บทที่ 174 ถอยทัพโดยทันที

บทที่ 174 ถอยทัพโดยทันที

“จะเปิดร้านอาหารเหรอคะ?” คำถามเดียวกันดังขึ้นอีกครั้งจากปากของถังอวี่เฟย

อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ “ใช่ครับ ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะเปิดได้”

“ตั้งอยู่ที่ไหนเหรอคะ? ไว้เมื่อไหร่เปิดแล้ว ฉันจะไปอุดหนุนแน่นอนค่ะ” ถังอวี่เฟยบอกตรงไปตรงมา

“ตรงข้ามร้านคัลเลอร์แมนครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

“ที่นั่น?” ถังอวี่เฟยพึมพำเล็กน้อย “ทำเลดีนะคะ แต่กิจการเดียวกันแถวนั้นถูกร้านคัลเลอร์แมนแย่งไปหมดแล้ว ถ้าอาจารย์จะเปิดร้านที่นั่นน่าจะต้องมีความมั่นใจพอสมควรเลยสินะคะ หรือไม่ก็วางแผนเป็นกิจการที่เน้นลูกค้ากลุ่มรองลงมาเหรอคะ?”

“มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเหมือนกับร้านคัลเลอร์แมนครับ” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ “ผมมีความมั่นใจในร้านของตัวเองพอสมควรเลย”

“จริงด้วยสินะคะ ฉันนี่ก็ลืมไปได้ยังไงว่าอาจารย์มีฝีมือการทำอาหารน่าประทับใจ เมื่อไหร่ถึงเวลา ฉันจะไปใช้บริการแน่นอนค่ะ” ถังอวี่เฟยตอบรับ

ก่อนจากไป ถังอวี่เฟยไม่ลืมย้ำเตือนอู๋ฝาน ถึงเรื่องปาร์ตี้วันเกิดของตัวเอง

หลังออกจากมหาวิทยาลัย อู๋ฝานมุ่งตรงไปที่ร้านอาหาร ในฐานะเจ้าของกิจการ และเพราะจ่ายไปกว่ายี่สิบล้านเพื่อการลงทุนนี้ เขาจะไม่สนใจเลยก็คงไม่ได้ ดังนั้นเวลาว่างที่เหลือทั้งวันจึงขลุกตัวอยู่ที่นี่ เพื่อชมร้านแห่งนี้ถูกปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปทีละน้อย

ที่ในโลกแห่งเกม ขณะอู๋ฝานเพิ่งกลับมาถึง ก็ต้องประหลาดใจกับเสียงจอแจที่ดังอยู่ภายนอก

ท้องฟ้าภายนอกกระโจมยังเป็นช่วงเริ่มรุ่งสาง แต่กลับมีเสียงผู้คนจอแจ เสียงฝีเท้าของม้า เสียงฝีเท้าของคน และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าค่อนข้างโกลาหลไม่น้อย

ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่!

อู๋ฝานตระหนักว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ดังนั้นจึงเร่งร้อนเดินออกจากกระโจมของตนเอง

แน่นอนว่าหลังออกมาจากกระโจม ก็ได้เห็นหลายคนเดินไปมา ทั้งค่ายวิหคกำลังเดือดพล่าน ประหนึ่งน้ำที่ถูกต้มจนฟองผุด

“เกิดเหตุอันใดขึ้นกัน?” อู๋ฝานรั้งคนคนหนึ่งที่ดูมีอาการแตกตื่นเอาไว้เพื่อเอ่ยถาม

“หัวหน้าโจวเรียกรวมพลทุกคนขอรับ” อีกฝ่ายค่อนข้างมีความประทับใจอันดีกับอู๋ฝาน รวมถึงได้ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นคนแข็งแกร่งในค่ายวิหคของตนเอง “แนวหน้าของกองทัพกำลังบุกตีเมืองที่คนของโลกอสูรสร้างขึ้นขอรับ”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรากัน?” อู๋ฝานถามต่อ

กองทัพประจำการบุกโจมตีเมืองที่ชาวโลกอสูรสร้างขึ้น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาที่เป็นกองทัพสำรอง ความรับผิดชอบคือขนส่งเสบียงและหญ้า เรื่องของการสู้รบไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจขอรับ” อีกฝ่ายตอบกลับ

อู๋ฝานปล่อยตัวอีกฝ่ายไป ก่อนจะเร่งรุดไปด้วยตนเอง เพื่อหาตัวสมาชิกหน่วย

“หัวหน้ามาแล้วหรือขอรับ? เมื่อครู่ไปที่กระโจมแต่หาท่านไม่พบ ตอนนี้หัวหน้าโจวเรียกรวมตัวพวกเราอย่างเร่งด่วน” ทันทีที่หนิวเอ้อพบเจออู๋ฝาน ก็เร่งเข้ามาบอกเล่าเรื่องราว

“สถานการณ์เป็นมาอย่างไร?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

“เหมือนว่าศึกที่แนวหน้าจะไม่สู้ดี หัวหน้าโจวบอกให้พวกเรารวมพลโดยทันทีเพื่อเตรียมพร้อมอพยพ” เจิ้งเสี่ยวลิ่วที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้น

ไม่ว่าด้วยเหตุอะไร พวกเขาก็มีแผนจะเดินทางกลับตั้งแต่เช้าอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องราวที่ต้องเร่งรีบ รวมทั้งอพยพอย่างแตกตื่นถึงเพียงนี้ ดังนั้นมันจะต้องเกิดเรื่องราวใดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ ตอนนั้นเองที่โจวซานเดินเข้ามาภายในพื้นที่ค่ายพัก สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียดจริงจัง และหลังพบชายหนุ่ม เขาจึงเรียกไปพูดคุยด้วยโดยทันที

“อู๋ฝาน สถานการณ์ไม่สู้ดี พวกเราต้องรีบอพยพโดยทันที” โจวซานบอกกับอีกฝ่าย

“มันเกิดอะไรขึ้นขอรับ? ไม่ใช่ว่าเมื่อวานก็ยังดีอยู่หรอกหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

“ขุนพลหลี่และคนของเขาเปิดฉากโจมตีเมืองที่พวกคนโลกอสูรสร้างขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้อีกฝ่ายที่เตรียมการรอไว้อยู่ก่อนแล้วดักซุ่มโจมตีขุนพลหลี่และกลุ่ม ความเสียหายค่อนข้างหนัก ขณะนี้พวกเขากำลังถอยทัพ จากข่าวล่าสุดที่กลับมาจากแนวหน้า คนของโลกอสูรไม่ได้ตั้งรับอยู่ในเมือง แต่เลือกที่จะขับไล่พวกเขาถอยกลับ ตอนนี้ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว พวกเราจะต้องรีบถอนกำลังโดยทันที” โจวซานอธิบาย

อู๋ฝานพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้วขอรับ”

ตอนนี้อู๋ฝานยังคงมีความสับสนอยู่ในใจพอสมควร เขาไม่มั่นใจว่าเพราะเหตุผลอะไร ทำให้หลี่เต๋อหมิงและคนของเขาบุกโจมตีตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีใครเสียเปรียบหรือเพลี่ยงพล้ำ ทั้ง ๆ ที่ชาวโลกอสูรควรถูกสะกดเอาไว้ในพื้นที่ ไฉนเรื่องราวจึงพลิกเปลี่ยนกลับด้านได้เช่นนี้?

แต่มันไม่ใช่เรื่องราวที่อู๋ฝานจะต้องสนใจ และไม่มีใครจะอธิบายให้ทราบด้วย สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ช่วยเหลือโจวซานรวมพลค่ายวิหค ถัดจากนั้นก็เร่งรีบอพยพออกจากพื้นที่แห่งนี้

เพราะความจริงที่ว่าคนของค่ายวิหคเป็นกองทัพสำรองชั่วคราว อวี่เฟยจึงแทบไม่ได้ให้การฝึกซ้อมแก่ทหารอย่างเหมาะสม ยกเว้นเพียงกองพันที่สาม ส่วนกองพันอื่นมีระเบียบวินัยที่ค่อนข้างเลวร้าย เป็นเหตุให้ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะเรียกรวมตัวทุกคนมาได้

เดิมโจวซานกับอู๋ฝานคิดว่าแม้แนวหน้าจะพ่ายแพ้ มันก็ยังพอค้ำยันคนในโลกอสูรได้อีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรความแข็งแกร่งของกองทัพประจำการก็ไม่ใช่เลวร้าย ความสามารถของหลี่เต๋อหมิงเองก็ดีเยี่ยม ดังนั้นจึงสมควรมีเวลามากพอสำหรับการปรับเปลี่ยนกระบวนทัพต่อสู้

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดคือสถานการณ์ที่แนวหน้าอันตรายเกินความคาดเดา ก่อนที่ฝั่งของพวกเขาจะรวมพลเหล่าทหารเสร็จสิ้น เสียงดังอึกทึกจากแนวหน้าก็แผ่ขยายออกมาแล้ว ไกลออกไปไม่เท่าไหร่ หลายคนเห็นว่ามีร่างจำนวนมากกำลังมุ่งตรงเข้ามาทางพวกเขาด้วยความเร็วสูง

“ทุกคน อพยพด่วน!” หลังพบเห็นเรื่องราว โจวซานไม่คิดสนใจผู้ที่ยังตกอยู่ในอาการแตกตื่นสับสน แต่ออกคำสั่งถอยทัพโดยทันที

กองทัพประจำการไม่อาจหยุดยั้งการโจมตีจากคนของโลกอสูรเอาไว้ได้ นับประสาอะไรกับพวกเขาที่เป็นเพียงกองทัพสำรอง ถ้าคิดจะเข้าไปขวางเส้นทางที่กองทัพศัตรูบุกเข้ามา พวกเขามีแต่จะตายหากว่าต้องเผชิญหน้ากับคลื่นมนุษย์เหล่านั้น

คนของค่ายวิหคในเวลานี้ต่างได้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว แม้โจวซานไม่ออกคำสั่งให้ถอยทัพ พวกเขาก็พร้อมจะหลบหนี ขณะนี้โจวซานออกคำสั่งเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงพร้อมใจกันหันกลับ เผ่นหนีออกไปทันที

คนของกองทัพสำรอง ส่วนใหญ่แล้วประกอบอาชีพชาวไร่ชาวนากันมาก่อน การให้พวกเขาต่อสู้นับเป็นเรื่องยาก แต่การให้หลบหนีเอาตัวรอด มันไม่ใช่ปัญหาอะไร

อู๋ฝานติดตามคนในหน่วยถอยทัพ พร้อมกับคอยย้ำเตือนและสำรวจคนในหน่วยของตนเองไม่ให้แตกแถวจากกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอันตรายใดขึ้น

แม้ว่าฝูงชนเริ่มอพยพหลบหนีแล้ว แต่ในใจอู๋ฝานกลับยังไม่รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย

ผู้คนส่วนใหญ่ทางฝั่งของพวกเขาใช้เท้าในการหลบหนี แม้ว่ามีรถลากบรรทุกเสบียงอยู่ภายในค่าย แต่มีไม่กี่คนที่สามารถขี่ม้าเป็น และมีน้อยคนที่จะสามารถขับเคลื่อนรถลากได้

ขณะหันมองความเร็วศัตรูที่ไล่ตาม เห็นได้ชัดว่ากลุ่มที่อยู่แถวหน้าควบขี่พาหนะ ดังนั้นพวกเขาจะถูกไล่ตามทันหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเวลาแล้ว

ขณะนี้ถือว่าสายเกินไปที่จะถอยทัพ!

ทว่าเรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษโจวซาน ไม่มีใครคาดคิดว่าแนวหน้าของกองทัพประจำการ จะถึงขนาดพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นความพ่ายแพ้อันน่าอนาถ กระทั่งว่าไม่อาจต่อต้าน หรือลากถ่วงทัพศัตรูที่รุกไล่เข้ามา

ไม่ใช่เพียงแค่โจวซานที่คิดว่าเรื่องเกินคาดหมาย กระทั่งผู้บัญชาการกองทัพประจำการเช่นหลี่เต๋อหมิง ก็ยังไม่คาดคิดถึงสถานการณ์นี้เช่นเดียวกัน