บทที่ 130 ฝีมือพงศกร

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

นัทธีหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาแล้วโยนไปให้

มารุตรับมาอย่างลุกลี้ลุกลน จากนั้นก็ปลดล็อก แล้วเห็นข้อความหนึ่ง ในข้อความนั้นระบุว่าขาของคู่หมั้นนายฉันเป็นคนทำเอง หากคราวหน้าเธอยังกล้าทำอะไรวารุณีอีก ฉันจะให้เธอได้นั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต!

“เฮ้ย ทำไมถึงเป็นคุณหมอพงศกรไปได้?” มารุตอ้าปากค้าง มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ ก็สั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

นัทธีหลุบตาลงแล้วพูดเสียงเรียบนิ่งว่า “คนคนนี้ ไม่ธรรมดา รูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นว่าอ่อนโยนนั้นล้วนสร้างขึ้นมาทั้งนั้น จริงๆแล้วโหดร้ายไร้ความปรานีถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา พิชิตเคยพูดเอาไว้ คนคนนี้มีปัญหาทางจิต”

“งั้นคุณวารุณีอยู่ใกล้ชิดกับเขาแบบนี้ ไม่เป็นอันตรายเหรอครับ ?”มารุตดันกรอบแว่นแล้วพูดขึ้นมา

นัทธีเม้มปาก “ไม่หรอก”

พงศกรชอบวารุณี เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ทำร้ายเธอ

แต่คนที่มีปัญหาทางจิตแบบนี้ และยังมาอยู่ใกล้ชิดกับวารุณีแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่

“ท่านประธานครับ แล้วขาของคุณพิชญาที่ถูกนายพงศกรทำร้ายจนหักละครับ เราจะต้องทำอะไรไหมครับ?”มารุตคืนโทรศัพท์ให้นัทธี

หลังจากที่นัทธีรับโทรศัพท์มา ก็เก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท“ไม่จำเป็น ครั้งนี้พิชญาหาเรื่องเอง ถูกทำร้ายจนขาหักก็สมควรแล้ว !”

“ครับ”มารุตไม่ได้พูดอะไรอีก

ในโรงพยาบาลของพิชิต พิชญาเห็นนายสุภัทรวางสายไป ก็รีบถามไปว่า“คุณพ่อ นัทธีบอกจะมาไหมคะ ?”

นายสุภัทรถอนหายใจ “ไม่มาแล้ว”

ใบหน้าของพิชญาซีดเซียว “ทำไมกัน หนูได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ เขาไม่คิดจะมาดูหน่อยเหรอ?”

“พอแล้ว ไม่มาก็ช่างเขา เมื่อก่อนตอนเราป่วย เขาก็ไม่เคยมาเยี่ยม ”นายสุภัทรที่จับไม้ค้ำอยู่ก็นั่งลง

พิชญาอารมณ์เสียฟึดฟัดขย้ำใส่ผ้าห่ม“มันจะเหมือนกันได้ยังไงละคะ เมื่อก่อนแค่ป่วยเล็กๆน้อยๆ แต่ครั้งนี้ขาหนูหักนะคะ”

“แล้วจะให้พ่อทำยังไง เขาไม่มา จะให้พ่อไปมัดตัวเขาแล้วลากเขามาหรือไง ?” นายสุภัทรจ้องมองไปที่เธออย่างไม่สบอารมณ์

นางขยานีที่เดินเข้ามาพร้อมกาต้มน้ำ“ พ่อลูกสองคนทะเลาะอะไรกัน ?”

“แม่ นัทธีเขาไม่มาดูหนู ” พิชญาเบะหน้าแล้วพูดออกมา

นางขยานีวางกาต้มน้ำลง แล้วลูบไปที่ศีรษะของเธอ “ ไม่เป็นไร สักพักค่อยโทรให้เขามาก็ได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญคือหาตัวคนร้ายที่ทำร้ายหนูมาให้ได้ แล้วนี่คุณคะ นัทธีได้บอกหรือเปล่าว่าจะช่วยตามหาตัวคนร้ายให้ ?”

นายสุภัทรยังไม่ทันได้ตอบ ใบหน้าที่บูดเบี้ยวของพิชญาก็พูดตัดหน้าขึ้นว่า “ยังจะต้องหาอีกทำไมคะ ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของวารุณี เธอเอาคืนที่เมื่อวานหนูทำร้ายเธอจนขาเธอได้รับบาดเจ็บ !”

“อะไรนะ?”นางขยานีร้องเสียงแหลม “ฉันจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้!”

พูดจบ ไม่สนใจคำร้องห้ามของนายสุภัทร เธอก็ออกจากโรงพยาบาลไป

หลังจากที่สอบถามมาจากหลายๆคน นางขยานีก็มาถึงที่ที่วารุณีอยู่

วารุณีที่เพิ่งกลับมาจากสตูดิโอ กำลังดูทีวีเป็นเพื่อนอารัณ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงก่นด่าดังมาจากหน้าห้องของคนป่วย“วารุณี นังแพศยา โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้นะ !”

“หม่ามี๊ มีคนกำลังด่าว่าหม่ามี๊อยู่ ”อารัณขมวดคิ้วยุ่ง

“ไม่เป็นไร หม่ามี๊จะออกไปดูแป๊บหนึ่ง หนูอยู่นี่นะ” วารุณีลูบไปที่ศีรษะของเขา ลุกขึ้นพร้อมใบหน้าเรียบนิ่ง หนีบเอาไม้ค้ำแล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วย

เมื่อออกมาแล้ว ที่หน้าห้อง เธอก็เห็นนางขยานียืนมือเท้าสะเอวอยู่ แววตาเผยความระอา“คุณน้าขยานี มาที่นี่ทำไมคะ ?”

“มาทำไมงั้นเหรอ?”นางขยานียิ้มเยาะ จากนั้นก็คว้าไปที่ตัววารุณี “นังแพศยา ทำไมถึงได้เลวทรามขนาดนี้ กล้าดียังไงให้คนมาทำร้ายลูกฉันจนขาหัก !”

วารุณีที่ขาไม่สมประกอบ หลบหนีไม่พ้น ถูกเล็บของนางขยานีข่วนเข้าที่ใบหน้า จนใบหน้าปวดแสบไปหมด

แต่เธอไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพราะนางขยานีในตอนนี้ ทำไม้ค้ำของเธอแกว่งไหวไม่มั่นคง และร่างของเธอก็โอนเอนไปมา กำลังจะล้มคะมำลงกับพื้น

โชคดีที่ในตอนนี้ วรยากลับมาพอดี จึงรีบเข้าไปพยุงร่างของวารุณี แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจไปว่า “ลูกรัก เป็นอะไรไหมลูก ?”

วารุณีส่ายหน้าด้วยความกลัว “แม่ค่ะ หนูไม่เป็นอะไร”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ”วรยาโล่งใจ จากนั้นก็จ้องมองไปที่นางขยานีด้วยความโกรธ “ นังบ้า กล้าดียังไงมาลงไม้ลงมือกับลูกฉัน !”

“หึ ฉันลงไม้ลงมือแล้วทำไม เธอไม่ถามลูกเธอว่าไปทำอะไรไว้ ”นางขยานีชี้ไปที่วารุณี

วรยาหันมองไปที่วารุณี“ลูกรักลูกไปทำอะไรมา ?”

วารุณีหน้านิ่งแล้วหัวเราะออกมา “คุณน้าขยานีบอกว่าหนูไปทำร้ายพิชญาจนขาหัก !”

“เหลวไหล!”วรยาพ่นคำด่าออกมาทันที แล้วตะโกนใส่นางขยานี “ลูกสาวเธอขาหัก เอาอะไรมาพูดว่าเป็นฝีมือของลูกฉัน ฉันยังไม่โทษที่ลูกสาวเธอมาทำลูกสาวฉันจนขาเคล็ด ดูเธอตอนนี้ แทนที่จะยอมรับผิดยังมาโทษคนอื่นอีก ”

“อะไรคือยอมรับผิดแล้วโทษคนอื่น ที่ฉันพูดล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น เพราะพิชญาทำเธอจนขาเคล็ด เธอเลยอาฆาตแค้น ให้คนมาจัดการกับพิชญาจนขาหัก ช่างอำมหิตจริงๆ” นางขยานีมองไปที่วารุณีอย่างขุ่นเคือง

วรยายืนบังให้วารุณีหลบอยู่ด้านหลัง “ลูกสาวฉันอำมหิต ? หึ ลูกสาวฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ลูกสาวเธอคิดวางแผนเล่นงานคนอื่น ทำไมเธอไม่ว่าลูกตัวเองอำมหิตบ้างล่ะ ”

“ฉันไม่สน วารุณีแค่ขาเคล็ด แต่พิชญาขาหัก หากวันนี้ไม่มีคำอธิบาย ฉันจะแจ้งความ ฟ้องพวกเธอข้อหาแก้แค้นโดยตั้งใจ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา!”นางขยานีกำหมัดแน่นแล้วตะโกนออกมา

“ได้ แจ้งความเลย ในเมื่อเราไม่ได้ทำ ก็ให้ตำรวจมาตรวจสอบ และถ้าผลออกมาว่าเราไม่ได้เป็นคนทำ เธอก็จะกลายเป็นเจตนาแกล้งให้ผู้อื่นต้องรับโทษ และแจ้งความเท็จ!” วรยาชูคอแล้วหัวเราะเยาะออกมา

นางขยานีเชื่อว่าขาที่หักของพิชญานั้นเป็นฝีมือของวารุณี และเขาก็ไม่กลัวคำขู่ของวรยา จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้งตำรวจ

หลังจากที่โทรแจ้งเสร็จเรียบร้อย เธอก็มองมาที่วรยากับวารุณีสองแม่ลูกอย่างได้ใจ“ พวกเธอรอเข้าคุกได้เลย !”

“คุณน้าขยานี ฉันคิดว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องเข้าคุก น่าจะเป็นพิชญานะคะ” วารุณีโผล่หัวออกมาจากทางด้านหลังของวรยา แล้วพูดมันขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของนางขยานีนิ่งอึ้งไป “เธอหมายความว่าไง?”

วารุณีเสยผมขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไปว่า “เดี๋ยวคุณน้าก็รู้เองค่ะ”

เมื่อนางขยานีเห็นเธอยังคงพูดเล่นยิ้มแย้มหัวเราะได้ ไม่กลัวที่ตำรวจกำลังจะมา ในใจก็อยู่ไม่สุขขึ้นมาทันที เธอเริ่มสงสัย ขาของพิชญา จะใช่ฝีมือวารุณีหรือเปล่า

หากไม่ใช่ การแจ้งความเมื่อกี้ ก็จะกลายเป็นเจตนาแกล้งให้ผู้อื่นต้องรับโทษ !

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของนางขยานีก็ซีดลง กังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย

“เออ……ฉันเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองยังมีธุระ ขอตัวก่อน”เธอหันหลัง เตรียมที่จะหลบออกไปจากตรงนี้

แต่วรยามองออกถึงเจตนาของเธอ เอื้อมมือไปคว้าตัวเธอเอาไว้ “จะรีบไปไหน ตำรวจยังไม่มาเลย”

“ฉัน……”

“ฉันอะไร อยู่ที่นี่แหละ อย่าคิดที่จะหนีไปไหนทั้งนั้น!” วรยาคว้าหมับไปที่นางขยานีไม่ปล่อย

ไม่นาน ตำรวจก็มาถึง “ใครเป็นคนแจ้งความครับ?”

ยังไม่ทันที่นางขยานีจะได้ตอบ วรยาก็ดันร่างของนางขยานีออกไป“เธอค่ะ เธอบอกว่าลูกสาวฉันทำร้ายลูกสาวเธอจนขาหัก!”

“อ้อ?”ตำรวจมองไปที่วารุณีแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมามองที่นางขยานี “มีเรื่องแบบนี้จริงไหมครับ?”

นางขยานีในตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือของวารุณีหรือเปล่า เธอเองก็ไม่อยากจะรู้แล้วในตอนนี้ เพราะเธอกลัวว่าท้ายที่สุดแล้วจะโดนข้อหาเจตนาแกล้งให้ผู้อื่นต้องรับโทษจะยิ่งแย่ไปอีก

เธอสูดหายใจเข้าลึก ฉีกยิ้มอย่างเก้ๆกังๆออกมา “เออคือว่า คุณตำรวจ ไม่มีเรื่องแบบนี้หรอกค่ะ คือฉันวู่วามไปหน่อยเลยเข้าใจพวกเธอผิดไป เพราะฉะนั้น……”

“เพราะฉะนั้นที่คุณโทรไปคือแจ้งความเท็จ?”นายตำรวจขมวดคิ้ว มองที่นางขยานีอย่างไม่พอใจ

วรยาพูดเติมเชื้อไฟ “ใช่ค่ะ เธอแจ้งความเท็จ!”

นางขยานีจ้องเขม็งมองมาที่เธอ จำต้องพยักหน้าอย่างจนใจ“ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณตำรวจ”

แจ้งความเท็จ ดีกว่าโดนข้อหาเจตนาแกล้งให้ผู้อื่นต้องรับโทษ

เพราะแจ้งความเท็จก็แค่ถูกว่ากล่าวตักเตือน แต่ข้อหาเจตนาแกล้งให้ผู้อื่นต้องรับโทษนั้นต้องถูกควบคุมตัว

สีหน้าของตำรวจดูแย่ขึ้นมาทันที จากนั้นก็ว่ากล่าวตักเตือนนางขยานีไปชุดใหญ่

เมื่อตำรวจว่ากล่าวตักเตือนจบ กำลังเตรียมตัวที่จะจากไป จู่ๆวารุณีก็ค้ำไม้เท้าขึ้นมา แล้วลุกยืนขึ้น“ คุณตำรวจค่ะ ฉันอยากจะแจ้งความค่ะ ผู้หญิงคนนี้โทรแจ้งบอกว่าฉันทำร้ายลูกสาวเธอจนขาหัก งั้นฉันจะแจ้งความลูกสาวเธอ เจตนาฆ่า!”