไม้นี้

เรย์เปิดฝากล่องออกและหยิบขวดแก้วออกมา

แกร๊ก!

เขาวางขวดแก้วลงบนโต๊ะทันที มีมือสีดำอยู่ในขวดแก้วใบนี้และมันยังไม่เน่าเปื่อย

มีรอยข่วนเล็กๆอยู่ด้านหลังของมือข้างนี้ เป็นเพราะเรย์ไม่สามารถทิ้งมือที่เคยจับเด็กๆเอาไว้ได้

คาร์ลมองเห็นความโกรธและความรู้สึกผิดลุกไหม้ออกมาจากสายตาของเรย์

คาร์ลจึงเริ่มพูด

“รอข้าที่นี่ไปก่อน..ข้าจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเอกสารสัญญา”

“ข้าไม่ต้องการเงิน..ข้าต้องการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!..โปรดช่วยข้าแก้ไขความผิดของข้าด้วยเถิด”

คาร์ลหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน เขามองไปที่เรย์ซึ่งกำลังมองเขาอย่างใจจดใจจ่อ

“ตกลงตามที่เจ้าต้องการ…ความสำเร็จจากสิ่งที่เราจะทำก็ให้ถือว่าเป็นค่าตอบแทนเจ้าแล้วกัน”

แม้ว่าคาร์ลจะพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายแต่มันก็ทำให้เรย์เลิกคิ้วสูงขึ้น มุมปากของเขาก็สั่นระริก คาร์ลเอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะออกจากบ้านโทรมๆหลังนี้ไป

“ดื่มน้ำเย็นซะและรีบดึงความรู้สึกของเจ้ากลับมา..ข้าไม่สนใจเหล้าพวกนั้นหรอก”

เอี๊ยดดด!!!

คาร์ลทิ้งประโยคนี้ไว้และปิดประตูตามหลังทันที

เรย์ เสตกเกอร์มองประตู่ที่ปิดลงครู่หนึ่งก่อนยกถ้วยน้ำเย็นขึ้นดื่มจนหมด

“อึ่กๆๆๆๆ”

แกร๊ก!

เขาวางถ้วยน้ำเย็นที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะก่อนพึมพำออกมาเบาๆ

“ตอนนี้ข้ารู้สึกสดชื่นจริงๆ”

เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มา 11 ปีแล้ว

.

.

.

วันแรกของการสืบสวน

สายตาขององค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กมองไปที่วิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันก่อนจะก้มกระซิบบางอย่างกับคาร์ล

“จะมีอะไรซ่อนไว้ในห้องลับหรือเปล่า?”

ท่าทางที่ดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษของคนทั้งคู่ชวนให้ข้าราชบริพารหลายๆคนต่างนึกสงสัย แต่คาร์ลไม่สนใจต่อสายตาของพวกเขาเมื่อเอ่ยตอบอัลเบิร์ก

“ต้องมีอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ..เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันคือคลังสมบัติ”

“อืม”

อัลเบิร์กส่งเสียงพึมพำในลำคอและพยายามซ่อนรอยยิ้มของตนเอาไว้

คาร์ลมองไปที่อัลเบิร์กก่อนจะนึกถึงสิ่งที่แจ็คบอกเอาไว้

‘..ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาสามารถหา‘ตรากล่าวโทษจากแสงตะวัน’เจอหรือเปล่า?’

‘ตรากล่าวโทษจากแสงตะวัน’

ฟังแค่ชื่อเพียงอย่างเดียวก็สัมผัสได้ถึงความศั