ตอนที่หวังซีถามเฉินลั่วอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น เฉินลั่วยิ้มบางพูดเพียงประโยคเดียวว่า “ไม่มีอะไร”
เขารู้สึกเช่นนี้จริงๆ ทว่าทำให้หวังซีโกรธมาก คิดว่าคนผู้นี้ทำเอานางอยู่ไม่สุขแต่ก็ยังไม่ยอมพูดความจริงอีก แก้มนางจึงป่องเป็นปลาปักเป้า กล่าวข่มขู่เฉินลั่วว่า “โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! หากครั้งนี้เจ้ายังไม่ใช้อีก คราวหน้าต่อให้วิ่งปางตายมารบกวนข้าที่นี่อีก ข้าก็จะไม่สนใจเจ้าแล้ว!”
ในความทรงจำของเฉินลั่วนั้นหวังซีเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่แฝงความซุกซนอยู่ด้วยหลายส่วน นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนางแสดงอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ออกมา เขาบังเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แสร้งพึมพำกล่าวว่า “โอกาสที่หาได้ยากขนาดนี้ ข้าจดเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ ค่อยใช้คราวหน้า”
เริ่มพูดจาไร้สาระกับนางอีกแล้ว ทั้งๆ ที่มีเรื่องกลับไม่ยอมเล่าให้นางฟัง
หวังซียิ่งโมโหมากขึ้น กล่าวว่า “ไม่ได้! ข้าไม่รับจดบัญชีไม่เชื่อสินค้าให้ใคร! รีบพูดมา! ถือโอกาสตอนที่ข้ายังมีความอดทนอยู่”
ยังมีความอดทนหลอกล่อเจ้าอยู่
นางรู้สึกว่าประโยคสุดท้ายไม่ค่อยเหมาะสมกับเวลานัก ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลืนมันลงไปได้
เฉินลั่วยังคงหยอกเย้าเล่นกับนางต่อว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องของข้าในครั้งนี้ไม่สลักสำคัญขนาดนั้น ข้าเก็บไว้ใช้ในยามคับขันไม่ได้หรือ”
หวังซีคิดว่าเช่นนี้ก็ได้
นางครุ่นคิด กลับห้องไปหยิบดอกไม้ที่ไป๋จื่อทำมายื่นส่งให้เฉินลั่วดอกหนึ่ง กล่าวว่า “ให้เจ้าจดไว้หนึ่งครั้ง คราวหน้าหากเจ้ามีเรื่องสำคัญอะไรอยากพูด ก็เอาดอกไม้ดอกนี้มาด้วย ข้าจะช่วยเจ้าครั้งหนึ่ง”
ดอกไม้ดอกนั้นทำจากผ้าโปร่งบาง ใช้ลวดสีขาวยึดเอาไว้ กลีบดอกสีแดง เกสรดอกไม้สีเหลือง ความจริงแล้วควรมีใบสีเขียวด้วยทว่ากลับว่างเปล่า น่าจะเป็นเพราะยังทำไม่เสร็จดี
สายตาของเฉินลั่วกลับจับจ้องอยู่ที่ลวดสีขาวนั่น กล่าวว่า “ลวดของเจ้าอันนี้เป็นสีขาวหรือ”
หวังซีกล่าวอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อยว่า “นี่เป็นกรรมวิธีจำเพาะของร้านพวกข้า ได้ยินว่าหลังจากหมักในน้ำปรุงแล้วค่อยเอาไปหลอมในเตาหลอม ก็จะได้ลวดสีขาวเช่นนี้ออกมา เป็นสูตรจำเพราะที่พวกข้าได้มาจากการรับร้านเย็บปักร้านหนึ่งมา ต่อมาหลงจู๊ผู้ใต้บังคับบัญชาของพี่ชายใหญ่ข้านำวิธีดังกล่าวไปใช้กับเส้นลวด ทำให้ได้เส้นลวดที่อ่อนและดัดงอได้ทว่าทนทาน ใช้มัดสิ่งของได้ดีเยี่ยม เพียงแต่ว่าราคาแพงเกินไป บางครั้งข้านำมาใช้ทำดอกไม้”
กล่าวจบ ยังให้คนไปหยิบลวดม้วนหนึ่งออกมา “เจ้าดู หน้าตาเป็นเช่นนี้”
อ่อนกว่าจริงๆ ด้วย ใช้มือบิดก็ทำเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ แล้วก็ทนทานอย่างที่ว่ามาด้วยเช่นกัน ทำอย่างไรก็ไม่ขาด ต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดหมุนจุดใดจุดหนึ่งวนไปวนมาหรือไม่ก็ใช้กรรไกรเหล็กตัดถึงจะตัดขาดได้
เฉินลั่วชอบดาบชอบกระบี่มาตั้งแต่เด็ก จึงสนใจวิธีหลอมดาบหลอมกระบี่เป็นอย่างมาก แล้วก็รู้จักเหมืองเหล็ก แร่เหล็กและเครื่องใช้สอยทำจากเหล็กที่ผลิตออกมาจากที่ต่างๆ ค่อนข้างดีด้วย
อย่างน้อยราชวงศ์ก็ไม่มีกรรมวิธีเช่นนี้ เรียกว่าเป็นสูตรจำเพาะได้จริงๆ
เขาขยับไปขยับมาอย่างสนใจอยู่ครู่ใหญ่ จนลืมคุยกับหวังซีไปชั่วขณะ
หวังซีมองแล้วดวงตากลอกไปมาอย่างใช้ความคิด กล่าวออกมาอย่างปุบปับว่า “วันนี้เจ้าเข้าวัง ฮ่องเต้หลอกลวงเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ด้วยไม่มีสัญญาณเตือน อีกทั้งเฉินลั่วไม่ได้ระแวดระวังตัว จึงลืมตัวไปชั่วขณะ ถามออกมาอย่างสงสัย
เพียงแต่ว่าหลังจากที่ประโยคนี้ออกจากปากไป เขาก็รู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางไปแล้วเรียบร้อย
หวังซีสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นี้ เขารู้แล้วว่าเขาไม่อาจวางความระแวดระวังลงได้แม้แต่นิดเดียว
เขาถลึงตามองหวังซี
แต่น่าเสียดาย หวังซีเหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง ที่กระเถิบเข้ามาใกล้ทีละนิดๆ ออดอ้อนครั้งแล้วครั้งเล่า ค่อยๆ หยั่งเชิงขีดกำจัดต่ำสุดของเขาได้นานแล้ว นอกจากไม่กลัวเขาแล้ว ยังกล่าวยิ้มๆ อย่างภาคภูมิใจด้วยว่า “ข้าเป็นใคร ถ้าหากแค่นี้ตายังไม่มีแววล่ะก็ ยังจะเรียกว่าเป็นบุตรหลานของตระกูลหวัง คหบดีผู้มั่งคั่งของสู่จงได้อย่างไร”
นางร้อง “ฮึ่ม” อย่างภูมิใจเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าไม่เพียงรู้ว่าฮ่องเต้ต้องเอาคำพูดมาหลอกเจ้าเท่านั้น ยังรู้ว่าเจ้าจะต้องไปพบจ่างกงจู่มาแล้วเป็นแน่ เจ้าเล่าเรื่องพวกนี้ให้จ่างกงจู่ฟัง โดยมากจ่างกงจู่น่าจะคิดว่าเจ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ จึงให้เจ้าอดทนสักหน่อย” ขณะที่นางกล่าวนั้น ยังถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง กล่าวเลียนแบบเสียงพูดของนักแสดงมีชื่อเหล่านั้น “ช่างน่าเห็นใจใต้เท้าเฉินของพวกเรา หัวใจที่ภักดีถูกทรยศหักหลัง แม้แต่คนให้พูดคุยหรือครวญคร่ำด้วยสักคนก็ไม่มี จำต้องมานั่งอย่างน่าสงสารอยู่บนต้นไม้ที่บ้านของข้า มาขอข้าวที่บ้านข้ากิน!”
เฉินลั่วหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ตะโกนใส่นางเสียงหนึ่งว่า “นี่” แล้วกล่าวต่อว่า “เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก จะพูดอะไรก็พูด จะแดกดันประชดประชันไปทำไม”
หวังซีชำเลืองมองเขา กล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นลูกรักของสวรรค์จริงๆ ถูกคนประจบประแจงมาตั้งแต่เด็ก ถ้าอย่างข้าเรียกว่าแดกดันประชดประชัน เช่นนั้นเจ้าคงไม่เคยได้ยินคำพูดประชดประชันจริงๆ มาก่อน เจ้าน่ะ ตั้งใจเป็นคนรวยมีความสุขของเจ้าไปเถอะ อย่าได้คิดจะไปสถานที่อย่างเหลียวตงหรือไม่อวิ๋นกุ้ยจำพวกนั้นเป็นอันขาด ที่นั่นยากลำบากนัก ลำบากกว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้ร้อยเท่าพันเท่า อยู่เฉยๆ ก็อย่าได้คิดไปลิ้มลองเชียว”
กล่าวจบ นางถึงได้สังเกตว่าเฉินลั่วมองนางอย่างตกตะลึง แววตาลุ่มลึกดุจบ่อน้ำลึกทว่าก็มีแสงสว่างจางๆ อยู่ด้วย ทำให้นางอดตัวสั่นไม่ได้ หลุดเสียงถามไปว่า “เจ้า เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
“ข้าไม่เป็นไร!” เฉินลั่วกล่าว หัวใจราวกับถูกคลื่นนับพันชั้นถาโถมเข้าใส่ กล่าวขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “ข้ามาหาเจ้าเพราะมีเรื่องนิดหน่อยจริงๆ”
เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังในหวังซีฟัง
หวังซีตกใจจนกระโดดตัวลอยขึ้นมา ลืมแม้กระทั่งเรื่องการระแวดระวังตัวระหว่างชายหญิง ดึงแขนเสื้อเขาด้วยสีหน้าซีดเล็กน้อย ลดเสียงลงต่ำกล่าวว่า “เจ้า เจ้าสงสัยว่าฮ่องเต้ต้องการเล่นงานเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าต่อต้านเขาเช่นนี้ แต่เขากลับไม่จัดการเจ้า นี่ผิดปกติแล้ว!”
เฉินลั่วมองดวงหน้าซีดของนาง นอกจากความกังวลและความโกรธแค้นเหล่านั้นจะมลายหายไปอย่างอธิบายไม่ได้แล้ว หัวใจของเขายังบังเกิดความขบขันขึ้นมาหลายส่วนด้วย
เขายังไม่กลัวเลย นางกลับกลัวจนกลายสภาพเป็นเช่นนี้ไปแล้ว
เฉินลั่วรู้สึกซาบซึ้งใจ
สาเหตุที่เขาไม่ไปที่อื่น แต่กลับวิ่งมาหาหวังซีที่นี่หลังจากที่ถูกฮ่องเต้ทำร้ายความรู้สึกมา เป็นเพราะส่วนลึกในใจของเขา นอกจากรู้สึกว่าหวังซีเชื่อใจได้แล้ว ยังเป็นเพราะหวังซีอาจเป็นคนเดียวที่เข้าใจความเป็นเขาใช่หรือไม่?
นัยน์ตาของเฉินลั่วมีความสับสนสายหนึ่งวาบผ่าน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า คำพูดและท่าทางของหวังซีทำให้เขารู้สึกราวกับได้ดื่มน้ำร้อนถ้วยหนึ่งในเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บ หัวใจและร่างกายล้วนอบอุ่นขึ้นมา อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบและสงบลงมา
เขาถึงขั้นบังเกิดความรู้สึกเหมือนได้รู้จักคนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขามาก่อน ฉับพลันนั้นให้ความสนิทสนมกับหวังซีเพิ่มมากขึ้น
เฉินลั่วเล่าเรื่องหม่าซานให้หวังซีฟัง
หวังซีตกใจมาก กล่าวว่า “ฮ่องเต้ต้องการทำอะไร ต้องการสังหารเจ้าหรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าเข้าใจผิด? ที่หม่าซานกลับมาอาจมีเรื่องอื่น? ยกตัวอย่างเช่นถางทางเอาไว้ให้องค์ชายเจ็ด…”
เฉินลั่วไม่ได้กล่าวสิ่งใด
หวังซีหยุดพูดไปเองโดยสัญชาตญาณ มองไปที่เฉินลั่ว
ในแววตาของเฉินลั่วยังมีความตกใจหลงเหลืออยู่
หวังซีลูบศีรษะ
นางพูดอะไรไปถึงทำให้เฉินลั่วตกใจขนาดนี้
เพราะพูดว่าฮ่องเต้ต้องการสังหารเขา? หรือเพราะสงสัยว่าเขาอาจเข้าใจผิด?
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่หม่าซานเดินทางกลับเมืองหลวง ต้องเป็นเพราะฮ่องเต้มีวัตถุประสงค์บางอย่างแน่ แล้วก็เป็นเรื่องใหญ่ด้วย
ต้องรู้ว่า การศึกที่หมิ่นหนานยังไม่สิ้นสุดอย่างสมบูรณ์
หรืออาจจะเป็นเพราะว่านางพูดตรงเกินไป?
ระหว่างที่หวังซีกำลังคาดเดาอยู่นั้น ก็เห็นเฉินลั่วหันมายิ้มให้นางอย่างเจ็บปวด ยังกล่าวอย่างไร้หนทางเลือกว่า “ข้ายังไม่เคยเจอใครที่พูดได้เยี่ยมยอดมากกว่าเจ้ามาก่อน! เจ้านี่น้า…”
แต่นางเป็นอย่างไรนั้น เขากลับไม่พูดออกมา
ในใจของหวังซีคล้ายกำลังถูกแมวข่วนอยู่ก็ไม่ปาน ต้องการบีบบังคับให้เขาพูดออกมาให้กระจ่าง
ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับไม่สนใจนางด้วยเรื่องพวกนี้ แต่ถามนางอย่างจริงจังว่า “เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าฮ่องเต้จะทำร้ายข้า”
เวลานี้หวังซีคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองพูดเกินจริงไปเล็กน้อยจริงๆ เนื่องจากผู้อื่นเป็นลุงหลานกัน นอกจากนี้เมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างลุงหลานยังดีมากด้วย
ถ้าหากมีคนมาพูดเช่นนี้เกี่ยวกับนางกับลุงของนาง อืม แต่ลุงของนางคือหย่งเฉิงโหว นางอาจไม่ได้รู้สึกอะไรก็ได้ ทว่าสำหรับเฉินลั่ว บางทีอาจรู้สึกไม่ค่อยพอใจนักกระมัง
หวังซีรู้สึกว่าเฉินลั่วเจ็บปวดมาพอแล้ว อย่าหลอกลวงเขาอีกเลยดีกว่า จึงกล่าวไปตามจริงว่า “ข้าก็แค่รู้สึกเช่นนี้ตามสัญชาตญาณเท่านั้น ข้าคิดว่าไม่ควรมีจิตใจคิดทำร้ายผู้อื่น ขณะเดียวกันไม่อาจขาดความระแวดระวังตัวจากผู้อื่นด้วย ถ้าคนผู้นี้ทำให้ข้ารู้สึกต้องระมัดระวังตัว เช่นนั้นข้าก็ยอมสงสัยเขาในแง่ร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ จะได้ไม่โดนเขาขุดหลุมฝังแล้วผู้อื่นยังคิดว่าเจ้าเป็นคนโง่งมอีก”
เฉินลั่วเบิกดวงตากว้าง ครู่ใหญ่ก็ยังกล่าวอะไรออกมา
หวังซีมองแล้วรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย
หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าเฉินลั่วทนรับการถูกกระทบกระทั่งไม่ได้ขนาดนี้ นางจะได้ไม่พูดตรงเกินไป
เฮ้อ! มนุษย์ล้วนชอบฟังความเท็จมากกว่าความจริง
หวังซีเอียงศีรษะมองเงียบๆ กลับได้ยินเสียงแหบแห้งของเฉินลั่วดังเข้ามาจากข้างหูว่า “ภายใต้ผืนฟ้านี้ เกรงว่าคงมีแต่เจ้าที่คิดเหมือนข้าแล้ว”
“หา!” ดวงตาเมล็ดซิ่งของหวังซีเบิกกว้าง
เฉินลั่วจึงหันไปยิ้มให้นาง เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั่นไปไม่ถึงดวงตา มองแล้วไม่ได้ทำให้คนรู้สึกยินดีแต่รู้สึกปวดแปลบใจมากกว่า
“ข้ารู้ว่าหากข้าพูดเช่นนี้ทุกคนต้องคิดว่าข้าเป็นบ้าไปแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจลึกๆ ข้ามีลางสังหรณ์เช่นนี้อยู่ตลอด ก็แค่รู้สึกเช่นนี้เท่านั้น” น้ำเสียงของเขาฟังดูหดหู่ กระด้าง และฟังดูทึ่มทื่อเล็กน้อยด้วย “ตอนแรกข้าก็แค่อยากลองหยั่งเชิงฮ่องเต้ดูเท่านั้น อยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับข้า แต่ยิ่งพูด ในใจของข้าก็ยิ่งไม่สงบ ตอนนั้นคล้ายดวงตาถูกบดบัง เริ่มพูดจาเกินขอบเขต หลังจากนั้นเจ้าเองก็รู้เรื่องหมดแล้ว ฮ่องเต้ไม่จัดการทำอะไรข้า ต่อให้ข้าสัมผัสได้ว่าเขาพิโรธจนเกินจะทานทนได้แล้ว แต่ก็เขาไม่ลงโทษข้า…
…เดิมทีข้าคิดว่า ก็ยอมให้ฮ่องเต้เนรเทศข้าไปอยู่เหลียวตงหรือไม่ก็อวิ๋นกุ้ยเสีย รอไท่จื่อขึ้นสืบทอดตำแหน่ง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ตราบใดที่ยังมีมารดาอยู่ ช้าเร็วข้าก็ได้กลับเมืองหลวงสักวัน หลีกเลี่ยงเรื่องหมางใจกับจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ทำผิดต่อลูกพี่ลูกน้องของข้าเหล่านั้น”
ขณะที่กล่าว เขาก็มองหวังซีอีกครั้งหนึ่ง
หวังซีร้อง “อืม” เสียงหนึ่งอย่างไร้ชีวิตชีวา ครุ่นคิดว่าหรือที่เฉินลั่วใช้สายตาเช่นนั้นมองนาง ความจริงแล้วเป็นเพราะสาเหตุนี้
เฉินลั่วกล่าว “ตอนนี้สิ่งที่ข้าเป็นกังวลมากกว่าคือจะระวังตัวอย่างไร เขาเป็นฮ่องเต้ วิธีการที่เขาใช้ได้มีมากมาย นอกจากนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยากใช้ประโยชน์จากข้าเพื่อนำไปสู่เป้าหมายอะไร สมองของข้าสับสนวุ่นวายไปหมด แต่ค้นพบว่าตัวเองไม่มีคนให้พูดคุยด้วยได้แม้แต่คนเดียว”
จึงเดินมาถึงเรือนของนางโดยไม่รู้ตัว
เฉินลั่วมองหวังซี ดวงตากรุ่นไปด้วยความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว หวังซีกลับถูกดึงดูดด้วยเนื้อหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดของเขา จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นมัน ทั้งสองคนจึงมองข้ามความรู้สึกของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวไปด้วยประการฉะนี้
“เดี๋ยวก่อน!” หวังซีร้องขึ้นเบาๆ ด้วยความตกใจกล่าวตัดบทคำพูดของเฉินลั่วว่า “เจ้าหมายความว่า ฮ่องเต้ไม่สนใจคำพูดของเจ้า นอกจากไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เจ้าเกี่ยวกับตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อแล้ว ยังพยายามทำทุกวิถีทางให้เจ้ารั้งอยู่ที่จิงเฉิงด้วย?”
เฉินลั่วฟังแล้วหยุดหัวเราะ กล่าวว่า “พยายามทำทุกวิถีทางที่ไหนกัน? ก็แค่ไม่ตอบคำถามของข้าเท่านั้น”
เขาไม่มีทางคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญในใจของฮ่องเต้อีกแล้ว
หวังซีคร้านจะถกเถียงเรื่องเล็กน้อยพวกนี้กับเขา จึงพยักหน้าให้อย่างส่งๆ กล่าวว่า “อย่างไรก็ตามหมายความว่าฮ่องเต้ต้องการรั้งเจ้าไว้ในเมืองหลวง ข้าพูดถูกต้องหรือไม่”
เฉินลั่วพยักหน้า
หวังซีเห็นเช่นนั้นแล้วลุกขึ้นมา เดินวนรอบๆ เฉินลั่วไปด้วย พึมพำกล่าวไปด้วยว่า “มีแต่จับโจรหนึ่งพันวัน ไม่มีเฝ้าระวังโจรหนึ่งพันวัน และเนื่องจากอย่างไรพวกเราก็เฝ้าระวังไม่ไหวอยู่แล้ว เช่นนั้นไม่สู้พุ่งชนให้ล้มไปเลยดีกว่า หากบอกว่า วัตถุประสงค์ของฮ่องเต้คือต้องการให้องค์ชายใหญ่สืบทอดตำแหน่ง เช่นนั้นการรั้งตัวเจ้าไว้ที่จิงเฉิงมีประโยชน์อะไร แต่ถ้าฮ่องเต้ไม่ได้หมายความตามนี้ แล้วการรั้งตัวเจ้าไว้ที่จิงเฉิงมีประโยชน์อะไร”
………………………………………………………….
ตอนต่อไป