บทที่ 169 ท่านพ่ออ่านใจคนได้!?

บทที่ 169 ท่านพ่ออ่านใจคนได้!?

ฝูไห่และเหล่านางกำนัลต่างรู้สึกเป็นทุกข์และสงสารองค์หญิงน้อย พวกเขาแทบจะอดรนทนไม่ไหว อยากจะเข้าไปสวมกอดองค์หญิงน้อยและปลอบประโลมพระองค์แทน

หนานกงสือเยวียนยกยิ้มมุมปาก พร้อมกับกวักมือเรียกพระธิดาตัวน้อยของเขา

“มานี่มา”

เด็กหญิงผู้น่าสงสารรีบก้าวไปด้านหน้าในทันใด และเอาร่างกายเล็ก ๆ นี้มุดเข้าไปในอ้อมกอดของบิดา

“ท่านพ่อ” เสี่ยวเป่าซบหน้าลงที่หน้าท้องของบิดา พร้อมกับส่งเสียงเรียกอย่างออดอ้อน

หนานกงสือเยวียนลูบศีรษะของนาง และเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ใช่ว่าข้าจะห้ามไม่ให้เจ้ากิน แต่ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ทุกอย่างควรต้องพอเหมาะและดีต่อสุขภาพ ต้องไม่ใช้อารมณ์ร้ายแสดงความโกรธออกมาเฉกเช่นวันนี้”

เสี่ยวเป่าเบียดตัวเข้าในอ้อมแขนของบิดามากขึ้น และกอดตัวบิดาเอาไว้ด้วยแขนเล็ก ๆ

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าขอโทษ เสี่ยวเป่ารู้แล้วว่าทำผิด เสี่ยวเป่าไม่โกรธแล้ว”

นางเงยใบหน้าขึ้น ดวงตากลมโตและจมูกแดง ๆ นี้ ผู้ใดพบเห็นก็เป็นต้องรู้สึกทุกข์ใจและสงสารเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้

หนานกงสือเยวียนตระกองกอดพระธิดาไว้ในอ้อมแขน และเช็ดน้ำตาของนางด้วยนิ้วเรียวยาว

“หายโกรธแล้วใช่หรือไม่?”

คนตัวเล็กพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อื้อ เสี่ยวเป่าเชื่อฟังท่านพ่อ”

หนานกงสือเยวียนกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าด้านนอกกลับมีเสียงร้องของเจ้าแกะน้อยดังขึ้น

สีหน้าของเขาเปลี่ยนอารมณ์ทันที

ชุนสี่และคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจ จนรีบคุกเข่าลงในทันใด

เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะ “เสียงของลูกแกะหรือ?”

ชุนสี่พยักหน้า จากนั้นนางก็ทำหน้าลำบากใจที่จะพูด

“องค์หญิงเพคะ ลูกแกะตัวนี้ปราดเปรียวและมีชีวิตชีวามากเกินไปหน่อย มันมักจะส่งเสียงร้องเช่นนี้เสมอ”

เสี่ยวเป่าพูดว่า “แล้วพวกเจ้านอนหลับหรือ?”

แม้ว่าเสี่ยวเป่าจะไปอยู่กับท่านพ่อ แต่ชุนสี่และคนอื่น ๆ ยังคงอาศัยอยู่ที่นี่

หนานกงสือเยวียน “พาพวกมันไปเลี้ยงที่นาหลวง ที่นั่นมีหญ้ามากมายน่าจะเพียงพอให้พวกมันได้กิน”

เสี่ยวเป่ารีบตกลงโดยไม่ลังเล เพราะวันนี้เสี่ยวไป๋ทะเลาะวิวาทกับแม่แกะอีกแล้ว

แม้ว่าแม่แกะจะถูก ‘ลงโทษอย่างหนัก’ โดยการโกนขน แต่เสี่ยวไป๋ยังไม่พอใจอยู่ดีที่จะมีแกะอีกสองตัวมาคอยแย่งอาหารกับมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่แกะที่ตัวใหญ่กว่าและกินเยอะกว่า เช่นนี้แล้ว มันจะไม่โกรธได้อย่างไร?

เสี่ยวไป๋คอยติดตามข้างกายนางมาโดยตลอด แน่นอนว่านางต้องเอนเอียงมาทางเสี่ยวไป๋อยู่แล้ว ซึ่งอันที่จริงนางก็กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะส่งแกะสองตัวนี้ออกไปดีหรือไม่

“แต่ท่านพ่ออย่าฆ่าพวกมันนะ พอมันเติบโตขึ้นเสี่ยวเป่ายังอยากโกนขนให้มันอยู่”

ถูกต้อง! เสี่ยวเป่าอยากได้ขนแกะมากกว่านี้ จึงตั้งใจเลี้ยงมันไว้เป็นสัตว์เลี้ยง!

ท่านพ่อบอกนางว่า สภาพอากาศทางชายแดนไม่ดี และฤดูหนาวก็หนาวเป็นอย่างมาก เสี่ยวเป่าต้องการส่งขนแกะเหล่านี้ให้ท่านพี่รองก่อนฤดูหนาว รวมถึงแม่ทัพเฒ่าเซี่ย และแม่ทัพน้อยเซี่ย

เพราะทั้งสองเป็นท่านตาและลูกพี่ลูกน้องของพี่ใหญ่

หนานกงสือเยวียน “เอาล่ะ พรุ่งนี้ค่อยพามันไป”

หลังจากปลอบใจเด็กน้อยแล้ว ดวงตาของหนานกงสือเยวียนก็จับจ้องไปยังคนที่ถือของเล่นเอาไว้ในมือ

“สิ่งนั้นคืออะไร?”

หลังจากที่เขาเอ่ยปากถาม ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเด็กน้อยในอ้อมแขนเขาตัวแข็งทื่อ และมีท่าทางพิรุธอย่างช่วยไม่ได้

เสี่ยวเป่ากอดคอและฝังศีรษะเล็ก ๆ ของนางไว้บนไหล่บิดา แต่ว่านางไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา

จบสิ้นแล้ว ตอนแรกนางไม่ได้คิดว่าบิดาจะมาหานางถึงที่นี่ เดิมทีวางแผนเอาไว้ว่า จะนำสิ่งของที่ท่านพี่สามให้ไปซ่อนไว้

เมื่อเห็นว่าเด็กเล็กแสร้งทำเป็นหูทวนลมและนิ่งเงียบไป หนานกงสือเยวียนก็ไม่ได้เค้นถาม

“ถ้าเจ้าไม่พูด เช่นนั้นก็ให้คนเหล่านี้อธิบาย”

ชุนสี่และคนอื่น ๆ ต่างหน้าซีดเผือดเพราะเกรงกลัวฮ่องเต้

“มัน…มันคือของเล่น”

สุดท้ายแล้ว เป็นเสี่ยวเป่าที่เอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา มือเล็ก ๆ ทั้งสองจับเสื้อคลุมของบิดาไว้แน่นและมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร พยายามทำทุกท่าทางที่มันดูน่ารักน่าเอ็นดู

ทว่าการจะทำให้ราชาปีศาจอย่างเขาใจอ่อนหาใช่เรื่องง่ายไม่ ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์เรียกให้นางกำนัลวางของเล่นเหล่านั้นไว้บนโต๊ะข้าง ๆ เขา และใช้นิ้วเรียวยาวเล่นพวกมันด้วยท่วงท่าสบาย ๆ

ยกเว้นตุ๊กตาตัวนั้น ตัวอื่น ๆ ล้วนมีรูปร่างเป็นสัตว์ต่าง ๆ

และฝีมือนั้นก็ประณีตเป็นอย่างมาก

“ไปเอามาจากที่ใดหรือ?”

เสี่ยวเป่าลังเล ไม่กล้าตอบออกไป

หนานกงสือเยวียน “ไม่กล้าบอก?”

เสี่ยวเป่ากอดแขนของเขาเอาไว้ และแสร้งทำเป็นคร่ำครวญ “ท่านพ่อไม่ต้องถามแล้ว นี่เป็นความลับของเสี่ยวเป่านะ”

หนานกงสือเยวียนยกยิ้มมุมปากและใช้ปลายนิ้วแตะจมูกเล็ก ๆ ของนาง

“เป็นความลับของเจ้าหรือเจ้าต้องการช่วยใครบางคนปกปิดเป็นความลับกันแน่?”

พลันดวงตาของเสี่ยวเป่าเบิกกว้าง นี่มันอะไรกัน? นางยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ท่านพ่อรู้ได้อย่างไร!

หนานกงสือเยวียนจ้องมองดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความตกใจของพระธิดา พร้อมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

“เจ้าช่วยพี่ชายคนไหนของเจ้าเก็บเป็นความลับกัน หือ?”

เสี่ยวเป่า“!!!”

อีกแล้ว…รู้ทันอีกแล้ว! ท่านพ่ออ่านใจคนได้หรือ!?

“ไม่ต้องคิดมาก ข้าไม่ได้อ่านใจคนอื่นได้หรอก”

เสี่ยวเป่า “…”

เด็กเล็กหน้าถอดสี “ท่านพ่อ ท่านเป็นคนโกหก ท่านเพิ่งพูดสิ่งที่เสี่ยวเป่ากำลังคิดเมื่อครู่!”

แล้วบอกว่าอ่านใจคนไม่ได้!

หนานกงสือเยวียนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ หาใช่รอยยิ้มบาง ๆ ที่ดูเย็นชา แต่เป็นรอยยิ้มกว้างดูสุขใจอย่างแท้จริง

บุรุษผู้นี้ตลอดมามักมีสีหน้าเย็นชาและไม่ค่อยแสดงอารมณ์ ทว่าครั้งนี้เขากลับหัวเราะออกมาอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นเรื่องที่หาดูได้ยาก

เสี่ยวเป่าตกตะลึง เหตุใดท่านพ่อของนางถึงได้ดูดีเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่นางก็หน้าตาดีเช่นกัน!

ฝูไห่และคนอื่น ๆ เองก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน ฝ่าบาทไม่เคยหัวเราะเช่นนี้มาก่อน นี่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองมากกว่าวันส่งท้ายปีเก่าเสียอีก!

“เช่นนั้นให้ข้าลองเดาดูดีหรือไม่ว่าเจ้าช่วยเก็บความลับให้พี่ชายคนไหน”

เสี่ยวเป่าฟื้นสติจากการชื่นชมใบหน้าของท่านพ่อทันที และพยายามที่จะรักษาใบหน้าตัวเองให้นิ่งเฉย ไม่มีพิรุธที่สุด

ไม่รู้ ไม่รู้~ เสี่ยวเป่าไม่รู้อะไรเลย

เช่นนี้แล้ว ท่านพ่อต้องไม่รู้แน่ ๆ ว่าเสี่ยวเป่ากำลังคิดอะไรอยู่

“อืม ท่านพี่สามของเจ้าใช่หรือไม่”

เสี่ยวเป่า “…ท่านพ่อ ท่านรู้ได้อย่างไร!”

ใบหน้าของเด็กน้อยดูเหลือเชื่อยิ่ง และเพราะนางตกใจเกินไป น้ำเสียงเล็ก ๆ จึงดังกว่าปกติ

หนานกงสือเยวียนบีบแก้มนุ่ม ๆ ของพระธิดา เขาหรี่ตาคมลงพร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าเดาถูกจริง ๆ สินะ”

เสี่ยวเป่าไม่เข้าใจอีกครั้ง นี่ท่านพ่อเดาหรือ? เหตุใดท่านจึงเดาได้แม่นยำตลอดเลย!

หนานกงสือเยวียนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เหตุเพราะองค์ชายสี่ไม่ได้มีมันสมองในด้านนี้ องค์ชายห้าเองก็เป็นผู้ที่อยู่ไม่นิ่ง การทำสิ่งนี้ต้องอาศัยความพิถีพิถันและต้องใช้ความอดทนสูง ซึ่งเขาคงไม่สามารถทำได้ องค์ชายหกอยู่ในความดูแลของหวงกุ้ยเฟย นางคงไม่ปล่อยให้เขาทำสิ่งนี้ ส่วนพี่ชายที่เหลืออีกสองคนของเจ้า พวกเขายังเด็กเกินไป ภายในระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาคงไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้”

หลังจากตัดความน่าจะเป็นทั้งหมดออกไปแล้ว ก็เหลือแต่บุตรชายที่สาม

มีเพียงบุตรชายคนที่สามเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในตำหนักฉางซิ่น ที่เหลือล้วนเป็นข้ารับใช้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนเข้าสังคมไม่เก่งและมักจะปลีกตัวออกไปอยู่ลำพัง แต่ก็เป็นคนที่มีความอดทน และฝ่ามือที่ด้านของบุตรชายคนนี้ก็ไม่ได้มาจากการฝึกธนูหรือทำสิ่งอื่นใด เมื่อก่อนเขาไม่เคยเข้าใจ แต่ตอนนี้เขารู้คำตอบแล้ว

หนานกงสือเยวียนมองเด็กน้อยที่เอาแต่อ้าปากค้าง แล้วเขาก็ยิ้มออกมา

ฝูไห่ทนมองไม่ได้อีกต่อไป แอบคิดในใจว่าองค์หญิงน้อยทรงเหมือนกับกระต่ายน้อยผู้โง่เขลา จะไปสู้กับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร

ท่านพ่อเดาได้หมดแล้ว ตอนนี้นางคงไม่สามารถซ่อนมันได้อีกต่อไป เสี่ยวเป่าพลันมีใบหน้าสลดลง

“ท่านพ่อ ท่านอย่าโกรธได้หรือไม่”

“ในเมื่อเขากลัวว่าข้าจะโกรธ เหตุใดเขายังเลือกที่จะทำสิ่งนี้อีก”

“เพราะท่านพี่สามชอบ”

หนานกงสือเยวียนวางมือลงบนโต๊ะพร้อมเคาะนิ้วเป็นจังหวะ สร้างความกดดันให้กับหัวใจของผู้คนอย่างอธิบายไม่ได้

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ในโลกนี้ทุกอย่างล้วนต่ำต้อย ยกเว้นการศึกษาเท่านั้นที่สูงส่ง ไม่ต้องพูดถึงสถานะของท่านพี่สามของเจ้าที่เป็นถึงองค์ชาย ทว่าสิ่งที่เขาทำนั้นแม้แต่สามัญชนข้างนอกก็ยังมองว่ามันต่ำต้อย”

เสี่ยวเป่าขมวดคิ้วอย่างกังวลใจ “ไม่จริง สิ่งที่ท่านพี่สามทำนั้นน่าทึ่งและมีประโยชน์มาก!”

หนานกงสือเยวียนหรี่ตาลง “หืม? ถ้าเช่นนั้นลองบอกมาสิ ว่ามันมีประโยชน์อย่างไร”

ท่าทีของเด็กเล็กดูจริงจังเป็นอย่างมาก นี่ก็เพื่อปกป้องท่านพี่สามของนาง!