ตอนที่ 123 คนที่ไม่ตื่นจากฝันจะตาย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 123 คนที่ไม่ตื่นจากฝันจะตาย
ถงจี๋รีบใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาทิ้ง ก้มศีรษะคำนับเหลียงอ๋อง จากนั้นกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “ในเมื่อนายท่านชอบคุณหนูใหญ่ไป๋ บ่าวจะกำชับให้แม่นางชุนเหยียนทำเรื่องนี้ให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ! นายท่าน…บ่าวอยู่รับใช้นายท่านมาตั้งแต่เด็ก นายท่านอย่าไล่บ่าวไปเลยนะพ่ะย่ะค่ะ! ต่อไปถงจี๋จะเชื่อฟังองค์ชาย ไม่สร้างปัญหาให้นายท่านเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”

เหลียงอ๋องใจอ่อน กล่าวเสียงแหบพร่า “ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ข้าจะไม่ไล่เจ้าไป!”

“ขอบพระคุณองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!” ถงจี๋รับเอาจดหมายไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง จากนั้นเดินจากไปอย่างนอบน้อม

แม้ถงจี๋จะไร้ประโยชน์ ทว่า เหลียงอ๋องยังคงเก็บเขาไว้ข้างกาย เหตุผลเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวัยเยาว์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น!

ที่เหลียงอ๋องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อลากตระกูลไป๋ให้ตกต่ำ เพราะเขาต้องการตอบแทนบุญคุณของถงกุ้ยเฟยและองค์ชายรอง นี่คือเหตุผลที่เกาเซิงยอมติดตามรับใช้เหลียงอ๋อง

เกาเซิงมองเหลียงอ๋องแวบหนึ่ง จากนั้นก้มหน้าลงพลางกล่าวอย่างเคารพ “พาหลิวฮ่วนจางมาที่จวน

เหลียงอ๋องไม่ได้ ข้าจะไปจับตาดูหลิวฮ่วนจางไว้เองพ่ะย่ะค่ะ ป้องกันเผื่อเขาคิดลงมือทำสิ่งใดอีก”

“ไปเถิด…” เหลียงอ๋องกุมหน้าอกอย่างอ่อนแรง นั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าย่ำแย่ลงกว่าเมื่อครู่เสียอีก

ไป๋ชิงเหยียนนอนหลับเพียงหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็ตื่นขึ้น

ชุนเถาใช้ตะขอทองแดงเกี่ยวมุ้งเอาไว้ มองดูไป๋ชิงเหยียนนั่งสวมรองเท้าอยู่ปลายเตียง กล่าวอย่างเป็นห่วง “คุณหนูใหญ่นอนเพียงหนึ่งชั่วยามกว่าทุกวัน ร่างกายจะทนไม่ไหวเอานะเจ้าคะ!”

บรรดาสาวใช้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกถือกะละมังทองแดง ผ้าขนหนู กระโถนและน้ำป้วนปากเดินเข้ามาด้านในอย่างเป็นระเบียบ รอปรนนิบัติไป๋ชิงเหยียนล้างหน้าแปรงฟัน

ชุนซิ่งเดินนำบรรดาสาวใช้ที่ถือกล่องอาหารเข้ามาด้านในเพื่อเตรียมตั้งสำรับ เมื่อไป๋ชิงเหยียนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเดินออกมาจากฉากกั้น ชุนซิ่งจึงเดินนำบรรดาสาวใช้ทั้งหมดออกไปด้านนอกอย่างเป็นระเบียบ

ชุนเถาตักโจ๊กไก่หนึ่งถ้วยวางไว้ตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน กล่าวเสียงเบา “วันนี้พอคุณหนูใหญ่เข้ามาพักผ่อนได้ไม่นานก็มีคนมาหาชุนเหยียนเจ้าค่ะ แต่ว่าชุนเหยียนมิได้ออกไปพบ หญิงชราที่เฝ้าประตูกล่าวว่าองครักษ์ของเหลียงอ๋องยอมจ่ายเต็มที่มากเจ้าค่ะ แต่ว่าสีหน้าเย็นชาดุดันค่อนข้างน่ากลัวเจ้าค่ะ”

เดิมทีก็เป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ไป๋ชิงเหยียนไม่รู้สึกแปลกใจ

หญิงสาวก้มหน้าทานโจ๊กรสชาติเบาท้องคำหนึ่ง จากนั้นเอ่ยกำชับ “อย่าให้ชุนเหยียนรู้ตัวเด็ดขาด ลอบจับตาดูนางเอาไว้ หากนางมีความเคลื่อนไหวใดๆ รีบมารายงานทันที!”

“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเถาพยักหน้าอย่างแรง

ชุนซิ่งที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นไป๋จิ่นซิ่วเดินมาจึงรีบถลาเข้าไปทำความเคารพ “คุณหนูรอง”

“พี่หญิงใหญ่ตื่นนอนแล้วหรือ”

“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่กำลังรับประทานอาหารอยู่เจ้าค่ะ บ่าวจะไปรายงานเดี๋ยวนี้…”

ชุนซิ่งยังไม่ทันแหวกม่านก็เห็นชุนเถาแหวกม่านเดินออกมา “คุณหนูใหญ่ให้บ่าวมาเชิญคุณหนูรองเจ้าค่ะ! ชุนซิ่ง ให้คนเตรียมอาหารให้คุณหนูรองด้วย”

ชุนซิ่งรับคำ

ไป๋จิ่นซิ่วยื่นเตาอุ่นมือให้ชิงซู สั่งให้ชิงซูยืนรออยู่ด้านนอก ส่วนตนเองเดินเข้าไปในห้อง

ชุนเถาตักโจ๊กให้ไป๋จิ่นซิ่ว จากนั้นเดินออกมาจากห้อง ปล่อยให้สองพี่น้องรับประทานอาหารกันตามลำพัง

ไป๋ชิงเหยียนเห็นน้องสาวขมวดคิ้วแน่น จับตะเกียบโดยไม่ยอมทานเสียทีจึงเอ่ยถาม “เป็นห่วงฉินหล่างเช่นนั้นหรือ”

“พี่หญิงใหญ่ ผู้พิพากษาหลู่จิ้นแห่งศาลต้าหลี่ไม่สนิทสนมกับตระกูลไป๋ บัดนี้ตระกูลไป๋ไม่มีบุรุษหลงเหลืออยู่แล้ว แม้ภายนอกหลู่จิ้นผู้นี้จะดูเป็นคนดีแต่จิตใจของคนยากจะคาดเดา เขาจะช่วยเหลือฉินหล่างหรือไม่เจ้าคะ” ไป๋จิ่นซิ่วขมวดคิ้วแน่น หันไปถามไป๋ชิงเหยียน

“ยามปกติพวกเราอยู่แต่ในเรือนหลัง ไม่รู้เรื่องราวในราชสำนัก เจ้าเป็นกังวลก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด” หญิงสาววางตะเกียบลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก วิเคราะห์ให้ไป๋จิ่นซิ่วฟังอย่างละเอียดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การแย่งชิงบัลลังก์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ บรรดาขุนนางส่วนใหญ่เลือกเข้าข้างซิ่นอ๋องโอรสสายตรงที่เกิดจากฮองเฮา ซิ่นอ๋องมีอำนาจมาก กล่าวได้ว่าหากไม่มีเรื่องที่หนานเจียง จากสถานการณ์ในตอนนี้ ซิ่นอ๋องคือผู้ที่มีสิทธิ์จะได้ครอบครองบัลลังก์นั้นมากที่สุด! บรรดาขุนนางคนอื่นๆ ก็พลอยคล้อยตามสถานการณ์ไปด้วย ทว่าผู้พิพากษาหลู่จิ้นแห่งศาลต้าหลี่ผู้นี้กลับไม่เคยมีส่วนร่วมด้วยเลย หลายครั้งที่คนของซิ่นอ๋องทำผิดจนตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา เขาก็ตัดสินอย่างยุติธรรมโดยไม่รักษาน้ำใจผู้ใดทั้งสิ้น”

“หนึ่ง คนผู้นี้เป็นคนซื่อตรง สอง คนผู้นี้อาจมีผู้ปกครองที่ทรงคุณธรรมคนอื่นอยู่ในใจ สาม คนผู้นี้ต้องการรักษาความยุติธรรมในฐานะขุนนางผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่ง สี่ คนผู้นี้มิได้อยากได้ใจของจักรพรรดิ”

ไป๋จิ่นซิ่ววางตะเกียบในมือลง พยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าว “ทว่า หากมิได้ต้องการได้ใจของจักรพรรดิ เหตุใดเขาจึงได้เลื่อนขั้นเป็นถึงผู้พิพากษาของศาลต้าหลี่ภายในไม่กี่ปีเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ประการแรก หากหลู่จิ้นเป็นคนซื่อตรง เขาต้องเห็นแก่ความจงรักภักดีของตระกูลไป๋ เห็นแก่ที่บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงที่หนานเจียงเพื่อปกป้องบ้านเมืองและชาวบ้าน เขาต้องปกป้องบุตรเขยของตระกูลไป๋อย่างแน่นอน! ประการต่อมา ในสายตาของหลู่จิ้น โอรสสายตรงที่เกิดจากฮองเฮาอย่างซิ่นอ๋องไม่ใช่ผู้ปกครองที่ทรงคุณธรรม หากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าหลู่จิ้นต้องการลาภยศหรือต้องการเป็นขุนนางที่มีส่วนช่วยให้จักรพรรดิได้ขึ้นครองราชย์ คนที่เห็นแก่ประโยชน์เช่นนี้ต้องเห็นแก่องค์หญิงใหญ่ ต้องการให้จวนเจิ้นกั๋วกงติดหนี้บุญคุณเขาอย่างแน่นอน! หรือไม่เขาก็รังเกียจนิสัยของซิ่นอ๋อง คนเช่นนี้ต้องเป็นคนซื่อตรงอย่างแน่นอน!”

“หากเขาต้องการเป็นขุนนางที่รักษาความยุติธรรมก็จะไม่เข้าร่วมการแก่งแย่ง การแย่งชิงบัลลังก์เด็ดขาด แม้บัดนี้ซิ่นอ๋องจะถูกถอดยศเป็นเพียงสามัญชน ทว่าบรรดาที่ปรึกษาของซิ่นอ๋อง ผู้ใดยินดีจะจมไปกับเรือของซิ่นอ๋องกัน คนพวกนั้นต้องใช้เรื่องเสบียงอาหารให้เป็นประโยชน์ที่สุดเพื่อให้ซิ่นอ๋องได้มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง เจ้าว่าหลู่จิ้นจะยินยอมเป็นดาบในมือของซิ่นอ๋องหรือไม่”

ไป๋จิ่นซิ่วฟังสิ่งที่ไป๋ชิงเหยียนตั้งใจวิเคราะห์ให้นางฟังอย่างละเอียดจนจบ สีหน้ากระจ่างขึ้นในทันที อดรู้สึกตะลึงมิได้ “พี่หญิงใหญ่ ท่านมองใจคนได้ทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าคะ”

โคมไฟและผ้าไหมสีขาวซึ่งแขวนอยู่ตรงระเบียงทางเดินแกว่งไปมาตามสายลม เปลวไฟที่อยู่ในเตาผิงซึ่งครอบปิดด้วยฝาทองแดงแกะสลักลุกโชนสว่างวาบ ทว่ากลับเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น

ไป๋ชิงเหยียนกุมมือไป๋จิ่นซิ่วแน่น เอ่ยกำชับเสียงแผ่วเบา “เมืองหลวงที่ถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ที่สวยงามอีกชั้นเช่นนี้ไม่เหมือนกับสงครามที่หนานเจียง ที่นั่นคืออาวุธจริง เลือดจริง ท่ามกลางอันตรายที่รายล้อม ผู้ที่มีแต่ความกล้าจะตาย ผู้ที่มีความกล้าและมีแผนการถึงจะเป็นผู้ชนะ! ในเมืองหลวงเต็มไปด้วยการวางแผนใส่ร้ายกันไปมา ผู้ที่ลุ่มหลงอยู่ในความรุ่งเรือง ไม่ยอมตื่นจากความฝันจะตาย ผู้ที่วางแผนทุกอย่างอย่างรอบคอบ คาดเดาจิตใจของผู้อื่นได้เฉียบขาดคือผู้ชนะ จิ่นซิ่ว เจ้าอยู่ในเมืองหลวง ลำบากกว่าพี่และน้องหญิงสามมากนัก!”

หลังจากที่ทราบข่าวการตายของท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุง ท่านอาและบรรดาพี่ชายน้องชาย นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋จิ่นซิ่วตระหนักได้ว่า…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่มีผู้ใดคอยคุ้มครองและตามใจพวกนางอีกต่อไปแล้ว

เมื่อก่อนมีพี่ชายน้องชายแท้ๆ อยู่ พี่หญิงใหญ่ของนางไม่เคยต้องคิดวางแผนเช่นนี้

ทุกคำที่พี่หญิงใหญ่กล่าวออกมาไม่มีคำใดที่ตำหนิว่านางทำผิดเลย ทว่า นางรู้ดีว่านางทำผิดที่ใด…

วันที่พี่หญิงใหญ่สั่งสอนน้องหญิงสี่ พี่หญิงใหญ่กล่าวออกมาแล้วว่าตระกูลไป๋เหมือนเดินเข้าไปในป่ายามวิกาล ทว่านางไม่ได้จดจำถ้อยคำเหล่านั้นให้ขึ้นใจ

ไม่ใช่ว่าพี่หญิงใหญ่หวาดระแวงมากเกินไป แต่เป็นนางที่คิดตื้นเกินไป

วันนี้เวลานี้ ไม่ใช่เพียงน้องหญิงสี่ที่ไม่มีเวลาทำตามใจตัวเองอีกต่อไป มันไม่มีเวลาให้นางทำตัวเกียจคร้านดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้วเช่นกัน เมื่อเผชิญปัญหาไม่ยอมเสียเวลาคิดไตร่ตรองทบทวนปัญหา กลับปล่อยผ่านมันไปทั้งอย่างนั้น

ตอนนี้พี่หญิงใหญ่ยังอยู่ที่เมืองหลวง…ทว่า ภายภาคหน้าจะเหลือแค่เพียงนางคนเดียว

ไป๋จิ่นซิ่วปวดใจราวกับถูกบีบรัดแน่น นางลุกขึ้นทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “วันนี้จิ่นซิ่วคิดตื้นเกินไปเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะไม่ทำผิดเช่นนี้อีก พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ!”

“เอาล่ะ ทานอาหารเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือไปฉุดให้ไป๋จิ่นซิ่วนั่งลง