ตอนที่ 108

The simple life of the emperor

หลินจินทงที่กำลังยืนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ที่สวนก็ถูกเทาเจาทักขึ้น

”ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรอยู่ในใจงั้นเหรอครับ ?”

หลินจินทงที่ได้ยินก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะอ้ำอึ้งอยู่สักพักพร้อมกับเอ่ยถาม

”เอ่อ… ผมมีบางอย่างสงสัยอยากจะถามไม่ทราบว่าคุณพอจะให้คำตอบกับผมได้หรือเปล่า ?”

เทาเจาที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า

”แน่นอน อาจารย์ให้ผมดูแลคุณหากมีอะไรสงสัยคุณสามารถถามผมได้ทุกอย่าง”

หลินจินทงที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มถามคำถามเกี่ยวกับการบ่มเพาะกับเทาเจาซึ่งเทาเจาก็ตอบทุกคำถามที่เขาสงสัยได้อย่างดี หลังจากจิบชาที่แม่บ้านของตำหนักยกมาหลินจินทงก็ได้ถามต่อว่า

”จากที่ฟังทั้งคุณและเทียนหลางพูดมา ผมพอจะเข้าใจแต่ผมอยากรู้ว่าคนและลูกศิษย์คนอื่นๆของเทียนหลางระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับไหนงั้นเหรอ ?”

เทาเจาที่ได้ยินก็เกาแก้มของตัวเองเบาๆก่อนจะพูดขึ้นว่า

”จะว่ายังไงดีละพวกผมและเหล่าศิษย์น้องนั้นไม่ได้จริงจังกับการบ่มเพาะมากนักแต่พวกเราส่วนใหญ่ก็อยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพ ยกเว้นแต่ศิษย์พี่ใหญ่”

”ศิษย์พี่ใหญ่ ?”

เทาเจาพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถึงศิษย์พี่ใหญ่ของเขา

”คุณยังจำคนที่ชื่อถังซานที่ท่านอาจารย์เรียกก่อนหน้านี้ได้ไหม ?”

เมื่อหลินจินทงได้ยินก็นึกย้อนกลับไปยังก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นหนึ่งในบันดาลูกศิษย์ของเทียนหลางซึ่งมีหนึ่งในนั้นจะมีหน้าตาที่แก่กว่าพวกเขาอยู่นิดหน่อยซึ่งหลินจินทงเดาว่าคงจะเป็นคนๆนั้น

เมื่อหลินจินทงพยักหน้าซึ่งบ่งบอกว่าเขาจำได้ เทาเจาจึงพูดต่อ

”ศิษย์พี่ถังซานคือศิษย์คนแรกของท่านอาจารย์และยังเป็นคนที่เก่งกาจและมีพรสวรรค์ที่สุด ล่าสุดจากที่ผมได้คุยกับศิษย์พี่นั้นเขาบอกว่าเขาพึ่งจะบรรลุเข้าขอบเขตประทับเทพเมื่อไม่นานมานี้”

ทันทีที่หลินจินทงได้ยินก็ถึงกับตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าเหล่าศิษย์ของเทียนหลางจะมีความแข็งแกร่งขนาดนี้ ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าเหตุใดเทียนหลางจึงไม่ได้ให้ค่ากับเหล่าเซียนบนโลกมนุษย์เลยเพราะว่าเขานั้นถูกรายล้อมไปด้วยผู้ที่อยู่สูงกว่าและตัวเขาเองนั้นก็อยู่บนจุดสูงสุด เรียกว่าได้เหล่าเซียนบนโลกมนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวกเมื่อเทียบกับพวกเขาเหล่านี้

หลินจินทงที่นึกสงสัยเขาจึงได้ถามต่อว่า

”จริงสิ ผมได้ยินเรื่องที่เฟิงหยวนคุยกับคุณก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความวุ่ยวายของดินแดนอื่นๆมันหมายความว่ายังไงงั้นเหรอ ?”

เทาเจาที่ได้ยินก็ยิ้มพร้อมกับบอกว่า

”อ๋อ… ในตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกลัทธิมาร และลัทธินอกรีตจะเริ่มก่อความวุ่นวายกันนะ เรื่องเลยเดือดร้อนมาถึงดินแดนสวรรค์ อันที่จริงแล้วเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดินแดนสวรรค์แต่ถึงอย่างงั้นพวกเราก็อาจนิ่งนอนใจได้ทางจักรพรรดิสวรรค์จึงได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดนะและดูเหมือนว่าจะคนของแดนสวรรค์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ด้วยดังนั้นทางดินแดนสวรรค์จึงวุ่นวายไม่น้อย”

หลินจินทงเมื่อได้ยินสิ่งที่เทาเจาเล่าก็เกิดสงสัยจึงเอ่ยถามออกไปอีก

”ไม่ใช่ว่าคนในดินแดนสวรรค์นั้นย่อมต้องเป็นผู้มีความดีงามงั้นเหรอ ? แล้วทำไมถึงไปเกี่ยวข้องกับพวกลัทธิมารหรือพวกลัทธินอกรีตด้วยละ ?”

เทาเจาที่ได้ยินคำพูดของหลินจินทงเขาก็แปลกใจไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา ก่อนจะอธิบายว่า

”ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิดไปนะคุณหลินจินทง จริงอยู่ที่มีคำพูดว่าหากทำคุณงามความดีเมื่อตายไปจะได้ไปสวรรค์แต่นั่นก็เป็นเพียงนิทานที่แต่งขึ้นเพื่อให้ผู้คนนั่นยึดมั่นในการทำความดีเท่านั้น แท้จริงแล้วดินแดนสวรรค์ก็เป็นเหมือนโลกใบหนึ่งนั่นแหละ แบ่งแต่อุดมไปด้วยผู้แข็งแกร่งเท่านั้นคุณอย่าลืมสิก่อนที่ผมจะเป็นเทพผมก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น”

หลินจินทงที่ได้ยินก็พยักหน้าก่อนจะถามเกี่ยวกับนรก

”แล้วนรกละ ?”

”ดินแดนนรกนั้นก็ไม่แตกต่างจากดินแดนสวรรค์มากนักซึ่งต่างไปจากจินตนาการของพวกมนุษย์อย่างพวกคุณไปสักหน่อยในความคิดของพวกคุณดินแดนนรกจะต้องเป็นที่สำหรับจองจำของผู้กระทำบาปสินะ”

หลินจินทงพยักหน้า เทาเจาจึงอธิบายต่อ

”แต่แท้จริงแล้วดินแดนนรกนั้นเป็นดินแดนที่ดีไม่น้อยออกจะอุดมสมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ แต่ที่มันถูกเรียกว่านรกนั้นเพราะดินแดนนรกเป็นที่อยู่ของเผ่าปีศาจ และเหล่ามารและยังเป็นที่สำหรับคุมขังสำหรับพวกนอกรีตอีกด้วย”

หลินจินทงที่ได้ฟังคำอธิบายของเทาเจาเขาก็มีมุมมองใหม่เกี่ยวกับสวรรค์และนรกไม่น้อยเลยทีเดียว จากนั้นเขาก็ถามถึงอีกเรื่องหนึ่งที่เขาสงสัย

”หากไม่ใช่ว่าสวรรค์ที่เป็นรองรับสำหรับคนดีแล้วเมื่อตายพวกเขาจะไปไหนกันละ ?”

เทาเจาที่ได้ยินคำถามของหลินจินทงเขาก็คิดอยู่สักพักก่อนจะตอบ

”คำถามนี้ค่อนข้างจะยากเชียวนะครับ มันอยู่ที่ความคิดของแต่คนละเสียมากกว่า”

”แล้วสำหรับคุณละ ?”

”อืม…”

เทาเจาลูบคางพร้อมกับคิดก่อนจะตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้ม

”เกิดจากดินย่อมกลับสู่ดิน”

หลินจินทงเมื่อได้ยินคำตอบของเทาเจาเขาก็เก็บมันไปคิดเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนคำถาม

”จากที่คุณบอกดูเหมือนจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นไปทั่วนิกายและสำนักอื่นๆต่างเคลื่อนไหว แล้วทำไมนิกายของคุณถึงไม่ทำอะไรเลยละ ?”

เทาเจาที่ได้ยินคำถามนี้เขาก็เงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยกับหลินจินทง

”นิกายของเรานั้นเป็นกลางนะ ไม่ใช่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”

หลินจินทงสงสัยกับคำพูดของเทาเจาเล็กน้อยจึงถามต่อ

”ทำไมละไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกลัทธิมาร กับลัทธินอกรีตงั้นเหรอ ?”

เทาเจาที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะถามกลับหลินจินทงว่า

”สิ่งใดบ่งบอกว่าคนนั้นเป็น สิ่งใดบ่งบอกว่าคนผู้นั้นเป็นคนนอกรีต ?”

หลินจินทงที่ได้ยินก็ตกใจเล็กน้อยพร้อมกับคิดตามพร้อมก่อนจะส่ายหัวเพราะเขานั้นก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกันเพราะตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะเขาก็ถูกพร่ำสอนมาตลอดว่าเหล่ามารและพวกนอกรีตคือศัตรูของสำนักฝ่ายธรรมะแต่สาเหตุที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นศัตรูกันนั้นเขาก็เองก็ไม่เคยทราบ

เทาเจาที่เห็นว่าแม้แต่หลินจินทงเองก็ไม่ทราบเขาจึงอธิบายว่า

”ไม่ใช่ว่าสำนักและนิกายมารทั้งหมดจะเลวร้าย และใช่ว่าพวกนอกรีตนั้นจะเป็นชั่วเสมอไปเพียงแค่เส้นทางการบ่มเพาะนั้นแตกต่างกันเท่านั้นจึงทำให้พวกเขาถูกตราหน้าว่าเป็นฝ่ายอธรรม ท่านอาจารย์รู้ดีถึงข้อนี้ท่านจึงมักจะไม่เข้าร่วมสงครามแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายหากไม่จำเป็น”

หลินจินทงพยักหน้าเทาเจาจึงอธิบายต่อ

”อาจารย์มักจะหลีกเลี่ยงสงครามอยู่เสมอเพราะเขามองว่าการต่อสู้ที่ไร้สาระนั้นมีมากจนเกินไปจนทำให้เขานั้นไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง ตัวของท่านอาจารย์ในวัยหนุ่มนั้นมักตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งสงครามอยู่เสมอจำนวนคนที่ตายไปด้วยน้ำมือของเขามากมายเกินกว่าจะนับได้ หากจะมองหาคนที่รู้จักผลของสงครามดีกว่าใครนั้นคุณก็สามารถมองไปที่อาจารย์ของผมได้”

”แต่เดิมแล้วพวกเราเหล่าลูกศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นผลผวงจากสงครามเช่นเดียวกัน”

หลินจินทงตกใจกับคำพูดของเทาเจาก่อนจะเอ่ยถาม

”หรือว่า ?”

เทาเจาพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น

”เดิมทีแล้วพวกเรานั้นเป็นเด็กที่เหลือรอดจากสงคราม ผมเคยบอกไปแล้วสินะว่าในช่วงที่อาจารย์ยังหนุ่มอาจารย์นั้นมักจะเข้าไปพัวพันกับสงครามอยู่เสมอ”

หลินจินทงพยักหน้า เทาเจาจึงบอกเล่าอดีตของพวกเขา

”ข้าและเหล่าศิษย์น้องนั้นต่างเป็นเด็กที่พ่อแม่ตายจากสงครามระหว่างสองฝ่าย ท่านอาจารย์และอาจารย์หญิงเก็บพวกเรามาดูแลและช่วยฝึกฝนพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขานั้นเปรียบเสมือนพ่อและแม่แท้ๆของพวกเราเลยด้วยซ้ำ”

หลังจากที่พูดจบเทาเจาก็นึกอะไรขึ้นมาได้พร้อมกับกล่าวเสริม

”แต่ยกเว้นอยู่คนนึงนะครับ”

”ยกเว้นคนนึง ?”

”ใช่ ศิษย์น้องสิบสามนั้นไม่ใช่เด็กกำพร้าเหมือนพวกเราหรอก เดิมทีแล้วเขานั้นเป็นเจ้าชายละ”

”จะ… เจ้าชาย !?”

หลินจินทงตกใจ

”ช่าย ศิษย์น้องสิบสามนั้นเดิมทีเป็นองค์ชายของราชวงศ์เซี่ย แต่เพราะในช่วงนั้นราชวงศ์เซี่ยกำลังอยู่ช่วงตกต่ำพวกเขาจึงขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ซึ่งข้อแลกเปลี่ยนของอาจารย์ก็คือ ท่านอาจารย์จะขอรับองค์ชายสามซึ่งก็คือศิษย์น้องสิบสามมาเป็นลูกศิษย์ของตน และองค์ชายสามจะต้องตัดขาดจากราชวงศ์เซี่ย”

”แล้วราชวงศ์เซี่ยยินยอมงั้นเหรอ ?”

หลินจินทงถามด้วยความสงสัย

”ในตอนแรกก็ไม่ยอมหรอก แต่ในครานั้นนอกเหนือจากความช่วยเหลือของอาจารย์แล้วราชวงศ์เซี่ยก็ไม่มีหนทางใดอีกพวกเขาจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับและส่งมอบองค์ชายสามให้กับอาจารย์”

หลินจินทงพยักหน้าพร้อมกับถามเรื่องราวอีกมากมายกับเทาเจาซึ่งเทาเจาก็ไม่ปฏิเสธที่จะเล่าให้กับเขาฟัง