บทที่ 173 สงสัย

บทที่ 173 สงสัย

“เจ้าคืออู๋ฝานหรือ?” หลังฟังรายงานของโจวซาน หลี่เต๋อหมิงจึงหันมองยังอีกฝ่าย

ในรายงานของโจวซาน อู๋ฝานที่เผชิญอุบัติเหตุไม่คาดฝันสองครั้งแสดงศักยภาพของคณะขนส่งเสบียงออกมาได้ดี จึงเป็นเหตุให้หลี่เต๋อหมิงเกิดสนใจในตัวชายหนุ่ม

“เป็นข้าน้อยเองขอรับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับ

“สนใจเข้าร่วมหน่วยของข้าหรือไม่?” หลี่เต๋อหมิงเอ่ยถาม

ทหารใกล้เคียงบางคนมองอู๋ฝานอย่างนึกอิจฉา จากมุมมองของพวกเขา หน่วยของหลี่เต๋อหมิงคือกองทัพประจำการ สถานะย่อมต้องดีกว่ากองทัพสำรองดังเช่นที่เคยเป็นอยู่ อีกทั้งเพราะอีกฝ่ายให้ความสนใจ ภายหน้าชายหนุ่มจะยิ่งก้าวหน้าได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ทุกคนต่างคิดว่าอู๋ฝานจะตอบรับอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้ใดกันจะคาดคิดว่าหลังอู๋ฝานฟังเขากลับส่ายศีรษะเป็นการปฏิเสธ “ขอบคุณขุนพลหลี่มากขอรับ แต่ข้าน้อยยังไม่มีความคิดเป็นทหาร หลังรับใช้กองทัพครั้งนี้ ข้าน้อยอยากกลับไปเป็นชาวไร่ชาวนาต่อขอรับ”

ตอนที่ทุกคนได้ยินคำของชายหนุ่ม พวกเขาต่างประหลาดใจ โดยเฉพาะบรรดาทหารข้างกายหลี่เต๋อหมิง ที่เวลานี้มองอู๋ฝานด้วยสีหน้าราวพบเจอสิ่งน่าอัศจรรย์

หลี่เต๋อหมิงออกปากชวนด้วยตนเอง จะมีกี่คนกันที่ได้รับการดูแลระดับนี้ แต่แล้วอีกฝ่ายก็ยังปฏิเสธอย่างนั้นหรือ?

กระทั่งหลี่เต๋อหมิงเองยังประหลาดใจอยู่พอสมควร เพียงแต่เขามีความสนใจต่ออู๋ฝานเล็กน้อยเท่านั้น มิใช่หมายความถึงต้องคว้ามาอยู่เสียให้ได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินคำของอีกฝ่าย เขาจึงไม่คิดบีบบังคับ เพียงแค่พยักหน้ารับ และไม่มองชายหนุ่มอีกต่อไป แต่หันไปมองโจวซานและเอ่ยคำ “เชลยที่อยู่ด้านหลังให้ไปเป็นกุลีแรงงาน ส่วนผู้นำของพวกมันอย่างหยางจื้อหู่ จะส่งคนนำตัวมันกลับไป ความดีความชอบของเจ้าจะได้รับการยืนยันโดยราชสำนักอย่างแน่นอน”

“ขอบคุณขุนพลหลี่ขอรับ”

หลี่เต๋อหมิงพยักหน้ารับ ก่อนจะจากไปพร้อมกลุ่มคน

เชลยศึกต่างเริ่มขนย้ายเสบียง สำหรับพวกเขา การเป็นกุลีแรงงานก็อาจไม่ใช่เรื่องแย่ อย่างน้อยก็มีอาหารให้กิน ไม่ใช่หิวโซจนตกตาย

ส่วนคนของค่ายวิหค พวกเขาจะอยู่ที่นี่อีกหนึ่งวัน และวันรุ่งขึ้นก็จะเดินทางกลับ

หลังหลี่เต๋อหมิงและกลุ่มคนกลับไป โจวซานจึงบอกให้คนของค่ายวิหคแยกย้าย โดยขอให้อู๋ฝานอยู่ต่อ

“อู๋ฝาน เหตุใดปฏิเสธข้อเสนอของขุนพลหลี่? ขุนพลหลี่ไม่ใช่คนอย่างอวี่เฟย การติดตามขุนพลหลี่ เจ้าจะไม่เพียงได้เข้าร่วมกองทัพประจำการ แต่อนาคตย่อมต้องได้รับการดูแลอย่างดี” โจวซานกล่าวคำเหล่านี้กับอู๋ฝานด้วยอาการค่อนข้างร้อนใจ

โจวซานคาดหวังให้อู๋ฝานได้เข้าร่วมกองทัพประจำการ ทั้งเขายังรู้สึกว่ามีเพียงทางนี้จึงจะแสดงพรสวรรค์อันแท้จริงของอีกฝ่ายออกมาได้ หากกลับไปทำไร่ทำนานั้น มีแต่เรื่องน่าเสียดาย

ได้ยินคำพูดของโจวซาน อู๋ฝานจึงยิ้มตอบรับ “ข้าไม่อยากเป็นนี่ขอรับ ทำไร่เหมาะสมกับข้ามากกว่าเสียอีก”

ร้านอาหารในโลกความเป็นจริงใกล้จะเปิดกิจการแล้ว แม้ว่ายังใช้วัตถุดิบธรรมดาได้อยู่ แต่อู๋ฝานต้องการทำให้ร้านของตนเองมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ หรืออาจจะทั่วโลก ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าวัตถุดิบธรรมดาไม่เพียงพอ เขาต้องการวัตถุดิบจากโลกนี้ค่อนข้างมาก

แน่นอนว่าอู๋ฝานสามารถใช้เงินซื้อหามาได้ แต่ในความเป็นจริง ตัวเขาที่นี่ไม่ได้มีเงินมากมายนัก และยังติดเงินหัวหน้าหมู่บ้านอยู่อีกมาก ดังนั้นทำไร่ทำนาด้วยตนเองจึงดูเหมาะสมกว่า

นอกจากนี้ เมื่อใดที่กลายเป็นกองทัพประจำการ เมื่อนั้นก็จะสูญเสียอิสระ ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนภายในค่าย มันจะเป็นเรื่องยากที่จะออกไปล่ามอนสเตอร์และตามหาสมบัติ เพราะอู๋ฝานมีความฝันอันยิ่งใหญ่อย่างการออกสำรวจโลกทางฝั่งนี้

“เจ้านี่นะ” โจวซานถอนหายใจ เขาเองก็ได้เห็นว่าอู๋ฝานอยากกลับไปทำไร่ทำนาอย่างแรงกล้า ไม่ใช่มาอยู่ที่ค่ายทหารเช่นนี้

ชายหนุ่มยิ้มตอบรับโดยไม่ใส่ใจ

อู๋ฝานเดิมมีแผนไปสำรวจรอบด้านของค่าย แต่พวกเขากองทัพสำรองไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับมากนัก ทหารรักษาการณ์ในค่ายแจ้งพวกเขาอย่างชัดเจนว่าห้ามเดินเพ่นพ่าน และช่วงค่ำต้องอยู่ภายในค่ายตลอด

“หัวหน้า เมืองที่พวกคนจากโลกอสูรสร้างขึ้นอยู่ตรงไหนหรือขอรับ?” หนิวเอ้อที่อยู่ข้างกายอู๋ฝานถามขึ้น “ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยได้เห็นคนของโลกอสูรเลย เรื่องกฎการปกครอง ผิว สีเลือด หน้าตาหรือท่าทีความดุร้าย กระทั่งมีสามเศียนหกกร ข้าเองก็ไม่ทราบเลยว่าเรื่องใดเป็นจริงบ้าง”

ตอนนี้เองที่ทุกคนซึ่งอยู่ภายในค่ายมองไปยังเมืองที่อยู่ไกลห่าง เมืองดังกล่าวสร้างขึ้นโดยชาวโลกอสูร และยังกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีของประเทศข้างเคียงจากโลกมนุษย์

“เจ้าสงสัย ก็ลองไปดูสิ” เจิ้งเสี่ยวลิ่วบอกกับหนิวเอ้อ

หนิวเอ้อย่นคอตอบคำกลับ “ข้าไม่ไป”

เห็นได้ชัดว่าเพราะคำบอกเล่าที่เคยได้ยินมาก่อน หนิวเอ้อจึงมองคนของโลกอสูรเป็นพวกดุร้ายจนเกิดความหวาดกลัว

จริง ๆ แล้วอู๋ฝานเองก็ค่อนข้างสงสัยในตัวตนของคนจากโลกอสูรเช่นกัน

สัตว์ที่ติดเชื้อจากพลังงานอสูรจะดุร้ายยิ่งขึ้น ถ้าเช่นนั้นคนของโลกอสูรเองก็สมควรเติบโตมากับสภาพแวดล้อมที่มีพลังงานอสูรใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นจะยิ่งดุร้ายกว่าหรือไม่?

ฟ้าเริ่มมืดลง อู๋ฝานจึงกลับเข้ากระโจมของตนเอง เพื่อกลับสู่โลกความเป็นจริง ขณะที่ในค่ายเองก็เริ่มเงียบเสียงลง คนส่วนใหญ่ต่างไปพักผ่อนกันแล้ว

เพียงแต่ หลี่เต๋อหมิงยังไม่ได้พัก ภายในกระโจมของเขายังคงสว่าง

“ไม่มีข่าวจากคณะขนส่งเสบียงอื่นอีกเลยหรือ?” หลี่เต๋อหมิงเอ่ยถามผู้ช่วย สีหน้าใต้แสงไฟสลัวของเขานั้นยากจะอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้กำลังรู้สึกเช่นไร

“ยกเว้นคณะขนส่งเสบียงจากเทศมณฑลชิงหยวน คณะขนส่งเสบียงอื่นยังไม่มีคณะใดมาถึงเลยขอรับ และไม่มีข่าวคราวใดทั้งสิ้น” ผู้ช่วยตอบกลับ “ดูจากเวลาที่ผ่านมา พวกเขาควรมาถึงกันแล้ว ทั้งยังต้องมีคณะขนส่งเสบียงหลายหน่วยมาถึงก่อนคนของเทศมณฑลชิงหยวนด้วยขอรับ”

มันเป็นเรื่องราวที่หลี่เต๋อหมิงค่อนข้างสับสนและสงสัย

เทศมณฑลชิงหยวนไม่ใช่เมืองที่ใกล้ที่สุด แต่พวกเขากลับมาถึงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่คณะขนส่งเสบียงจากที่อื่นซึ่งอยู่ใกล้กว่ายังมาไม่ถึง เรื่องราวครั้งนี้ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดเจน

“เสบียงจากชิงหยวนจะพอประคองคลังเสบียงของพวกเราไว้ได้นานเท่าใด?” หลี่เต๋อหมิงเอ่ยถาม

“สามวันขอรับ” ผู้ช่วยตอบรับ

“สามวัน” หลี่เต๋อหมิงพึมพำกับตนเอง “บางทีพวกเราควรต้องเตรียมการอื่นเอาไว้แล้ว”

“ท่านขุนพลหมายความถึงอะไรขอรับ?”

“ข้ารู้สึกมาตลอดว่าการขนส่งเสบียงและหญ้าครั้งนี้มันไม่ง่ายเช่นที่คิด” หลี่เต๋อหมิงตอบคำกลับ “ข้าก็หวังว่ามันจะไม่เป็นดังที่คาด หากไม่แล้วจะต้องมีคนถูกตัดศีรษะเป็นแน่!”

ผู้ช่วยตื่นตกใจ เพราะเขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่แผ่พุ่งออกจากกายของหลี่เต๋อหมิง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธจัด!

ขณะออกกำลังกายในช่วงเช้า หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยกับอู๋ฝานถึงเรื่องราวเมื่อคืน

“จะเปิดภัตตาคารเหรอคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ยังคงวางตัวเย็นชาเหมือนเช่นเคย

“ใช่ครับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ คาดว่าคำพูดของเขาเมื่อคืนคงได้รู้กันทั่วทั้งสถาบันแล้ว หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เองก็คงได้ยินมาจากทางใดสักทางหนึ่ง

“เปิดที่ไหนเหรอคะ?”

“ตรงข้ามร้านคัลเลอร์แมนครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

ในฐานะภัตตาคารดังแห่งเจียงโจว คัลเลอร์แมนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เองก็รู้จักเป็นอย่างดีเช่นกัน

หญิงสาวได้ยินคำของอู๋ฝานก็พยักหน้าตอบรับ และไม่พูดอะไรอีก