บทที่ 132 ไปผับเป็นครั้งแรก

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 132 ไปผับเป็นครั้งแรก

ในขณะนี้ มู่เซิ่งกำลังเดินอย่างใจจดใจจ่อในลิฟต์ เขารู้สึกเสียใจด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงขึ้นลิฟต์มา ถ้าเขาขึ้นบันได คงถึงไปนานแล้ว

เวลาราวกับถูกยืดออกไปให้นานขึ้น

ในที่สุดลิฟต์ก็ถึงชั้นที่เป็นห้องทำงานของเจียงหว่าน มู่เซิ่งผลักประตูเข้าไป อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

เขาเห็นแค่เจียงหว่านนั่งอยู่ที่เก้าอี้ พิงกับหน้าต่าง สองขาของเธอพับเข้าหากัน สองมือรัดเข่าทั้งสองข้างไว้ ด้วยสายตาล่องลอยไร้ชีวิตชีวา สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทำให้มู่เซิ่งรู้สึกหวั่นไหวไม่น้อย

“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”มู่เซิ่งเดินเข้าไปถาม

เจียงหว่านค่อยๆหันกลับมา เป็นไปตามคาด สีหน้าของเธอมีร่องรอยของน้ำตา ดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยทำให้มู่เซิ่งรู้สึกสงสัยจับใจ เธอเช็ดคราบน้ำตา แล้วพูดบ่นอุบอิบ“คุณมาได้ยังไง”

“ขอโทษนะครับ ที่มาช้า”มู่เซิ่งเดินไปข้างๆของเจียงหว่าน แล้วยื่นกระดาษทิชชูส่งให้อย่างอ่อนโยน

เจียงหว่านไม่ได้รับไว้ หัวของเธอฟุบลงบนโต๊ะอย่างอ่อนแรง มองออกไปนอกหน้าต่างในตอนกลางคืน แล้วพูดช้าๆ“มู่เซิ่ง ฉันเหนื่อยมากเลย……”

ดวงตาของเธอแดงก่ำ และยังมีเส้นเลือด เรื่องของตระกูลเจียง บวกกับปัญหาเล็กๆน้อยๆที่ไม่รู้จบในสถานที่ก่อสร้าง ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ

มู่เซิ่งนั่งลงข้างๆของมู่เซิ่ง ไม่ได้พูดอะไร เขาดูออก ในฐานะของหญิงแกร่งคนหนึ่ง เธอต้องแบกรับสิ่งต่างๆมากมายด้วยตัวคนเดียว

“มีฉันคอยอยู่ข้างๆ”มู่เซิ่งพูดอย่างอ่อนโยน

“มู่เซิ่ง ถ้าฉันยอมแพ้ นายจะอยู่ต่อไปได้ไหม?”เจียงหว่านหันกลับมาถาม

มู่เซิ่งตกตะลึง แล้วค่อยๆพยักหน้า“แน่นอนสิครับ”

เจียงหว่านเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ปล่อยวาง

เป็นไปตามคาด

ในช่วงเวลาแห่งการอยู่ร่วมกัน แม้ว่าเธอจะไม่พบตัวตนที่แท้จริงของมู่เซิ่ง แต่เธอก็รู้ว่ามู่เซิ่งต้องไม่ใช่คนธรรมดา

“แต่ทว่า ถ้าฉันยอมแพ้ตอนนี้ นายจะดูถูกฉันไหม?”เจียงหว่านหมุดหัวไประหว่างขา แล้วพูดเสียงเล็กๆ

“จะเป็นไปได้ยังไง ฉันเข้าใจเธอนะ ถ้าเธออยากยอมแพ้ ฉันก็พร้อมสนับสนุนคุณ”มู่เซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

อคติของมนุษย์เหมือนภูเขา ไม่ว่าคุณพยายามมากแค่ไหน คุณก็จะไม่มีวันย้ายได้ มู่เซิ่งเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิงมาสามปี ถูกชี้หน้าด่ากราดมาตลอดสามปี เขาผ่านความเจ็บปวดพวกนี้มาได้ ถึงสามารถเข้าใจความรู้สึกของเจียงหว่านในตอนนี้

“แต่ว่า เจียงมู่หลงโทรมา ไม่เพียงแต่จะเอาเงินทุนของฉันไป ถ้าฉันถูกแย่งไป เกรงว่าบริษัทของฉันก็ยากจะอยู่ต่อไปได้”เจียงหว่านน้ำตาไหลพราก

อีกทั้ง เธอก็รู้ดี

ถ้าถูกเจียงมู่หลงแย่งเอาทุกอย่างไป เกรงว่าต่อไป เธอจะเป็นเหมือนมู่เซิ่ง ถูกไล่ออกจากตระกูลเจียง

“เธอทำดีมากพอแล้วครับ ต่อไป ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”มู่เซิ่งกอดเจียงหว่านเอาไว้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยน

“แต่นาย ในสายตาตาของพวกเขา เป็นแค่เขยที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิงคนหนึ่ง……”เจียงหว่านหันกลับมาจ้องมองไปที่มู่เซิ่ง แล้วพูดอย่างจริงจัง“มาวันนี้เจียงมู่หลงกลายเป็นผู้นำของตระกูลเจียงแล้ว ฉันทำอะไรไม่ได้เลย มู่เซิ่ง นายจะทำได้จริงๆหรอคะ?”

“เชื่อฉันสิ”มู่เซิ่งพยักหน้า

คำคุ้นเคยสามคำนี้ ราวกับลูกศรแหลมคม แทงทะลุเข้ามาในหัวใจของเจียงหว่าน เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป กอดมู่เซิ่งแล้วสะอื้นไห้“แต่ว่า ก่อนหน้านี้ที่ฉันด่านายไป ด่าคำหยาบที่ไม่น่าฟัง ฉันยังรู้สึกสงสารนาย……”

มู่เซิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจ เจียงหว่านในเมื่อก่อน ดูถูกดูแคลนเขาจริงๆ ตอนหน้านี้เขาคิดว่า หลังจากสิ้นสุดสัญญาสามปี จะเดินออกจากชีวิตเธอไป แต่เมื่อผ่านการทำความรู้จักกันมาหลายเดือน เขาก็มองหญิงแกร่งที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนไปมาก

หลายปีนี้ ถ้าไม่ใช่การยืนหยัดของเจียงหว่าน เกรงว่าเขาคงไม่มีปัญญาแม้แต่จะกินข้าว ผู้หญิงคนนี้ ต้องทนแบกรับเพื่อเขา ในที่ที่เขาไม่สามารถมองเห็น

“อุปสรรคเป็นแค่การเติบโตอย่างหนึ่ง เจียงหว่าน เชื่อฉันนะ มีฉันอยู่ด้วย ฉันสาบานว่าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเธอได้”

เจียงหว่านเงยหน้าขึ้น มองไปที่มู่เซิ่งด้วยน้ำตานองหน้า ท่านสามตายแล้ว เจียงมู่หลงกลายเป็นเจ้าบ้าน แม่ของเธอบังคับให้เธอแต่งงานกับจางเหวินเจี๋ย เธอไม่รู้ว่าทำไมในเวลามู่เซิ่ง ถึงยังสามารถรักษาความสงบนิ่งนี้ไว้ได้

แต่ว่า

หลังจากที่ได้ยินประโยคที่ว่ามีปมอยู่ด้วย ความกังวลในใจของเจียงหว่าน ก็มลายหายไปจนสิ้น

ถึงเจียงมู่หลงจะเดินมาอยู่ต่อหน้าเขา บอกว่าเธอถูกไล่ออกจากตระกูลเจียง เธอก็ไม่เป็นกังวลแล้ว

เพราะว่า

มีมู่เซิ่งอยู่ด้วย

ก็เพียงพอแล้ว

พอคิดไปคิดมา หัวใจของเจียงหว่านอบอุ่นขึ้นมา อดที่จะขำ‘พรืด’ออกมาไม่ได้

“ดูสภาพเธอสิ กลับบ้านกินข้าวกันเถอะ”มู่เซิ่งพูดอย่างยิ้มๆ“ช่วงนี้คุณลำบากเกินไปแล้วนะ ไม่ต้องไปบริษัทแล้ว คืนนี้ฉันจะไปผับเป็นเพื่อนเธอแล้วกันไปผ่อนคลายสักหน่อย”

“อืม”

เจียงหว่านพยักหน้า

จนถึงวินาทีนี้ เธอถึงพึ่งพบว่า ตนยังคงมีความสุขอยู่ เพราะมู่เซิ่งอยู่ข้างกายของเธอ เป็นเทพคอยพิทักษ์ตัวเธอ

“มู่เซิ่ง กลับบ้านกัน”เจียงหว่านอ้าแขนออก ไม่รอให้มู่เซิ่งขยับ ก็รีบคล้องขอของเขาเอาไว้

ทั้งสองคนกล้าบ้าน กินอาหารมื้อค่ำกัน

เจียงหว่านมาถึงบาร์แห่งหนึ่ง ภายใต้การนำพาของเจียงหว่าน

ภายในบาร์มีเสียงดนตรีดังอึกทึกครึกโครม ผู้ชายและผู้หญิงพากันบิด และเคลื่อนไหวร่างกายไปมาในบาร์ เผยให้เห็นแขนและขาอ่อนสีขาวโพลน หากเป็นการล่าสัตว์ และความงามเพริศพริ้ง ที่นี่เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

มู่เซิ่งกับเจียงหว่านทั้งสองคนเดินมายังสถานที่ที่ค่อนข้างเงียบ นั่งดื่มเหล้ากัน

บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศของฉากนั้น ทำให้ใบหน้าของเจียงหว่านเริ่มแดงระเรื่อ เมื่อฟังเสียงดนตรี และดื่มเหล้าค็อกเทล ความเจ็บปวดในห้องทำงานที่เธอมีอยู่ก่อนหน้านี้หายไปในทันที

มู่เซิ่งรู้สึกพอใจที่ได้เห็นภาพนี้ เจียงหว่านเหนื่อยล้ามานานเกินไปแล้ว ถึงเวลาจะต้องผ่อนคลายสักหน่อย

“จางฮุย เรื่องนี้คุณทำถูก งานแถลงข่าวในวันพรุ่งนี้ คุณเตรียมสคริปต์ไว้แล้วใช่ไหม?” ที่ชั้นสอง มีเพียงแค่VIPของไนต์คลับเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปในห้องนี้ได้ มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ ชายหญิงที่นั่งอยู่บนโซฟาก็คือเสิ่นหยิงเซี่ยกับจางฮุย คนที่ขโมยความลับของสปาหรงเหมย

และโซฟาอีกด้าน ก็คืออู๋เยว่ ลูกชายคนเล็กสุดของตระกูลอู๋ ต่างกับอู๋คุนที่เป็นเศรษฐีรุ่นที่สองวันๆไม่ทำอะไร ใช้เงินของตัวเองก่อตั้งสปาเชียนเหยียนขึ้นมา เพียงเพราะพึ่งจะก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ยังไม่มีเงินทุน ดังนั้นจึงถูกสปาหรงเหมยกดขี่

มาวันนี้ อาศัยการขโมยสูตรลับของจางฮุย ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสามารถเอาชนะ ในการแถลงข่าวครั้งนี้ได้!

“แน่นอนว่าเตรียมการมาดีแล้ว ประธานอู๋ครับ ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะแสดงผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ครีมลบรอยแผลเป็นของสปาหรงเหมยลอกเลียนแบบเรา รอจนเสียงความคิดเห็นแตก ถึงเวลานั้น ถึงพวกเขาจะพยายามลบล้างพิสูจน์อย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”

จางฮุยเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“ดี ดีมาก!”

เมื่อนึกถึงว่าสามารถกดขี่บดขยี้สปาหรงเหมยได้ อู๋เยว่ก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ขอแค่เจียงหนานไร้ซึ่งสปาหรงเหมย ถ้าอย่างงั้นเขาก็จะเป็นหนึ่งเดียว ที่ได้กำไรเข้ามาเต็มๆ

ถึงเวลานั้น อนาคตผู้นำของตระกูลอู๋ ก็จะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน

“ประธานอู๋ เจ้าของสปาหรงเหมยเป็นคนที่เคยทำให้ฉันอับอาย คุณจะต้องแก้แค้นให้เรานะคะ”เสิ่นหยิงเซี่ยพูดอยู่ข้างๆ

“เจ้าของสปาหรงเหมย?”

อู๋เยว่ขมวดคิ้ว ตระกูลอู๋มีอิทธิพลใหญ่โตในเจียงหนาน มีอสังหาริมทรัพย์กว้างใหญ่ ถือว่าตระกูลที่มีฐานะร่ำรวย แต่เจ้าของสปาหรงเหมย ได้ยินมาว่าไม่ธรรมดา เหมือนจะเป็นหลิวเจี้ยนหัวหมอเทวดาหลิวที่มาจากเมืองเยียนจิง

ธรรมดาของหมอเทวดา คือเคยรักษาโรคให้คนใหญ่คนโตมามากมาย ขอเพียงแค่ล่วงเกินเขา มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาซึ่งเป็นคนธรรมดาของเจียงหนานจะสามารถแก้ไขได้

“ประธานอู๋ คุณวางใจเถอะ เจ้าของสปาหรงเหมยเปลี่ยนคนไปนานแล้วครับ”จางฮุยพูดอย่างเย็นชา

“เปลี่ยนคนแล้ว?เป็นใคร?”อู๋เยว่ถาม

“มู่เซิ่ง ไอ้ไร้ประโยชน์จากตระกูลเจียงนั่น!ผมได้ข่าวมาว่าเขากับหลิวเจี้ยนหัวรู้จักกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะยกสปาหรงเหมยให้กับมัน”จางฮุยกล่าว

น้ำเสียงของเต็มไปด้วยความอิจฉา นั่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่าหลายพันล้านเชียวนะ

“ใช่ค่ะประธานอู๋ ไอ้เศษสวะของเจียงหนาน คุณไม่น่าจะจัดการไม่ได้หรอกมั้งคะ?”เสิ่นหยิงเซี่ยจงใจใส่ไฟ

“คุณหมายความว่าไง คุณดูถูกผมหรอ?”

อู๋เยว่ขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินคำนี้ จู่ๆก็เริ่มรู้สึกมีน้ำโห