บทที่ 156 กลิ้งไปตามเถาไม้เลื้อย 3 (1)

‘ตรากล่าวโทษจากแสงตะวันมีอยู่จริงงั้นรึ?’

นั่นคือสิ่งที่เคจถามออกมาด้วยความตกใจทำให้คาร์ลตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

มันไม่ใช่เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆซะแล้ว

ในขณะนั้นแจ็คก็เริ่มพูดขึ้นราวกับเขารู้ว่าคาร์ลกำลังคิดอะไรอยู่

‘มันเป็นเครื่องมือพระเจ้า’

‘เครื่องมือพระเจ้า’ เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าประทานไว้ให้ หัวขโมยที่เป็นเจ้าของเสียงเรียกของวายุก็จบชีวิตลงเมื่อตอนที่พยายามหลบหนีจากการขโมยเครื่องมือพระเจ้าจากวิหาร มันเป็นเครื่องมือที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เหตุผลที่พวกอาร์มสามารถฆ่าเผ่าหมาป่าสีนำเงินที่แข็งแกร่งลงได้ก็เพราะพวกเขามีเครื่องมือพระเจ้าไว้ในครอบครอง

มันเป็นสิ่งที่ทำให้คาร์ลรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเอ่ยถามแจ็คออกไป

‘แล้วตรากล่าวโทษจากแสงตะวันอยู่ที่ใด?..ข้าจะไปเอามันออกมาเอง’

แจ็คสั่นศีรษะน้อยๆพร้อมแสดงสีหน้าขมขื่น

‘ข้าไม่รู้’

แจ็คเคยได้ยินเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเครื่องมือพระเจ้าเมื่อนานมาแล้วและมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระสันตะปาปาทรงสอนเกี่ยวกับวิถีของนักบวช แจ็คจึงได้เอ่ยถามออกไป ‘เครื่องมือพระเจ้าอยู่ที่ใดหรือขอรับ?’และสิ่งที่พระสันตะปาปาเอ่ยตอบก็มีเพียงแค่ ‘เจ้าถามถึงเครื่องมือพระเจ้างั้นหรือ?มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงหรอก!’

ฮันนาห์ที่เงียบฟังแจ็คพูดอยู่นานสองนานจึงโพล่งขึ้นมา

‘หากพระสันตะปาปาบอกว่ามันไม่มีอยู่จริงย่อมหมายความว่ามันต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในวิหารอย่างแน่นอน…ตาเฒ่าโลภมากผู้นั้นอาจซ่อนมันไว้ในที่ปลอดภัย’

แจ็คเองก็ได้พูดในสิ่งที่น่าสนใจในตอนนั้น

‘ถึงจะเป็นเช่นนั้นพระสันตะปาปาก็ไม่สามารถใช้เครื่องมือพระเจ้าได้แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันอยู่ที่ใดก็ตาม’

‘ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ?’

‘เป็นเพราะพระสันตะปาปายังไม่ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่..นับตั้งแต่พระสันตะปาปาองค์สุดท้ายที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าเมื่อ500ปีก่อน..ส่วนที่เหลือทั้งหมดซึ่งดำรงตำแหน่งต่อๆกันมาต่างถูกคัดเลือกจากการประชุมผู้นำภายในวิหารเท่านั้น’

ฮันนาห์แสยะยิ้ม

‘การประชุมของเหล่าหัวหน้านักบวชเพื่อคัดเลือกพระสันตะปาปาสำหรับข้านั้น..มันเป็นการต่อสู้เพื่ออำนาจที่น่ารังเกียจเสียมากกว่า’

คาร์ลนั่งฟังในสิ่งที่เคจ แจ็คและฮันนาห์พูดถึงเรื่องวิหารอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามแจ็คขึ้นมา

‘แล้วตรากล่าวโทษจากแสงตะวันเป็นเครื่องมือพระเจ้าประเภทใด?’

คาร์ลมีเป้าหมายเพิ่มเติมสำหรับการเดินทางในครั้งนี้หลังจากได้ยินคำตอบจากแจ็ค

เขาตัดสินใจที่จะขโมยมันถ้าโชคดีพอที่จะหามันเจอ

‘แต่ฉันไม่รู้ว่าจะหามันเจอได้อย่างไร?’

ไม่มีทางที่คาร์ลจะรู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของมันได้เมื่อทั้งแจ็คและฮันนาห์เองก็ไม่รู้เช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่เขาเพิ่มเรื่องโชคลาภเข้ามาในครั้งนี้ด้วย

ปึก!

คาร์ลเอนศีรษะของตนไปมองมือที่วางอยู่บนไหล่

“ไปกันเถอะ”

อัลเบิร์กเป็นคนเรียกคาร์ลให้หลุดออกจากภวังค์

คาร์ลและคนอื่นๆในทีมสอบสวนจากอาณาจักรโรมันและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจักรวรรดิต่างก็ตอบสนองในสิ่งที่อัลเบิร์กต้องการอย่างพร้อมเพรียง

คาร์ล เชวฮัน อูฮาเบ็นและรองหัวหน้าองครักษ์เดินตามหลังองค์ชายรัชทายาทไปเงียบๆ พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวัน

ยังมีหลักฐานที่หลงเหลือจากแรงระเบิดบริเวณโดยรอบจัตุรัสด้านนอกของวิหาร ส่วนหนึ่งของตัววิหารก็ถูกทำลายจากแรงระเบิดเช่นกัน มีสิ่งกีดขวางตามสถานที่เกิดเหตุพร้อมกับกลุ่มคนจำนวนมากมารวมตัวกันด้านนอกจัตุรัส

“จับตัวฝาแฝดชั่วร้ายนั้นมาให้ได้!พวกเขาคือคนทำลายศาสนจักรของเราและสังหารพลเมืองของเรา!”

“วิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันควรหายสาบสูญไปซะ! คริสตจักรที่แสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองไม่ควรเป็นคริสตจักรที่เราควรเคารพอีกต่อไป!”

เสียงตะโกนด่าทอดังลั่น

“จับตัวและฆ่าพวกปีศาจนั้นให้ได้! พวกมันฆ่าพระสันตะปาปา!”

“จักรวรรดิไม่ต้องการพระเจ้าแห่งแสงตะวันอีกแล้ว! มันเป็นคริสตจักรที่เลวทรามเข่นฆ่าประชาชน!”

จักรวรรดิได้เปิดเผยข้อมูลหลายๆส่วนเกี่ยวกับวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันที่พวกเขาค้นพบระหว่างการสืบสวนคดีก่อการร้าย ผลที่ตามมาคือตัววิหารที่ว่างเปล่าจนแทบร้างเพราะทั้งนักบวชและคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับวิหารต่างถูกคุมตัวเพื่อไปสอบสวน

‘จักรวรรดิช่างเป็นสถานที่ที่น่าสนใจทีเดียว’

คาร์ลสามารถบอกได้ในทันทีว่าราชวงศ์ของจักรวรรดิกำลังปล่อยให้ชาวเมืองทำสิ่งเหล่านี้อย่างจงใจ มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีคนสนิทของเชื้อพระวงศ์ปะปนอยู่ในชาวเมืองกลุ่มนี้เพื่อเป็นแกนนำปลุกระดม

อย่างไรก็ตามคาร์ลไม่สนใจเรื่องนี้

~ มนุษย์! มนุษย์!..รีบไปหาสมบัติกันเถอะ!~

คาร์ลพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของราอนดังเข้ามาในหัว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น

เขาสามารถมองเห็นหอระฆังของเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุ มันสามารถมองเห็นได้จากทุกจุดในเมืองหลวงแห่งนี้ เขามองเห็นหอคอยสูงลิ่วที่ดูคล้ายกับจะเสียดทะลุเข้าใส่พระอาทิตย์ดวงโตได้

ในทางตรงกันข้าม วิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันกลับดูเงียบเหงาและถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง

‘อ๊ะ!..มีบางอย่างที่น่าตื่นเต้น’

มันเป็นเสียงที่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ของฮันนาห์

‘ข้าเคยบอกพวกอาร์มเกี่ยวกับห้องลับในวิหาร..มันเป็นสถานที่ที่มีเพียงพระสันตะปาปาและผู้นำระดับสูงเท่านั้นที่รู้จัก..สมบัติจำนวนมากของวิหารถูกซุกซ่อนอยู่ในนั้น’

‘อย่างไรก็ตามข้าไม่ได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับโต๊ะลับที่อยู่ภายในห้องนั้นให้พวกมันรู้..โต๊ะนั่นคือเส้นทางมุ่งสู่ขุมสมบัติที่แท้จริง’

คาร์ลเริ่มจริงจังมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้ถึงเส้นทางแห่งขุมทรัพย์ เขาต้องตั้งใจมากขึ้นและเขาก็ได้พูดคุยกับอัลเบิร์กในเรื่องนี้แล้ว

‘คาร์ล..เรามาเริ่มแผนของเราในวันสุดท้ายของการสืบสวนกันเถอะ’

‘เป็นเพราะมีงานเฉลิมฉลองในวันถัดไปหรือพะย่ะค่ะ’

‘ใช่!..เราจะกวาดสมบัติออกมาให้เรียบเมื่อทางจักรวรรดิกำลังยุ่งกับการเตรียมงาน’

‘ฟังดูดียิ่งนัก..ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะแสร้งทำตัวเป็นนักสืบที่ดีจนกระทั่งถึงวันนั้นพะย่ะค่ะ’

สีหน้าเคร่งขรึมของคาร์ลเมื่อนึกถึงประโยคสนทนานั้นทำให้สมาชิกในกลุ่มสืบสวนของจักรวรรดิตัวแข็งทื่อขึ้น

ตึก!

คาร์ลเหยียบโดนก้อนหินซึ่งหล่นมาจากตัวอาคารที่ถูกทำลายลงเมื่อเดินเข้ามาในวิหารอย่างช้าๆ

“เราสามารถเริ่มหาเบาะแสตามที่เราต้องการได้เลยใช่มั้ย?”

ตัวแทนจากจักรวรรดิที่รับผิดชอบดูแลคณะทูตของอาณาจักรโรมันพยักหน้าตอบรับตามคำถามของอัลเบิร์ก

“พะย่ะค่ะ..อย่างไรก็ตามทางเราขอความร่วมมือจากพระองค์ให้แจ้งเราเกี่ยวสถานที่ที่จะเข้าไปสอบสวนล่วงหน้าก่อน..จะมีคนของเราเข้าไปอำนวยความสะดวกให้แก่คณะของพระองค์ตลอดเวลาพะย่ะค่ะ”

“อืม..อย่างนั้นรึ?..ข้ายังไงก็ได้ เอาเป็นว่าเราจะทำตามที่เจ้าขอแล้วกัน”

ตัวแทนจากจักรวรรดิถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากเห็นอัลเบิร์กไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจ ในขณะที่อัลเบิร์กเริ่มแบ่งสมาชิกออกเป็นกลุ่มๆทันที

“เจ้าห้าคนและข้าจะเข้าไปสอบสวนในอาคารกลาง”

อาคารกลาง อาคารตะวันออก สำนักงานบริหารทางตะวันตก อัลเบิร์กได้กระจายสมาชิกออกไปตามอาคารดังกล่าวและชี้ไปยังอาคารสุดท้ายเมื่อมองไปยังคาร์ล

“นายน้อยคาร์ลและเบ็นจะเข้าไปตรวจสอบสวนหย่อมด้านหลังและหอคอยที่มียอดแหลมๆนั่น”

คาร์ลและเบ็นสบตาเข้าหากันทันที

‘เบ็น’เป็นหนึ่งในลูกน้องคนสนิทของอัลเบิร์ก เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนตามความสามารถในด้านการสืบสวนของเขาและแน่นอนว่าเขาเป็นดาร์กเอลฟ์ที่ปลอมตัวมา

คาร์ลเอ่ยขึ้น

“หม่อมฉันไม่ต้องการอัศวินคนอื่นแล้วพะย่ะค่ะ..เพราะหม่อมฉันมีอัศวินส่วนตัวถึง3คนแล้ว”

อัลเบิร์กพยักหน้ารับราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“เอาตามที่เจ้าต้องการแล้วกัน..นายน้อยคาร์ล เบ็นและตัวแทนจากจักรวรรดิหนึ่งคน..ถ้ามีอัศวินถึง3คนคงเป็นการดีสำหรับพวกเจ้าทั้ง3”

อัลเบิร์กสั่งการอื่นๆอีกเล็กน้อยก่อนเริ่มแยกย้ายกันไปตามจุดที่ได้รับมอบหมาย

คาร์ลมองเห็นรอยยิ้มแหยๆของตัวแทนจักรวรรดิเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในสวนหย่อมด้านหลัง

“..มันดูน่าเกลียดมากเลยใช่มั้ยขอรับ?”

ตัวแทนจักรวรรดิมองดูดอกไม้และต้นไม้ขนาดเล็กที่ถูกเหยียบย่ำ นอกจากนี้ยังมีคราบเลือดอยู่ทั่วบริเวณ มันให้ความรู้สึกว่ามันคือสนามรบมากกว่าที่จะเป็นสวนหย่อม ตัวแทนจากจักรวรรดิไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยิ้มแหยๆเพื่อแสดงการขอโทษที่ทำให้แขกมาพบจอภาพที่น่ารังเกียจเช่นนี้

“ไม่เลย”