เฉินลั่วมองแล้ว แสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ ตัดสินใจได้ในทันที
เขาเองก็นั่งลงมาอย่างนอบน้อมแต่ก็ไม่ขาดความสนิทสนมเหมือนที่เคยเป็นมา ยังบอกขันทีที่รอปรนนิบัติอยู่ข้างเขาว่า “ข้าไม่ดื่มชา ข้าต้องการดื่มน้ำ”
บุตรชายของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ไม่ดื่มชา คนในวังต่างทราบกันดี
ขันทีน้อยรับคำอย่างกระตือรือร้น ใช้ถ้วยกระเบื้องลายครามวาดลายดอกไม้ทะเลรินน้ำอุ่นให้เฉินลั่วถ้วยหนึ่ง
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแล้วแย้มสรวลอบอุ่น กำลังจะตรัสบางอย่าง ทว่าเฉินลั่วชิงพูดตัดหน้าเขาก่อนว่า “เสด็จลุง หม่าซานกลับมาแล้ว ที่หมิ่นหนานได้รับชัยชนะแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ข้าไม่ต้องเดินทางไปหมิ่นหนานแล้ว? พระองค์ก็ทรงรู้จักพ่อของข้าผู้นั้นดี กลัวข้าจะแย่งความโดดเด่นของเฉินอิง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเสนอความคิดให้พระองค์ว่าให้ข้าเดินทางไปหมิ่นหนาน นี่มิเท่ากับเอาข้าไปเผาไฟหรอกหรือกระหม่อม โชคดีที่ข้าไม่เลอะเลือน ไม่ได้ตอบรับ และพระองค์เองก็มิได้ฝืนบังคับแล้ว!”
ขณะที่กล่าว ยังรับน้ำร้อนจากมือหม่าซานมาด้วย เติมชาให้ฮ่องเต้ถ้วยหนึ่ง
ให้ความรู้สึกเอาอกเอาใจเล็กน้อย
ฮ่องเต้ทรงพระสรวล
เฉินลั่วจึงกล่าวอย่างเอาใจใส่ว่า “เสด็จลุง ข้าเห็นสีพักตร์ของพระองค์ไม่ค่อยดีนัก คนที่สำนักหมอหลวงยังไม่มีทางออกอีกหรือกระหม่อม ต้องการให้ข้าแจ้งผู้ว่าการสองมณฑลของเหลี่ยงหู เหลี่ยงเจ้อและเหลียงก่วงเป็นการส่วนตัวสักคำหรือไม่ ให้พวกเขาช่วยเฟ้นหาหมอมีชื่อจากประชาชนคนทั่วไปมาผู้หนึ่ง? แม้นกล่าวว่าใต้ผืนฟ้าไม่มีพสุธาใดมิใช่ของโอรสสวรรค์ แต่ก็อาจมีปลาหลุดจากแหไปได้ ลองเอาใจใส่ดูสักหน่อย ย่อมไม่เสียหายกระหม่อม”
ฮ่องเต้แย้มสรวลตรัสต่อว่าเขาว่า “คำพูดอะไรของเจ้ากัน ปกติให้เรียนหนังสือเจ้าไม่เรียน วันๆ รู้จักแค่ยิงธนูขี่ม้า บัดนี้ช่างดี แม้แต่พูดจาก็ไม่ได้เรื่องแล้ว ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไร!”
เฉินลั่วฟังแล้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจนัก กล่าวว่า “ลุงของข้าเป็นฮ่องเต้ ลูกพี่ลูกน้องของข้าก็เป็นฮ่องเต้ นี่ก็ถือเป็นชามข้าวทองคำแล้ว ข้ามีอะไรต้องกังวลด้วยกระหม่อม” กล่าวถึงตรงนี้ เขาพลันขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยถามฮ่องเต้อย่างตรงไปตรงมาที่สุดว่า “เสด็จลุง วันนั้นที่พระองค์ทรงตรัสในงานของเจียงไท่เฟยนั้นจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงต้องการแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตะลึงงันเล็กน้อย
พูดได้ว่าเฉินลั่วเป็นคนที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก พฤติกรรมและนิสัยเป็นอย่างไรนั้นเขารู้จักเป็นอย่างดี เฉินลั่วถวายฎีกาขอเข้าเฝ้า เขาก็คาดเดาได้แล้วว่าเฉินลั่วมาด้วยเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท เนื่องจากเฉินลั่วสนิทสนมกับองค์ชายที่โตแล้วหลายคน แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ เฉินลั่วจะเปิดประตูเจอภูเขา ถามเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
ในความคิดของเขาแล้ว เฉินลั่วน่าจะอ้อมค้อมกว่านี้อีกสักหน่อยถึงจะถูก
เขาลอบไม่พอใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามดูอบอุ่นกว่าเมื่อครู่เสียอีก กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนอะไรกัน การแต่งตั้งรัชทายาทเป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน มิใช่เรื่องที่เจ้าสมควรมาถาม”
เนื่องจากระยะนี้ฮ่องเต้ทรงต้องทนทุกข์กับความเจ็บป่วย คำพูดหรือการกระทำล้วนเจือความเหนื่อยล้าเอาไว้หลายส่วน และด้วยเหตุนี้ตอนที่สุรเสียงของพระองค์เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นนั้น ก็ยิ่งฟังดูให้ความเป็นกันเองเพิ่มมากขึ้นอีกหลายส่วน
จากนั้นพระองค์ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ตรัสว่า “เจ้าต้องการพบข้าด้วยเรื่องอะไร เพราะเรื่องย้ายไปกองบัญชาการทหารส่วนหน้าใช่หรือไม่ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ด้านบิดาของเจ้า ข้าจะพูดให้เจ้าเอง ช่วงนี้สุขภาพของเจียงไท่เฟยไม่ค่อยดีนัก มารดาของเจ้าเฝ้าไข้อยู่ในวัง นางเองก็อายุไม่น้อยแล้ว เจ้าอย่าเอาแต่ห่วงเรื่องวิ่งเล่นอยู่ข้างนอก มีเวลาก็ต้องเอาใจใส่นางให้มาก ดูแลนางให้มากอีกสักหน่อย หากที่จวนเจ้าไม่มีเรื่องอันใด เจ้าก็ค้างในวังสักสองสามวัน ไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาเจ้าที่ตำหนักฉือหนิง นางจะได้ไม่ต้องเอาแต่เป็นห่วงเจ้า ร้อนใจแทนเจ้า”
เฉินลั่วได้ยินแล้วมือเท้าเย็นเยียบ
ฮ่องเต้นั้น นอกจากจะเป็นลุงของเขาแล้ว ยังเป็นประมุขของประเทศ หากฮ่องเต้ดุด่าเขาหรือลงโทษเขาเพราะการกระทำเกินขอบเขตของเขา ดีร้ายก็ยังมีความเป็นลุงหลาน เผยความรู้สึกแท้จริงออกมาบ้าง แต่ตอนนี้ ฮ่องเต้กลับปลอบโยนเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน เอาวิธีการของจักรพรรดิมาใช้กับเขา ไม่มีความรักให้เขาเลยแม้แต่นิดเดียว
สำหรับฮ่องเต้แล้ว เขานับเป็นตัวอะไรกันแน่
เฉินลั่วเงยหน้า เห็นพระพักตร์เปื้อนยิ้มอบอุ่น ทว่าดวงเนตรเย็นชาของฮ่องเต้
ณ เวลานั้น เขาถึงกับถามตัวเองว่า คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงดูแปลกหน้า ดูไร้ความรู้สึกได้ถึงเพียงนี้!
และตอนนี้เองที่ตัวเขาเหมือนมีเสียงกู่ร้องอยู่ในหัว ตื่นเต็มตาขึ้นมา
หวังซีพูดถูก เป็นจักรพรรดิกับขุนนางใต้บังคับบัญชาก่อน จากนั้นถึงเป็นลุงกับหลาน
เป็นเขาที่ไม่เคยทำให้มันชัดเจน ดังนั้นถึงได้หลงอยู่ในภาพมายา ถึงได้คาดหวัง ถึงได้เดินมาถึงจุดนี้ได้
มนุษย์ไม่อาจล้มแล้วรู้จักแต่ร่ำไห้ โดยไม่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปีนขึ้นมา
คนเช่นนั้น มีแต่จะยิ่งติดอยู่ในปลักลึกมากขึ้น จนกระทั่งไม่เห็นศีรษะ
เขากำหมัดแน่น เล็บที่ปลายนิ้วจิกเข้ากลางฝ่ามือ มีความรู้สึกเจ็บแปลบไหลผ่าน ทว่าทำให้หัวสมองของเข้ายิ่งแจ่มชัดมากขึ้น
เฉินลั่วโจนตัวลุกขึ้นยืน ตะโกนใส่ฮ่องเต้ “เสด็จลุง อะไรที่เรียกว่ากำลังพูดเลื่อนเปื้อนหรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนขุนนางใหญ่เซี่ยเป็นโฆษกราชสำนักนั้น ยังเคยตำหนิว่าขุนนางไม่สนใจเรื่องของฮ่องเต้อยู่เลย พระองค์ต้องการแต่งตั้งผู้ใดเป็นไท่จื่อ นอกจากส่งผลต่อบ้านเมืองแล้ว ยังส่งผลต่อพระญาติด้วย ข้าจะไม่ถามได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ…
…อีกอย่าง ใช่ว่าพระองค์ไม่ทราบว่าพ่อของข้าผู้นั้นลำเอียงขนาดไหน มักจะคิดว่าพี่ชายใหญ่ของข้าไร้มารดาแท้ๆ จึงเห็นใจสงสารที่เคราะห์ร้าย มีอะไรก็กดทับข้าเอาไว้ นานหลายปีขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ยอมขอแต่งตั้งซื่อจื่อ…
…หากพระองค์แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ พ่อของข้าต้องอ้างเรื่องแต่งตั้งบุตรภรรยาเอกแต่งตั้งบุตรคนโต ขอพระราชทานแต่งตั้งพี่ชายใหญ่ของข้าเป็นไท่จื่อแน่นอน…
…ใต้ผืนฟ้าไม่มีพสุธาใดมิใช่ของโอรสสวรรค์ หากข้ามิใช่บุตรชายของจ่างกงจู่ก็แล้วไปเถิด แต่พระองค์เป็นคนตัดสินพระทัยให้ท่านแม่ของข้าแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง ตอนที่ตกลงแต่งงานใหม่กับท่านแม่ของข้า พ่อของข้าก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าตำแหน่งซื่อจื่อคงไม่อาจเป็นของเฉินอิงได้อีกแล้ว…
…นอกจากนี้เฉินอิงคนขี้ขลาดผู้นั้นมีอะไรดีกว่าข้างบ้าง พูดยังไม่กล้าพูดเสียงดัง มองคนก็ไม่กล้ามองตรงๆ มีเรื่องอะไรก็ยุยงให้พ่อเขาพี่สาวเขาต่อสู้ให้เขา เหตุใดต้องให้ข้ายอมรับสถานะต่ำกว่าเขาด้วย…
…นี่พระองค์สงสารองค์ชายใหญ่ที่ไหนกัน พระองค์กำลังเอาข้าไปเผาบนกองไฟมากกว่า!
…พระองค์ยังอยากให้ข้าไม่ต้องถามเรื่องนี้อีก ข้าจะไม่ถามเรื่องนี้ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ…
…อย่างไรวันนี้พระองค์ก็ต้องให้คำอธิบายแก่ข้าสักข้อหนึ่ง ว่าตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อนั้น ตกลงพระองค์ทรงมีแผนการอย่างไร การที่พระองค์ไม่ยอมบอกข้า นั่นถึงจะทำให้คนคิดเลื่อนเปื้อน ทุกคืนวันไม่อาจอยู่อย่างสงบได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สดับฟังแล้วสีพระพักตร์เปลี่ยนไปมาก
ในเมื่อรู้ว่าใต้ผืนฟ้าไม่มีพสุธาใดมิใช่ของโอรสสวรรค์ เหตุใดเฉินลั่วยังกล้าพูดจาก้าวร้าวเช่นนี้ออกมาได้
จะแต่งตั้งใครเป็นไท่จื่อหรือแต่งตั้งไท่จื่ออย่างไร นี่เป็นเรื่องของคนเป็นฮ่องเต้ผู้นี้ เกี่ยวอะไรกับขุนนางอย่างเขาด้วย?
แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสะบั้นความสัมพันธ์ ฮ่องเต้ขบคิดครั้งแล้วครั้งเล่า อดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนเฉินลั่วบ่นเฉินอิงและเฉินเจวี๋ยเสร็จ ถึงได้ตรัสขึ้นอย่างมีเมตตาว่า “นิสัยนี้ของเจ้าต้องปรับปรุงแก้ไขกันหน่อยแล้ว ข้าว่าก็ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนใครที่ไหน เลือกหม่าซานนี่แหละ ให้เขาไปอบรมกฎระเบียบให้เจ้าที่จวนจ่างกงจู่ ยังต้องการให้ข้า ‘อย่างไรก็ต้อง’ ให้คำอธิบายแก่เจ้าสักข้อหนึ่งนั่นอีก เจ้าอยากได้คำอธิบายอะไร? ข้าจะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่หรือองค์ชายรองอย่างนั้นหรือ ต่อให้เซี่ยสืออยู่ตรงนี้ เขาก็ไม่กล้าถามเช่นนี้ เจ้ายังจะอ้างเขาเป็นตัวอย่างอีก ข้าว่าเขาไม่น่ามีคุณสมบัตินี้”
ทุกครั้งที่ฮ่องเต้เผชิญกับเรื่องที่ตัวเองไม่อยากเผชิญหน้าด้วย ก็ชอบเลี่ยงไปพูดเรื่องเรื่องนี้เช่นนี้
เฉินลั่วคิด ในห้วงความคิดมีใบหน้าที่มองเท่าไรก็ไม่เบื่อของหวังซีใบหน้านั้นปรากฏออกมา
นางเองก็มีนิสัยเช่นนี้เหมือนกัน
แต่นางเป็นเด็กสาวหน้าตางดงาม แสดงท่าทางเช่นนี้ออกมามีแต่จะทำให้คนรู้สึกว่าน่ารักน่าชัง แต่ฮ่องเต้ ครองบัลลังก์มาเกือบยี่สิบปีแล้ว ทำเช่นนี้มีแต่ทำให้คนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเท่านั้น
เมื่อคิดเช่นนี้ เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องสู้สักครั้งหนึ่ง
คงไม่อาจให้นางโกหกคำโตขนาดนี้ แต่สุดท้ายเปล่าประโยชน์หรอกกระมัง
เฉินลั่วยิ่งสงบมากขึ้น ทว่าดวงหน้าเผยความดุร้ายหนึ่งออกมา อากัปกิริยาก็เสมือนกลับไปเป็นอย่างเมื่อก่อนอีกครั้ง เหมือนตอนเป็นเด็กอายุเจ็ดแปดขวบผู้หนึ่ง ตะโกนใส่ฮ่องเต้เสียงหนึ่งว่า “เสด็จลุง” กล่าวว่า “ผู้ใดจะเป็นไท่จื่อ นั่นก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าเหมือนกัน นี่ข้ากำลังแทรกแซงเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทของพระองค์อย่างไร้เหตุผลอยู่อย่างนั้นหรือ ข้ากำลังพูดเรื่องของข้าเองต่างหากพ่ะย่ะค่ะ…
…ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ พ่อข้าปฏิบัติต่อข้าอย่างไร มีผู้ใดกระจ่างแจ้งไปกว่าพระองค์บ้าง…
…เหตุใดปีนั้นพระองค์ถึงอุ้มข้ามาเลี้ยงในวังหลวง พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวถึงตรงนี้ เขากระชากหน้าของเจิ้นกั๋วกงลงมาเหยียบใต้ฝ่าเท้าด้วยอีกคน “มารดาของข้านั้นมิใช่ว่าขายไม่ออก! หากเจิ้นกั๋วกงเห็นใจสงสารเฉินอิงจริง ก็ไม่ควรตอบรับการแต่งงานกับมารดาของข้า เมื่อก่อนเขายังเคยเข้าร่วมการสอบขุนนางด้วย หากมิใช่คนเฉลียวฉลาด จะได้เป็นถึงนายอำเภอหรือ แต่พระองค์ดูแต่ละเรื่องที่เขากระทำ ช่างเป็นนางแพศยาไม่เจียมตัวที่อยากเดินลอดซุ้มประตูอันทรงเกียรติจริงๆ”
จากนั้นเขามองฮ่องเต้ ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ท่าทางนั่นคล้ายคนได้รับความทุกข์ทนมามากมายก็ไม่ปาน
แต่งานแต่งของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ในปีนั้นเป็นมาอย่างไรนั้น ทุกคนล้วนทราบกันดี
ที่เขาพูดเช่นนี้ นอกเหนือจากเจิ้นกั๋วกงที่ไร้ยางอายแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไร้ยางอายดุจเดียวกันไปด้วย
ฮ่องเต้พิโรธ ฉับพลันนั้นพระเนตรเผยแววเยียบเย็นออกมา ชี้เฉินลั่วไว้หมายจะตะคอกใส่เฉินลั่วเสียงหนึ่งว่า ‘ไสหัวออกไป’ ทว่าทันใดนั้นหางตาเหลือบไปเห็นหม่าซานที่ก้มหน้าค้อมตัว ทำตัวเสมือนเป็นสิ่งของในโถงพระราชวัง เขาพลันสงบสติลงมาได้ น้ำเสียงยังฟังดูอบอุ่นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อยู่หลายส่วน ตรัสขึ้นว่า “เจ้าเด็กคนนี้ นิสัยก้าวร้าวเกินไปแล้ว เช่นนั้นถ้าเจ้าเป็นบิดามารดาของเจ้า! จะมีลูกอกตัญญูเช่นเจ้าหรือไม่”
พระดำรัสของฮ่องเต้มีน้ำหนักดั่งทองคำดั่งหยก คำว่า ‘ก้าวร้าว’ คำว่า ‘อกตัญญู’ ของเขาแค่หนึ่งประโยค ก็ทำให้ชื่อเสียงของเขาตกต่ำถึงพื้นดินได้ ถึงขั้นที่ว่าหากเสียชื่อเสียงในช่วงเวลาคับขัน เขาอาจสูญเสียชีวิตได้เลยด้วยซ้ำ
หลานชายอย่างเขาผู้นี้ ไร้ค่าเช่นนี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
ถึงเฉินลั่วจะเคยรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นครั้งคราวอยู่บ้าง ทว่าก็มิใช่คนขี้สงสารตัวเอง
หากเขาไม่ช่วยเหลือตัวเขาเอง แล้วจะมีใครมาช่วยเขาเล่า?
พระดำรัสของฮ่องเต้นอกจากไม่ทำให้เขารู้สึกเสียกำลังใจแล้ว ตรงกันข้ามมันกระตุ้นความรู้สึกไม่พอใจและไม่ยินยอมของเขาขึ้นมาแทนด้วย
เขากล่าว “บิดาไร้ความเมตตากับบุตรอกตัญญู ความผิดเท่าเทียมกัน! ข้าเองก็อยากเป็นบุตรกตัญญูเหมือนกัน แต่พ่อของข้าเขายอมเป็นบิดาผู้มีเมตตาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หมวก ‘อกตัญญู’ ใบใหญ่นี้เขาไม่มีทางยอมสวม ส่วนคำว่า ‘ก้าวร้าว’ นั้น ในเมื่อฮ่องเต้ยังดำรัสว่าเขาเป็นคนนิสัยไม่ดี ก็ดีเหมือนกันเวลาทุบตีใครตายจะได้ไม่ต้องแลกด้วยชีวิต!
เฉินลั่วครวญเสียงเย็นอยู่ในใจ
โทสะของฮ่องเต้กลับพวยพุ่งเป็นเปลวเพลิง หน้ามืดจนเกือบจะล้มลงไป
นี่เฉินลั่วต้องการพูดเรื่องกฎเกณฑ์กับตน?
หรือกำลังตำหนิว่าตนก็หาใช่บิดาที่มีเมตตาเหมือนกันกันแน่?
ฉับพลันนั้นสีหน้าของเขายิ่งซีดเผือดมากขึ้น ทำให้ขันทีและนางกำนัลที่ถวายการรับใช้อยู่ข้างกายต่างตระหนกตกใจตามกันไปทั้งหมด คนที่มีหน้าที่ตั้งน้ำชาก็รีบก้าวออกมาตั้งน้ำชา คนที่มีหน้าที่ไปตามหมอหลวงก็รีบไปตามหมอหลวง คนที่มีหน้าที่หยิบหมอนก็ไปหยิบหมอน ต่างห้อมล้อมอยู่ข้างกายเขาอย่างยุ่งเหยิงเหมือนผึ้งงานส่งเสียงหึ่งๆ สายหนึ่ง
ส่วนเฉินลั่วก้าวออกไปอย่างตื่นตระหนก ร้องเรียกเสียงหนึ่งอย่างหวาดกลัวว่า “เสด็จลุง”
ฮ่องเต้กลับโบกมือ เรียกหม่าซานที่กำลังจะไปตามหมอหลวงเอาไว้ ส่งสัญญาณบอกให้คนที่ถวายการรับใช้อยู่เหล่านั้นถอยออกไป ถึงได้ตรัสกับเฉินลั่วที่มองเขาด้วยดวงหน้าตื่นตระหนกว่า “นับวันสุขภาพของลุงก็แย่ลงเรื่อยๆ หากวันใดลุงจากไป เจ้าจะทำอย่างไร!”
“ไม่มีทางพ่ะย่ะค่ะ!” เฉินลั่วกล่าว ท่าทางเหมือนสัตว์ที่กำลังจะขาดที่พึ่ง ไม่เพียงตื่นตระหนก ยังทำอะไรไม่ถูกอีกด้วย กล่าวว่า “เสด็จลุง ข้าจะไปหาท่านหมอมาให้พระองค์เอง จะต้องหาท่านหมอที่เก่งที่สุดในใต้หล้ามาให้พระองค์ได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าไม่พูดยอมรับผิดแม้แต่ประโยคเดียว
ดวงเนตรของฮ่องเต้ยิ่งเยียบเย็นมากขึ้น ทว่าพระดำรัสที่ตรัสออกมากลับอบอุ่นดุจสายลมวสันต์ “หลินหลางของพวกเราโตแล้ว รู้จักเป็นห่วงลุงแล้วเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ข้ารู้จักร่างกายของตัวเองดี ฝีมือของหมอหลวงในสำนักหมอหลวงก็นับว่าใช้ได้ จัดเทียบยาให้แล้ว เหลือแค่ค่อยๆ บำรุงกันไป เจ้าไม่โกรธเคืองข้าก็พอแล้ว!”
ประโยคสุดท้ายนั่น เขาใช้น้ำเสียงประชดประชัน แย้มสรวลตรัสออกมา
เฉินลั่วกลับบังเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
………………………………………………………………………….
ตอนต่อไป