บทที่ 172 ถึงที่หมายปลายทาง

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 172 ถึงที่หมายปลายทาง

บทที่ 172 ถึงที่หมายปลายทาง

ในช่วงเย็น อู๋ฝานและหลิวอี้เตามาปรากฏตัวอีกครั้งบริเวณถนนหน้ามหาวิทยาลัยเจียงโจว ข้าง ๆ ของทั้งสองคือร้านแผงลอยบาร์บีคิวที่อยู่กับอู๋ฝานมาเกินกว่าหนึ่งเดือน และที่ตรงหน้าร้านแผงลอย ก็มีผู้คนรายล้อมมากมายเป็นปกติ

“ทุกคนครับ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมมาตั้งร้านแผงลอยขายที่นี่แล้ว ดังนั้นคืนนี้ทุกอย่างในร้านลดให้ครึ่งราคาครับ!” หลังอู๋ฝานจัดร้านเสร็จเรียบร้อย จึงตะโกนเสียงดังบอกกับฝูงชน

“อะไรนะ? เถ้าแก่จะไม่ทำบาร์บีคิวแล้วงั้นเหรอ?”

“อาจารย์อู๋จะไปที่ไหนกัน?”

“อาจารย์อู๋ ฉันน่ะปลื้มบาร์บีคิวที่อาจารย์ทำมากเลยนะ ถ้าไม่ทำขายอีกแล้ว อย่างนั้นฉันจะไปกินอะไรกันล่ะ?”

ผู้คนรอบด้านต่างตอบสนองกันอย่างเผ็ดร้อน เพราะไม่คาดคิดกับคำพูดอย่างกะทันหันของอู๋ฝาน

คนเหล่านี้ต่างเป็นลูกค้าขาประจำของอู๋ฝาน พวกเขามักจะมาทานบาร์บีคิวที่นี่ ถ้าต้องไปทานอาหารที่ร้านอย่างจริงจัง ก็รู้สึกว่ามันน่าอึดอัด ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้อู๋ฝานเลิกขาย

“ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ” อู๋ฝานเอ่ยขอโทษอย่างเป็นทางการ “ผมมีแผนจะเปิดร้านอาหารในอีกไม่กี่วัน ดังนั้นจากนี้ไปคงไม่มีโอกาสได้มาขายบาร์บีคิวที่นี่อีกแล้วล่ะครับ”

“อาจารย์อู๋จะเปิดร้าน? น่าทึ่งแล้วสิ”

“อาจารย์อู๋จะเปิดร้านอาหารที่ไหนเหรอ? ถ้ามีโอกาส พวกเราจะไปอุดหนุนแน่นอน”

“เถ้าแก่ทำบาร์บีคิวยังดีขนาดนี้ ถ้าไม่ได้เปิดร้านอาหารคงเป็นเรื่องแปลก ไว้ฉันจะไปอุดหนุนร้านของเถ้าแก่อย่างแน่นอน”

ตอนที่ทุกคนได้ยินว่าอู๋ฝานกำลังจะเปิดภัตตาคาร หลายคนต่างแสดงความยินดีแก่เขา ลูกค้าหลายคนที่นี่ต่างก็เป็นนักเรียนนักศึกษามหาวิทยาลัยเจียงโจว หลายคนเคยเป็นลูกค้าตั้งแต่สมัยร้านแผงลอยบาร์บีคิวยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ขณะนี้กิจการดีมากขึ้นจนเรียกได้ว่าเป็นที่นิยม เมื่อได้ทราบว่าอู๋ฝานกำลังจะก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง พวกเขาจึงร่วมยินดีกับอีกฝ่ายจากใจจริง

ค่ำคืนของวันนี้ ร้านของอู๋ฝานมีกิจการร้อนแรงไม่ธรรมดา หนึ่งเพราะลดราคาจนถูก อีกหนึ่งก็เพราะทุกคนทราบกันแล้วว่าอีกฝ่ายจะเลิกขายบาร์บีคิว วันนี้ถือเป็นโอกาสสุดท้าย หากว่าพลาดวันนี้ ในอนาคตก็ไม่มีโอกาสได้ทานบาร์บีคิวของอู๋ฝานอีกต่อไปแล้ว จึงเป็นเหตุให้หลายคนที่ไม่ได้มีแผนจะทานบาร์บีคิวในวันนี้แต่แรก เปลี่ยนใจอย่างกะทันหันกันไม่ใช่น้อย

อู๋ฝานและหลิวอี้เตาต่างยุ่งหน้าเตาปิ้งย่างจนกระทั่งถึงช่วงดึกอีกครั้ง หลังวัตถุดิบที่เตรียมขายออกหมดสิ้น จึงเป็นเวลาที่คนทั้งสองจะต้องเดินทางกลับ

ยามค่ำคืนในโลกแห่งเกม อู๋ฝานกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนรถม้าบรรทุกด้วยเสบียง สายตาเหม่อมองฟ้าอย่างไร้จุดหมาย

ฟากฟ้าเป็นสีคราม อากาศสดชื่น และไร้ซึ่งภัยคุกคามอันตรายใด การเงยหน้ามองฟ้า มากพอจะทำให้เกิดอาการเหม่อลอยขึ้นมาได้ทีเดียว

แม้อู๋ฝานผ่อนคลาย แต่การเดินทางอันน่าเบื่อนี้ก็มาถึงจุดสิ้นสุด

เพราะพวกเขากำลังใกล้จะถึงที่หมายปลายทางแล้ว

ในช่วงบ่าย ขณะนั่งด้านบนรถม้าบรรทุกลาก อู๋ฝานได้เห็นกระโจมสีขาวตั้งอยู่ไกล ๆ พวกมันเชื่อมโยงร้อยเรียงต่อกัน ประหนึ่งเป็นหย่อมหิมะบนผืนหญ้า

“ในที่สุดก็ถึงสักที” อู๋ฝานพูด พลางกระโดดลงจากรถลาก

พวกเขามาส่งเสบียงได้ทันภายในเวลาที่กำหนด ดังนั้นถือได้ว่าภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว

“ใครกัน” ขณะอู๋ฝานเข้าใกล้ค่ายทหาร พวกเขาพลันถูกเรียกหยุดเอาไว้โดยกลุ่มทหารรักษาการณ์

กลุ่มทหารเหล่านี้สวมใส่ชุดธรรมดา ในมือถือหอกด้ามยาวเอาไว้ จัดเรียงแถวเป็นรูปขบวนอย่างสวยงาม สีหน้าท่าทีขึงขังจริงจัง แตกต่างจากพรรคพวกทางฝั่งค่ายวิหคของอู๋ฝาน ไม่ว่าใครมองก็บอกได้ว่าฝ่ายใดเป็นกองทัพประจำการ ฝ่ายใดเป็นกองทัพจับฉ่าย

“พวกเรามาจากค่ายวิหค ขณะนี้คุ้มกันเสบียงและหญ้ามาส่ง” โจวซานลงจากหลังม้าพร้อมกล่าวบอกกับอีกฝ่าย

ทหารที่ออกหน้าเอ่ยคำถามพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหันสายตาบอกทางด้านหลัง ถัดจากนั้นกลุ่มคนด้านหลังของเขาจึงเริ่มเข้าตรวจสอบรถบรรทุกลากของพวกอู๋ฝาน ขณะเดียวกันผู้นำกลุ่มทหารก็รับป้ายยืนยันตัวตนของโจวซานไป

“หัวหน้ากองพันค่ายวิหค? ผู้บังคับบัญชาไปไหนกัน?” แม้ผู้นำกลุ่มทหารเหล่านี้จะเป็นเพียงหัวหน้าหน่วยทหารประจำการ แต่ในใจเวลานี้ ยามเผชิญหน้ากับกองทัพสำรองที่คุ้มกันเสบียงและหญ้ามาส่งก็รู้สึกเหนือกว่า ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับโจวซานจึงไม่มีท่าทีกระวนกระวายใด กระทั่งรู้สึกว่าเป็นผู้บังคับบัญชาพบผู้ใต้บังคับบัญชาเสียด้วยซ้ำ

“ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุขึ้น ขุนพลของพวกเราตายระหว่างทาง ข้าจะอธิบายรายละเอียดเรื่องราวแก่ขุนพลหลี่ในภายหลัง” โจวซานตอบกลับ

หัวหน้าหน่วยเห็นกลุ่มคนตรงหน้าผ่านการตรวจค้นรถม้าบรรทุกลากโดยไร้ซึ่งปัญหา จึงปล่อยค่ายวิหคเดินทางเข้าไปต่อ

อู๋ฝานติดตามกองกำลังหลักมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ได้เข้าสู่พื้นที่ค่ายอย่างเป็นทางการ

ภายในค่าย มีกลุ่มทหารคอยลาดตระเวนไปมา พวกเขาค่อนข้างจริงจังและตั้งใจ อู๋ฝานรู้สึกได้ว่าพวกเขาแผ่รังสีอำมหิตออกมา

“กองทัพประจำการช่างแตกต่างกับกองทัพจับฉ่ายเสียจริง” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตนเอง

แม้ว่ากองพันที่สามของพวกเขาได้ผ่านการฝึกซ้อมคร่าว ๆ ก่อนจะออกเดินทางจากเทศมณฑลชิงหยวนมาบ้างแล้ว แต่ก็ได้เห็นชัดว่าเมื่อเทียบกับกองทัพประจำการมีความแตกต่างทางการฝึกซ้อมเช่นไร เมื่อนำมาเปรียบกัน กองพันที่สามและกองพันอื่นก็แทบไม่มีความแตกต่างเสียด้วยซ้ำ

ขณะที่อู๋ฝานคร่ำครวญกับความจริงจังเกินปกติของเหล่าทหารประจำการ กลุ่มคนที่อยู่ห่างจากบริเวณนี้ก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ทหารที่เจอระหว่างทางต่างทำความเคารพแก่คนกลุ่มนี้

สมควรเป็นคนใหญ่คนโต

กลุ่มคนที่มุ่งตรงมายังฝั่งของอู๋ฝาน ฝีเท้าของพวกเขาค่อนข้างรวดเร็ว

“เสบียงและหญ้านำมาส่งแล้วงั้นหรือ? มีปริมาณเท่าไหร่? แล้วมาจากที่ไหน?” ทันทีที่คนกลุ่มนั้นเข้าใกล้พวกอู๋ฝาน ผู้นำของกลุ่มก็เร่งร้อนเอ่ยคำถามรัวออกมา

“แจ้งขุนพลหลี่ พวกเรามาจากเทศมณฑลชิงหยวน นำรถบรรทุกเสบียงและหญ้ามาหนึ่งร้อยยี่สิบคันรถ ระหว่างทางไม่มีคันใดสูญหายขอรับ” โจวซานก้าวตรงออกไปรายงาน

“แค่นี้งั้นหรือ?” อีกฝ่ายตอบรับด้วยความผิดหวัง ถัดจากนั้นจึงมองโจวซานก่อนจะเอ่ยถาม “รู้จักข้าด้วยหรือ?”

“ครั้งยังอยู่กองทัพเฟยสยง ข้ามีโอกาสได้พบขุนพลหลี่หลายครั้งขอรับ” โจวซานตอบรับ

“อ้อ นึกออกแล้ว เจ้าเป็นผู้นำของกองทัพเฟยสยง แต่เหตุใดมาอยู่หน่วยคุ้มกันขนส่งเสบียงและหญ้ากันเล่า?” ขุนพลหลี่ตอบรับ

ขุนพลหลี่คนนี้ ย่อมเป็นหลี่เต๋อหมิง ผู้บัญชาการของค่ายทหารแห่งนี้

ระหว่างที่เวลาผ่านพ้นไปนั้น หลี่เต๋อหมิงกังวลเรื่องเสบียงและหญ้ามาโดยตลอด เมื่อเห็นเสบียงและหญ้าในค่ายเริ่มลดน้อยลงทุกวัน จนกระทั่งเกือบหมดสิ้น หลี่เต๋อหมิงก็ยิ่งร้อนรน มันทำให้เขาร้อนใจสบถว่ามีหน่วยขนส่งเสบียงมากมาย แต่ไฉนยังเดินทางมาไม่ถึง ครั้นเสบียงอาหารในค่ายแห้งเหือด แต่หน่วยขนส่งเสบียงยังมาไม่ถึง ตอนนั้นพวกเขาจะล้มลงแตกพ่ายโดยไม่ต้องรอฝ่ายโลกอสูรบุกมาโจมตีเสียด้วยซ้ำ

และตอนนี้ ในที่สุดหน่วยขนส่งเสบียงก็มาถึงที่หมาย หลี่เต๋อหมิงจึงไม่อาจอดใจรอ เร่งร้อนออกมาชมด้วยตนเอง

หลี่เต๋อหมิงไม่นึกมาก่อนว่าจะได้พบเจอคนรู้จักในหน่วยขนส่งเสบียงเช่นนี้ได้

แท้จริงแล้วจะเรียกว่าคนรู้จักก็ไม่ถูกต้อง เพราะความสัมพันธ์มีเพียงการพบหน้ากันมาครั้งหนึ่ง ขณะที่อีกฝ่ายฝากความประทับใจเอาไว้ จึงทำให้เขาจดจำได้

“ข้าน้อยไม่ได้เป็นผู้นำกองทัพเฟยสยงอีกต่อไปแล้วขอรับ แต่เป็นผู้นำกองพันที่สามแห่งค่ายวิหค” โจวซานตอบรับ

หลี่เต๋อหมิงพยักหน้าตอบรับ ถัดจากนั้นจึงหันมองกลุ่มทหารทัพกบฏในหน่วยพลางถาม “เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกัน?”

“ขุนพลหลี่ ข้ากำลังจะรายงานเรื่องนี้อยู่พอดีขอรับ” โจวซานตอบรับ

ถัดจากนั้น โจวซานจึงรายงานถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทาง โดยแจ้งรายละเอียดอย่างครบถ้วน