การสนทนากันในห้องทรงพระอักษรวันนั้น สุดท้ายก็เสร็จสิ้นลงไปอย่างรีบร้อนเนื่องด้วยปัญหาพระพลานามัยของฮ่องเต้
ตอนที่เฉินลั่วออกมาจากวังหลวงนั้น ก็ประมาณยามโหย่ว เลยเวลาเลิกงานมาได้ครู่ใหญ่แล้ว
เขาให้เกี้ยวจอดที่ประตูซีจื๋อ มองฝูงชนคึกคักจอแจ ประชาชนที่เดินไปเดินมากลับเงยหน้าขึ้นมามองเขาบ่อยครั้ง มีความรู้สึกหลายหลากปะปนกันไปหมด ชั่วขณะนั้นถึงกับไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดี กระทั่งมีสตรีผู้หนึ่งจูงเด็กพร้อมกับถือห่อยาเดินผ่านหน้าเขาไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ค้นพบว่าเบื้องหน้าที่อยู่ไม่ไกลออกไปนั้นคือร้านขายยาเพื่อมวลชน หัวใจของเขากระตุก กล่าวกับเฉินอวี้ที่ตามมาด้วยว่า “พวกเรากลับจวนจ่างกงจู่กัน!”
เฉินอวี้รับคำเสียงหนึ่งอย่างสับสนงงงวย
เมื่อครู่ใต้เท้าของพวกเขายังบอกอยู่เลยว่ามีธุระต้องการไปหาพ่อของเขาที่ซอยลิ่วเถียว เหตุใดเพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนใจแล้ว?
เขาพึมพำอยู่ในใจก็จริง ทว่าก็ไม่อาจไปโน้มน้าวให้เฉินลั่วเปลี่ยนใจได้ รีบรับคำแล้วสั่งคนหามเกี้ยวยกเกี้ยวขึ้น
ไม่นานพวกเขาก็กลับมาถึงจวนจ่างกงจู่
เป่าชิ่งจ่างกงจู่ยังอยู่ในวัง ผู้ดูแลจวนรับผิดหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ จัดการเรื่องต่างๆ ในจวนได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เขาเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วถือธนูไปยังใต้ต้นหลิวที่เรือนพุ่มของมันยื่นข้ามฝั่งมาถึงจวนจ่างกงจู่ต้นนั้น กระโดดขึ้นไปแล้วนั่งอยู่บนง่ามของต้นไม้
เวลานี้เป็นเวลาก่อนมื้อค่ำพอดี สวนร่มหลิวเงียบเชียบไร้ซึ่งสรรพเสียงใด เฉินลั่วมองสวนดอกไม้ที่กำลังชูช่อดอกไม้งดงามหลากหลายสีในลานบ้านแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมา
ความชอบเหมือนนิสัยของเจ้าของจริงๆ หวังซีเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา อาภรณ์หรือการแต่งกายต่างมีสีสันสวยงาม บุปผาและพรรณพืชของสวนดอกไม้แห่งนี้ รวมถึงเครื่องเรือนในบ้านก็ตกแต่งอย่างมีสีสันสดใสเช่นกัน ทำให้คนมองแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวาตามขึ้นไปด้วย
เขามองก้อนเมฆสีชมพูที่ค่อยๆ แผ่ขยายเต็มท้องฟ้าฝั่งตะวันตก แล้วก็มองมันค่อยๆ จางหายไปอย่างเงียบเชียบ พวกสาวใช้เด็กของหวังซีถือถาดอาหาร ผลัดกันรับใช้อยู่ในเรือนของนางอย่างเป็นระเบียบ คอยปรนนิบัตินางรับประทานมื้อเย็น แมวที่นางเลี้ยงไว้ตัวนั้นกลับกระโดดเข้ากระโดดออกอยู่ตรงพงหญ้า ไม่รู้ว่ากำลังเล่นอะไรอยู่ สาวใช้เด็กถือชามขนาดเล็กเดินตามมันพลางร้องเรียก เมี้ยวเมี้ยว อยู่ตรงนั้น แต่มันก็ไม่สนใจ เป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายหวังซีที่เหมือนจะมีนามว่า ‘กั่ว’ อะไรสักอย่างผู้นั้น ยืนเท้าเอวอยู่บนบันไดพูดอะไรสักอย่าง แมวตัวนั้นคล้ายฟังรู้เรื่องก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่ากระโดดออกมาจากที่ใด พาดตัวอยู่บนกระโปรงของสาวใช้ส่งเสียงร้อง เมี้ยวเมี้ยวเมี้ยว อย่างออดอ้อน
คล้ายคลึงกับหวังซีเล็กน้อย
ออดอ้อนเก่ง ซุกซนเป็นที่สุด แล้วก็ฉลาดมีไหวพริบมากอีกด้วย รู้จักมองสีหน้าของผู้คน หากเห็นว่าเจ้าไม่ได้โกรธจริง ก็ได้คืบจะเอาศอก ต้องทำให้ตัวเองพอใจและมีความสุขก่อน แต่ถ้าเจ้าโมโหจริงๆ แล้ว นางก็จะพูดคุยกับเจ้าอย่างเอาอกเอาใจ ยิ้มหวานหยดให้เจ้า…
เฉินลั่วไม่รู้ว่ามุมปากยกยิ้มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด มองเซียงเย่ที่กำลังนั่งกินอาหารอย่างเชื่อฟังอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ตรงบันไดแล้วอารมณ์สงบลงมาโดยไม่รู้ตัว
“เซียงเย่ เซียงเย่!” หวังซีรับประทานมื้อเย็นเสร็จแล้วตั้งใจจะไปหากระดาษในห้องหนังสือมาคัดอักษรสักหน่อย ปรากฏว่ากล่องเก็บกระดาษบนชั้นวางของมีรอยเท้าสีน้ำหมึกของแมวประทับอยู่หนึ่งแถว นางวิ่งไล่ออกมาจากห้องหนังสือ ค้อมตัวจิ้มหัวเซียงเย่ “เหตุใดเจ้าถึงซุกซนขนาดนี้ ข้าจะส่งเจ้ากลับสู่จง ให้มารดาของเจ้าอบรมสั่งสอนเจ้าให้หนัก”
เซียงเย่กำลังกินอาหารอยู่ ได้ยินแล้วเงยหน้าขึ้นหันไปส่งเสียงร้องใส่หวังซีอย่างไม่ชอบใจสองเสียง แล้วก็ก้มหน้าลงไปกินอาหารต่อ
หวังซีหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ กล่าวว่า “เหตุใดวันนี้ถึงเชื่อฟังขนาดนี้ รู้จักตั้งใจกินข้าวดีๆ ด้วย นอกจากที่ห้องหนังสือแล้ว คงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรอีกกระมัง” ขณะที่กล่าว นางก็อุ้มเซียงเย่ขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างคาดโทษ กล่าวต่อว่า “เจ้าวายร้ายผู้นี้ สักวันต้องถูกสุนัขคาบไปแน่”
มีเสียงหัวเราะ คิก เบาๆ ดังขึ้น
หวังซีตกใจ มองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน
ทันใดนั้นมีเสียงของเฉินลั่วดังขึ้นมาจากบนต้นไม้ “เจ้าพูดกับมันเช่นนี้ มันฟังรู้เรื่องหรือ”
หวังซีเงยหน้าขึ้น เห็นเฉินลั่วนั่งอยู่บนเรือนพุ่มของต้นหลิว หากเขาไม่ส่งเสียง พวกนางคงไม่รู้จริงๆ ว่ามีคนเข้ามาในลานบ้าน
นี่ออกจะอันตรายเกินไปแล้ว
หวังซีกำลังคิดว่าควรจะต่อเติมกำแพงให้สูงขึ้นอีกสักหน่อยดีหรือไม่ จึงกล่าวด้วยอาการใจลอยเล็กน้อยว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ข้าบอกเอาไว้แล้วมิใช่หรือว่า หากข้าต้องการตามหาเจ้า จะเอาระฆังไปแขวนไว้บนต้นหลิว? เจ้าเองก็แขวนระฆังเอาไว้ได้เช่นกัน เมื่อข้าเห็นแล้วจะไปพบเจ้าเอง”
เฉินลั่วเห็นบริเวณโดยรอบไม่มีใคร จึงกระโดดลงมาจากต้นไม้ กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นมีชามกระเบื้องเคลือบสีแดงสดใสชามหนึ่ง น้ำแกงที่อยู่ข้างในมีของสีขาวๆ เขียวๆ ลอยอยู่ด้านบน มันคืออาหารอะไรหรือ ข้ายังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย เจ้าให้แม่ครัวของเจ้าทำกับอาหารแบบเดียวกันนั้นมาให้ข้าสักจานหนึ่งได้หรือไม่!”
ท่าทางมั่นใจในความถูกต้องของตัวเองนั่น ทำราวกับหวังซีเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินของเขาก็ไม่ปาน
หวังซีโมโห แต่เมื่อนึกได้ว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่เขาเข้าวังหลวง จึงมองเขาอีกครั้ง พบว่าบนใบหน้าไม่มีแววยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว ยังมีเวลามานั่งอยู่ในเรือนของนางอีก เดาว่าคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร จึงปล่อยเขาไปครั้งหนึ่ง ไม่คิดบัญชีกับเขามากมายอีก เพียงหันไปสั่งการไป๋กั่วว่า “ไปบอกในครัวสักคำว่าใต้เท้าเฉินไม่กินของรสจัด ให้ทำเครื่องเคียงมาให้สักสองสามอย่าง”
คนสู่จงอย่างพวกนางชอบกินรสเผ็ด ทั้งเรื่องเครื่องเคียงและเรื่องไม่กินของรสจัด โดยมากเป็นการบอกว่าอาหารของจิงเฉิงต้องเติมรสเผ็ดเพิ่มสักหน่อยนั่นเอง
ไป๋กั่วรับคำอย่างยิ้มแย้ม ไม่นานก็ยกถาดอาหารเข้ามา ถามว่าจะให้ตั้งสำรับตรงไหน
หวังซีถามเฉินลั่ว “เจ้าต้องการดื่มสุราสักหน่อยหรือไม่”
เฉินลั่วส่ายศีรษะ มองถาดอาหารในมือของไป๋กั่วอย่างสงสัย กล่าวว่า “เร็วขนาดนี้ คงมิใช่ของที่เจ้ากินเหลือหรอกกระมัง”
เป็นของเหลือของหวังซีจริงๆ ทว่าไม่ใช่ของที่นางเคยกินแล้ว เนื่องจากวันนี้นางไปดูเครื่องเรือนที่สั่งทำให้ฉังเคอเป็นเพื่อนนายหญิงสาม อากาศร้อนมาก ตอนเย็นยังไม่ทันได้พักหายใจดีๆ ก็สั่งอาหารรสเผ็ดเปรี้ยวมาอีกสองสามอย่างแทน ก็เลยไม่ได้กินอาหารที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้
ไป๋กั่วลำบากใจเล็กน้อย
หวังซีกลับรู้สึกว่าไม่ควรตามใจเฉินลั่ว กล่าวว่า “เจ้าจะกินไม่กิน? หากเจ้าไม่กินข้าจะได้มอบให้พวกไป๋กั่วแทน”
“กิน!” เฉินลั่วตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ตอนที่เขาซ่อนตัวอยู่บนต้นหลิวมองอาหารบนโต๊ะของนางจากที่ไกลๆ นั้นท้องก็ร้องจ๊อกแล้ว เวลานี้ภายในห้องโถงยังมีกลิ่นอาหารที่หวังซีกินเป็นมื้อเย็นหลงเหลืออยู่ ทำให้คนที่ตอนเช้ากินข้าวต้มไปเพียงครึ่งชามอย่างเฉินลั่วได้กลิ่นแล้วน้ำลายพานจะไหลออกมาให้ได้
หวังซีไม่พูดอะไรอีก ชี้ไปที่โต๊ะหินใต้ซุ้มองุ่นในลานบ้าน กล่าวกับไป๋กั่วว่า “ไปตั้งตรงนั้นก็แล้วกัน!” ยังสั่งการนางด้วยว่า “หลายวันก่อนนายหญิงสามเอาข้าวหมากมาให้มิใช่หรือ เจ้าให้ในครัวทำบัวลอยข้าวหมากดอกหอมหมื่นลี้มาสักถ้วยหนึ่ง”
ไป๋กั่วรับคำยิ้มๆ มีสาวใช้เด็กไปแจ้งในครัว ส่วนนางช่วยตั้งสำรับ
เฉินลั่วเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในชามกระเบื้องเคลือบสีแดงของหวังซีคือแกงจืดเต้าหู้ลูกชิ้นปลาผักฮ่องเต้ใส่กุ้งแห้ง ไป๋กั่วเพิ่มปลาทะเลทอดหอม เนื้อลาผัด ลูกชิ้นเนื้อหมูทอดผัดในน้ำปรุงรสมาให้เขาด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงสองอย่าง คือแตงกวาดองกับผักก๋านหล่าน[1]ดอง กับข้าวสวยผสมธัญพืชอีกหนึ่งถ้วย
เขากินน้ำแกงไปคำหนึ่ง จากนั้นก็กินข้าวติดๆ กันถึงสองถ้วยถึงได้หยุดกิน
ประจวบเหมาะกับที่สาวใช้ยกบัวลอยข้าวหมากดอกหอมหมื่นลี้เข้ามาพอดี เขาก็กินอีกหนึ่งถ้วยจนเกลี้ยง บ้วนปากล้างมือเสร็จแล้วถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเริ่มเก็บดอกหอมหมื่นลี้ตั้งแต่ตอนนี้แล้วหรือ ข้าดูต้นหอมหมื่นลี้ในลานบ้านของเจ้าแล้วยังไม่เห็นมีดอกเลยแม้แต่ช่อเดียว”
หวังซีกลอกตามองบนใส่เขาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ย่อมเป็นหลงจู๊ใหญ่ส่งมาให้! ดอกหอมหมื่นลี้ของเจียงหนานบานเร็วกว่า แล้วก็หอมกว่าด้วย ได้ยินว่าพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่เพาะปลูกของทางนั้นมีไม่มาก จึงมีคนปลูกดอกหอมหมื่นลี้มาขายเป็นการเฉพาะ ทั้งรูปลักษณ์และกลิ่นล้วนดียิ่ง”
เฉินลั่วไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ เพียงพยักหน้าน้อยๆ
ไป๋กั่วยกขนมดอกหอมหมื่นลี้มาให้
ขนมดอกหอมหมื่นลี้ของพวกนางคือขนมของทางก่วงตง ภายในตัวขนมสีใสผสมกับดอกหอมหมื่นลี้สีเหลืองทอง ดูงดงามเป็นอย่างมาก
ไป๋กั่วยังนำชาขาวมาขึ้นโต๊ะให้เฉินลั่วด้วย
เฉินลั่วชิมขนมดอกหอมหมื่นลี้ไปชิ้นหนึ่ง รสสัมผัสนุ่มหยุ่น กลิ่นดอกหอมหมื่นลี้อ่อนๆ ผสมกับรสชาติหวานนิดๆ เป็นรสที่เขาชอบพอดิบพอดี
เขามองหวังซีครั้งหนึ่ง
ตอนที่เขากินข้าวก่อนหน้านี้ หวังซีไปหยอกเย้าเล่นกับแมวโดยตลอด เวลานี้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่และเช็ดมือเรียบร้อยแล้วมานั่งลงข้างกายเขา เห็นเขามองไป ก็ชันศอกขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้มแย้ม กล่าวว่า “ว่ามาเถอะ เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร”
น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจนั่น ทำให้เฉินลั่วรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เล็กน้อย อดกล่าวไม่ได้ว่า “การที่ข้ามาหาเจ้า ต้องเป็นเพราะมีธุระอะไรเท่านั้นหรือ ข้าจะมาขอข้าวเจ้ากินสักมื้อไม่ได้เลยหรืออย่างไร ข้าได้ยินเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าพูดว่า เจ้าเป็นนักกินผู้หนึ่ง อบรมและฝึกสอนแม่ครัวในบ้านได้เป็นอย่างดี วันที่สิบห้าเดือนแปดนี้ นางตั้งใจจะมาขอยืมตัวแม่ครัวของเจ้า!”
หวังซีไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
นางนั่งหลังตรงขึ้นมาอย่างแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “นางคงไม่ได้คิดจะมายืมตัวแม่ครัวของข้าจริงๆ หรอกกระมัง”
เฉินลั่วกล่าว “น่าจะอยากมายืมตัวแม่ครัวของเจ้าจริงๆ เจียงไท่เฟยโปรดปรานขนมหวานมาก นี่ก็ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ทุกคนล้วนต้องส่งของขวัญเทศกาลเข้าไปถวายให้”
“แต่ข้ายังต้องให้คนครัวทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้ให้ข้าอยู่นี่นา!” หวังซีขมวดคิ้วอย่างรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
“ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้? คือขนมไหว้พระจันทร์อะไรหรือ” เฉินลั่วถาม
“ไอโย!” หวังซีกล่าว “หลายวันก่อนร้านเจกุ้ยซุ่น ร้านเจจี๋เสียงและร้านเฉียวจยาต่างส่งขนมไหว้พระจันทร์มาให้ข้า ข้ารู้สึกว่ากินไปกินมาก็มีแต่แบบเดิมๆ จึงคิดว่าอย่างไรเสียความแตกต่างล้วนอยู่ที่ไส้พวกนั้น เช่นนั้นลองทำเหมือนเกี๊ยวดูดีหรือไม่ ใช้ผลไม้ทำเป็นไส้ห่อเข้าไปด้านใน แต่ผลไม้มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากเกินไป พอเอามาผัดรสชาติก็เปลี่ยนแล้ว ข้าทำหลายหม้อแล้วก็ยังไม่สำเร็จ กำลังหารือเรื่องนี้กับคนในครัวอยู่เลย หากให้ฮูหยินผู้เฒ่ายืมตัวคนครัวไป คงต้องพักเรื่องขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้นี้ไปก่อนแล้ว”
เนื่องจากให้ผู้อื่นยืมตัว ย่อมต้องเลือกคนที่ดีที่สุด ส่วนคนชิมอาหารก็ต้องเลือกอาจารย์ที่เก่งที่สุดไปด้วยเช่นกัน
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นส่งไปแค่ขนมไม่ต้องส่งคนไป”
“ดูอีกทีก็แล้วกัน!” หวังซียังกล่าวด้วยอารมณ์หดหู่เล็กน้อยว่า “นางดีกับข้ามาก หากเอ่ยปากเช่นนี้จริงๆ ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญของนาง ส่วนข้า ปีนี้ทำไม่สำเร็จค่อยทำปีหน้าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบทำให้ได้ในตอนนี้”
เฉินลั่วกลับรู้สึกสนใจขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้ของนางมาก กล่าวว่า “หากไม่ได้การจริงๆ ข้าให้เจ้ายืมตัวคนครัวสักสองคนก็ได้”
เขามิใช่คนให้ความสำคัญกับรสชาติอาหารมากนัก จ่างกงจู่มีเรื่องอะไรก็ใช้ครัวหลวงของวังหลวงตลอด แม้นงานเลี้ยงของจวนจ่างกงจู่จะมีชื่อเสียงในจิงเฉิง ทว่าในบ้านกลับไม่ได้เลี้ยงดูพ่อครัวแม่ครัวที่มีชื่อเสียงอะไรเป็นพิเศษเลย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ก็ไม่เสียหายที่จะหาซื้อคนหรือไม่ก็หาตัวพ่อครัวแม่ครัวจากที่อื่นมาให้หวังซีสักสองสามคน”
ยกตัวอย่างเช่นตระกูลจิน คนครัวของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว
นับตั้งแต่วันคล้ายวันเกิดของมารดาเขาเป็นต้นมา เขาก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับตระกูลจินนานแล้ว
ความจริงแล้วตระกูลจินดีกับเขาไม่น้อยเลย
ตอนเป็นเด็กเขาถึงกับเคยฝันว่าตัวเองเป็นบุตรหลานของตระกูลจิน
เฉินลั่วยิ้ม ถามหวังซีว่าต้องการพ่อครัวแม่ครัวเช่นไร
หวังซีกลับสนใจเรื่องที่เขาเข้าวังมากกว่า
เฉินลั่วมองใบหน้าตึงเครียดของหวังซี ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
ตอนมาที่นี่ ดวงหน้าเขาเต็มไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ แต่เวลานี้ เขากลับรู้สึกสงบสบายใจ ความทุกข์ใจและความขุ่นข้องหมองใจที่ได้รับมาจากวังหลวงเหล่านั้น ราวกับมลายหายวับไปกับอาหารและขนมหวานมื้อนี้ไปแล้ว ทำให้เขาไม่รู้สึกอยากคร่ำครวญอะไรแล้ว
……………………………………………………………………
[1] ผักก๋านหล่าน ผักตระกูลเคล
ตอนต่อไป