บทที่ 170 ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเขาเอง

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 170 ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเขาเอง

บทที่ 170 ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเขาเอง

“พี่สามสามารถเปลี่ยนไม้แข็ง ๆ ให้เคลื่อนไหวได้ เพียงเท่านี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว อีกทั้งสิ่งที่พี่สามทำ ในอนาคตจะต้องสามารถช่วยเหลือการเก็บเกี่ยวข้าวได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังสามารถทำสิ่งที่ช่วยให้ไถนาได้รวดเร็วและง่ายขึ้น แล้วก็สามารถทำอาวุธที่ทรงพลังออกมา ป้องกันไม่ให้พวกคนเลวมาระรานพวกเรา!”

นางมองท่านพ่อตาแป๋ว “พี่สามขยันหมั่นเพียรอยู่แล้ว ท่านพ่ออย่าได้ตำหนิพี่สามเลย พี่สามเก่งมากจริง ๆ”

หนานกงสือเยวียนมองเด็กน้อยที่ร้อนรน เพราะกังวลว่าเขาจะสั่งลงโทษบุตรชายคนที่สาม ก่อนจะใช้นิ้วเคาะลงไปบนหน้าผากเล็ก ๆ ของนาง

“เช่นนั้นข้าจะรอให้เขาแสดงความสามารถของตนเองออกมาให้เห็น”

ได้ยินคำพูดของท่านพ่อแล้ว ดวงตาของเสี่ยวเป่าพลันเปล่งประกาย เพราะในน้ำเสียงนั้นไม่ได้มีความโกรธอยู่

“ท่านพ่อไม่โกรธพี่สามใช่หรือไม่?”

หนานกงสือเยวียนตอบ “ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเขาเอง”

เดิมที เขาก็ไม่ใช่คนที่ยึดติดกับจารีตแบบแผนแต่อย่างใด หากสิ่งที่บุตรชายคนที่สามทำอยู่ในช่วงการปกครองของฮ่องเต้องค์ก่อน จะต้องถูกดุด่าสั่งห้ามอย่างแน่นอน อย่างไรเสียฮ่องเต้องค์ก่อนก็เป็นคนน่าสะอิดสะเอียนที่รักหน้าของตนเองเป็นอย่างยิ่ง

หนานกงสือเยวียนไม่ได้ใส่ใจอันใดกับเรื่องนี้ เมื่อครู่เขาต้องการแกล้งเด็กน้อยเท่านั้น

สิ่งที่เขาไม่ชอบคือ การที่บุตรชายของตนเองไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งใดเลย สุดท้ายก็กลายเป็นคนที่รู้จักแต่พึ่งพาอิงแอบตัวเขาเพื่อไปรังแกผู้อ่อนแอกว่า คนเช่นนั้นต่างหากที่เขารังเกียจ

ในความคิดของเขาแล้ว จะมีประโยชน์หรือไม่นั้นไม่เกี่ยวกับว่าท่องตำราได้หรือไม่

หลังจากขึ้นครองราชย์มา หนานกงสือเยวียนได้พบเห็นผู้คนจำนวนมากที่รู้เพียงแค่วิธีการท่องตำรา ขุนนางเหล่านั้นเอาแต่สนทนากันเกี่ยวกับกวีและลำนำเพลง ทว่าไม่รู้เรื่องใดเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย ชาวนามากประสบการณ์ที่ไม่รู้หนังสือยังจะมีประโยชน์มากเสียกว่า อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถทำนาได้!

เขาต้องลงแรงอย่างมากในการทำความสะอาดพวกถุงสุราถุงข้าว*[1]ที่รู้แต่วิธีจะเจาะเอาเงินของเขาออกไปจากราชสำนัก จึงตระหนักได้ถึงภัยอันตรายของบุคคลเหล่านั้นเป็นอย่างดี

อีกตัวอย่างคือบุตรชายคนที่สี่ ในสายตาของใครบางคน บุตรคนนี้ของเขาเป็นเพียงคนโง่เขลา มีพละกำลังแต่ไม่มีสมอง ทว่าสำหรับเขาแล้ว บุตรชายคนที่สี่ก็เหมือนกับองค์ชายคนอื่น ๆ ไม่มีอคติด้วยแต่อย่างใด

ในสายตาของเขาแล้ว บุตรชายคนที่สี่เป็นอัจฉริยะในอีกด้านหนึ่ง มีพลังมหาศาลโดยธรรมชาติ ขอเพียงแค่ได้รับการสั่งสอนเป็นอย่างดี ก็จะกลายเป็นทหารหาญกล้าที่ทำให้ศัตรูหวั่นเกรง

ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องกลศึกหรือตำราพิชัยสงคราม จำเป็นเพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่งได้ดีก็เพียงพอแล้ว

หากบุตรชายคนที่สามสามารถทำได้อย่างคำพูดของเสี่ยวเป่าจริง ก็นับได้ว่ามีความเฉพาะตัวในด้านนี้

หนานกงสือเยวียนหลุบสายตาลงครุ่นคิด อืม สามารถลงคนไปยังกรมโยธาได้

ในตอนนั้นเอง หนานกงฉีอวิ๋นไม่รู้ตัวเลยว่า อนาคตของตนเองถูกท่านพ่อวางแผนส่งไปยังกรมโยธาเพื่อทำงานให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังจากปัญหาของพี่สามได้รับการแก้ไขแล้ว เสี่ยวเป่าก็กลับมาเกาะติดท่านพ่อไปไหนมาไหนอีกครั้ง ราวกับคำพูดที่เอ่ยว่าจะโกรธท่านพ่อหนึ่งวันไม่มีอยู่จริง

พ่อลูกเลิกแง่งอนใส่กันแล้ว ผู้ที่ดีใจที่สุดก็คือเหล่าข้ารับใช้ที่จะได้เลิกเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลาเสียที

ข้าวในนาหลวงพร้อมเก็บเกี่ยวก่อนกำหนด สิ่งนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ แต่ก็ตื่นเต้นดีใจในเวลาเดียวกัน

หัวหน้าผู้ดูแลมองดูรวงข้าวอย่างมีความสุขจนยิ้มตาปิด

ชาวบ้านรอบข้างที่รู้ข่าว ไม่ว่าหัวหน้าหมู่บ้านหรือผู้หลักผู้ใหญ่คนใดล้วนร้องขอหัวหน้าผู้ดูแลให้พาพวกเขาเข้ามาดู ข้าวที่ดีเช่นนี้ แม้พวกเขาจะมาดูทุกวันก็ไม่มีเบื่อ

หัวหน้าผู้ดูแลมีความสุขที่ประสบความสำเร็จจึงพาพวกเขาทั้งหมดเข้าชม ให้ได้เห็นว่าฝ่าบาทของพวกเขายิ่งใหญ่เพียงใด กระทั่งต้นข้าวที่นำมาจากวังหลวงยังแตกต่างจากในนาทั่วไป

“ต้นข้าวเหล่านี้ครอบครัวของนายท่านล้วนนำมาให้ พวกท่านเคยเห็นข้าวที่ดีเพียงนี้มาก่อนหรือไม่?”

“ข้าวที่ออกรวงดีเช่นนี้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้าไม่เคยพบเคยเห็น ดูรวงข้าวเหล่านี้สิ จะต้องเก็บเกี่ยวได้มากมายอย่างแน่นอน”

“ข้าวสุกพร้อมเก็บเกี่ยวก่อนกำหนด ทั้งยังเติบโตได้เร็วและดี ดูรวงข้าวสีทองน่ามองเหล่านี้สิ”

“ไม่เพียงแค่ข้าวเท่านั้น พวกเจ้าดูปลาในนาเหล่านี้ มีแต่ตัวใหญ่อวบอ้วน ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าในนาข้าวจะเลี้ยงปลาได้ด้วย”

“ข้าคิดว่าข้าวในนานี้ดีกว่าข้าวปีก่อน ๆ มาก ดูเหมือนจะพร้อมเก็บเกี่ยวเร็วกว่ากำหนดไม่น้อย”

“ปลาในนาเองก็ดูดีมาก”

ชาวนามากประสบการณ์เหล่านี้ทำนามาตลอดทั้งชีวิต ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านรอบ ๆ ก็อาศัยเช่านาของหลวงทำกิน ผลผลิตห้าส่วนส่งให้เจ้าของที่ อีกห้าส่วนเป็นพวกเขาเก็บไว้เอง

หากพืชผลในนางอกงามดี พวกเขาเองก็สามารถมีส่วนแบ่งได้มากขึ้น

ดังนั้นเมื่อมองดูข้าวที่เจริญงอกงามอย่างมากในนาแห่งนี้ พวกเขาต่างพากันอิจฉาตาร้อน

หัวหน้าผู้ดูแลหัวเราะพลางเอ่ยกับพวกเขาอย่างมีเลศนัย “ที่ข้าวเหล่านี้งอกงามดีก็มีเหตุผล นาเหล่านี้ถูกใช้เพื่อทดลอง ครานี้เมื่อเห็นชัดว่าวิธีการนี้ได้ผล พวกเจ้าก็ทนรอสักพักเถิด ต่อไปในที่นาของพวกเจ้าจะต้องใช้วิธีนี้อย่างแน่นอน”

พวกหัวหน้าหมู่บ้านได้ยินแล้วก็ไม่อาจสงบใจได้ พากันถามว่าเมื่อใดจะเริ่มใช้วิธีดังกล่าว พักเรื่องใบหน้าและมาดท่าทางเอาไว้ก่อน เรื่องของปากท้องสำคัญยิ่งกว่า พวกเขาต่างเกิดความกลัวเกรงว่าตนเองจะถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกท่านกลับไปก่อนเถิด ข้าไม่มีลืมทุกท่านอย่างแน่นอน อีกทั้งในอนาคตเองก็จะมีการส่งเสริมวิธีนี้ให้แพร่หลายกว้างขวาง ตอนนี้เจ้าของที่กำลังจะมาแล้ว ต้องจริงจังกับการเก็บเกี่ยวข้าวให้ดี”

“วางใจเถิด พวกเราล้วนเชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้าวที่ดีขนาดนี้ย่อมไม่อาจทนให้เสียเปล่าได้”

เสบียงอาหารคือชีวิตของพวกเขา ผู้ใดกล้าทำให้มันเสียเปล่าพวกเขาจะเป็นพวกแรกที่ไม่ยอมปล่อยไป

การเกี่ยวข้าวควรเริ่มแต่โดยเร็ว ไม่มีผู้ใดชอบทำงานท่ามกลางทุ่งนาในช่วงเที่ยงวันที่ดวงอาทิตย์เปล่งแสงร้อนแรงสุด

หลังจากหนานกงสือเยวียนกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว เสี่ยวเป่าก็ยังคงนอนหลับก้นโด่งอยู่บนเตียงไม่ยอมตื่น

“ฝ่าบาท เหล่าองค์ชาย ยามนี้อยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อรู้ว่าวันนี้จะไปนาหลวง เหล่าองค์ชายก็ตื่นกันตั้งแต่เช้า กระทั่งเสี่ยวปาที่เป็นน้องเล็กยังอดตื่นเต้นไม่ได้

พวกเขาอยู่ในวังหลวงนานแล้ว เมื่อสามารถออกไปด้านนอกได้ย่อมกระตือรือร้นเป็นพิเศษ

“นำอาหารว่างมื้อเช้าขององค์หญิงไปไว้ในรถม้า”

หลังจากที่หนานกงสือเยวียนพูดจบ เขาก็อุ้มเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียว

เสี่ยวเป่าส่งเสียงงึมงำก่อนจะซุกไหล่ท่านพ่อเพื่อนอนต่อ ดวงตาหนักอึ้งไม่สามารถลืมขึ้นมาได้

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าขอนอนอีกหน่อย”

หนานกงสือเยวียน “พวกพี่ชายของเจ้าอยู่ด้านนอกแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้น เด็กน้อยก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เสียงนุ่มนิ่มเอ่ยงึมงำ

“ท่านพี่?”

“พวกท่านพี่มาแล้วหรือ”

เสี่ยวเป่าหาวพลางขยี้ตา รู้สึกราวกับนี่ไม่ใช่ดวงตาของตนเอง แม้พยายามอย่างมากที่จะลืมขึ้นแต่ก็ไม่อาจทำได้ QAQ

“ผู้ใดใช้ให้เมื่อคืนเล่นจนดึกดื่นกัน?”

เด็กน้อยเล่นของเล่นพวกนั้นไม่ยอมวาง เปลี่ยนเสื้อผ้าทำผมให้ตุ๊กตาไม้ นำนกกลไกบินไปรอบ ๆ ก่อนจะเอางูกลไกมาเลื้อยบนเตียง…

เขาประเมินกลไกของเล่นที่บุตรชายคนที่สามทำต่ำเกินไป

ร่างกายของเสี่ยวเป่าอ่อนปวกเปียกราวกับไม่มีกระดูก คางกลม ๆ วางบนไหล่ของท่านพ่อ

“พวกมันสนุก แถมเสี่ยวเป่าก็ยังมีท่านพ่ออยู่”

แม้ว่านางจะยังคงงัวเงีย แต่เสียงของเจ้าก้อนแป้งก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

นางมีอ้อมแขนของท่านพ่ออยู่ ดังนั้นหากลุกไม่ขึ้นก็ไม่ต้องลุกเสีย

หนานกงสือเยวียนจนใจกับนิสัยของพระธิดา เขาหยิกแก้มนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าด้วยความมันเขี้ยว จากนั้นก็อุ้มคนเดินออกไป

[1] ถุงสุราถุงข้าว (酒囊饭袋) หมายถึง เป็นการเยาะเย้ยเสียดสีผู้ที่ไร้ความสามารถ เอาแต่กินดื่ม