ตอนที่ 144 หลี่หมิงเฉิงโดนโกง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 144 หลี่หมิงเฉิงโดนโกง

ก่อนที่หลินม่ายจะกลับมา ชายชนบทหน้าตาธรรมดาในวัยสี่สิบกว่าคนหนึ่ง ได้วางถุงข้าวสองถุงไว้ในตะกร้าจักรยานแล้วปั่นมาที่ร้านของหลินม่าย

ชายวัยกลางคนคนนั้นขี่จักรยานมาจอดหน้าร้าน แล้วพูดกับหลี่หมิงเฉิงว่า หลินม่ายฝากซื้อข้าวสองถุงจากเขาและขอให้เอามาส่งที่นี่

ทั้งยังบอกอีกว่าเธอกำลังยุ่งอยู่ จึงยังไม่ได้จ่ายเงินสำหรับข้าวจำนวนหนึ่งร้อยชั่งนี้

หลี่หมิงเฉิงไม่ได้ฉุกคิดเรื่องนี้ เขาจ่ายเงินสำหรับข้าวหนึ่งร้อยชั่งให้ชายวัยกลางคนไปแล้ว โดยที่โจวฉายอวิ๋นห้ามเอาไว้ไม่ทัน

ทันทีที่ชายวัยกลางคนส่งข้าวเสร็จก็จากไป โจวฉายอวิ๋นรีบเปิดถุงข้าวสองถุงดูทันที ก่อนพบว่าข้าวพวกนี้เป็นข้าวเก่าที่ขึ้นรา

ต่อให้จะเอาข้าวพวกนี้ไปโปรยให้นกกิน นกพวกนั้นก็คงไม่พ้นป่วยตายอยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับคน!

โจวฉายอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะตำหนิหลี่หมิงเฉิง “นายหลงเชื่อผู้ชายคนนั้นง่ายเกินไป ไม่รู้เหรอว่าหลินม่ายเป็นคนยังไง อย่างหล่อนเนี่ยนะจะซื้อข้าวโดยไม่จ่ายเงินทันที? ไม่ว่าธุระจะยุ่งแค่ไหนหล่อนก็ต้องจ่ายเงินทุกครั้ง ถ้าหล่อนอยากซื้อข้าวจริง ๆ แล้วมีความจำเป็นอะไรต้องขอให้คนเอาข้าวมาส่งถึงหน้าประตูบ้าน? หล่อนมีรถแทรกเตอร์นะ ซื้อข้าวแล้วขนขึ้นรถกลับมาเองได้! อีกอย่างข้าวสารที่บ้านยังไม่หมดเลย ต่อให้หมดแล้วก็จะกลับไปซื้อจากชนบทด้วยตัวเองทุกครั้ง ไม่คิดเลยว่านายจะเผยช่องโหว่มากมายขนาดนี้!“

หลี่หมิงเฉิงรู้สึกละอายใจ “ฉันไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นพูดโกหกนี่นา ปกติฉันก็ไม่ใช่คนที่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ใครจะไปคิดว่าเขาจะโกงเงินกันแบบนี้!”

โจวฉายอวิ๋นรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าความคิดของเขาไม่รอบคอบพอ และช่างสังเกตน้อยเกินไป “ถึงฉันจะเป็นคนใจดี แต่ใช่ว่าจะมองไม่ออกว่าใครตั้งใจมาโกง! ก่อนที่นายจะจ่ายเงินอย่างน้อยก็ต้องตรวจสอบของก่อนสิ ยังไม่ทันตรวจดูของด้วยซ้ำ นายกลับจ่ายเงินให้เขาไปแล้ว!“

หลินม่ายรู้สึกว่าหลี่หมิงเฉิงประมาทเกินไป แบบนี้ถึงถูกหลอกลวงได้ง่าย ดังนั้นเธอจึงอยากแนะนำอะไรกับเขาสักสองสามคำ

แต่เมื่อเห็นว่าโจวฉายอวิ๋นต่อว่าอีกฝ่ายเสียจนเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเลย ถ้าตอกย้ำซ้ำไปอีกคงไม่ดี ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “คราวหน้าคราวหลังนายก็ระวังให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน”

หลี่หมิงเฉิงตอบเสียงเบา “ฉันจะจ่ายค่าข้าวคืนให้เอง วันนี้ฉันไม่ขอรับค่าจ้าง”

โจวฉายอวิ๋นพูดอย่างไม่พอใจ “ก็ต้องเป็นแบบนั้นแน่อยู่แล้วน่ะสิ ใครก็ตามที่ทำให้ร้านเกิดความเสียหายจะต้องรับผิดชอบ!”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ฉันปล่อยผ่านให้ก่อนก็ได้ หวังว่าครั้งหน้าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

เธอและหลี่หมิงเฉิงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จึงทำใจร้องขอให้เขาชดใช้ค่าข้าวจำนวนหนึ่งร้อยชั่งไม่ได้

เอาเป็นว่าหลังจากนี้ ถ้าเขาโดนหลอกอีก เธอค่อยจัดการกับเขาอย่างเด็ดขาดก็แล้วกัน

เห็นได้ชัดว่าโจวฉายอวิ๋นไม่เห็นด้วยกับการที่หลินม่ายยอมปล่อยผ่านให้อย่างใจดี หล่อนทำท่าจะพูดอะไรอีกหลายคำ แต่เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างหลินม่ายกับหลี่หมิงเฉิง สุดท้ายก็ปิดปากเงียบไว้

ขณะที่หลินม่ายกำลังเตรียมอาหารกลางวัน โจวฉายอวิ๋นหันมาบอกว่า “เมื่อกลางวันคุณหมอฟางแวะมากินข้าวที่นี่ เอาปลิงทะเลตากแห้งห่อหนึ่งกับหอยเชลล์อีกหนึ่งห่อมาฝากเธอด้วย เขาบอกว่ามันดีต่อสุขภาพ ฉันเอาวางไว้ในตู้แช่แข็ง ไปเลือกดูเองก็แล้วกัน”

หลินม่ายแปลกใจเล็กน้อย “อาหารทะเลตากแห้งไม่จำเป็นต้องเข้าตู้แช่ก็ได้ ถ้าเปียกน้ำมากเกินไปจะเน่าเสียเอา”

โจวฉายอวิ๋นมองด้วยความประหลาดใจ “แทนที่จะห่วงเรื่องนั้น ไม่คิดเรื่องที่คุณหมอฟางเป็นห่วงเธอสักหน่อยเหรอ?”

หลินม่ายสะดุ้งในใจ หล่อนนี่คะยั้นคะยอเก่งจริง ๆ

โจวฉายอวิ๋นเข้าไปดันไหล่เบา ๆ “คุณหมอฟางหวังดีกับเธอขนาดนี้ ทำไมเธอไม่ไปที่ตู้แช่แล้วเอาซี่โครงหมูหรืออะไรสักอย่างออกมาทำอาหารอร่อย ๆ สักสองสามอย่างให้เขาล่ะ เธอต้องตอบแทนเขานะ!”

หลินม่ายทำอาหารหลายเมนู กลางวันนี้เธอทำทั้งเป็ดตุ๋นเบียร์ ซี่โครงหมูยี่หร่า ปลาทรายแดงนึ่ง รวมถึงซุปฟักหอยเชลล์ชามโต

โต้วโต้วปรบมือเมื่อเห็นเมนูอาหาร “อาหารน่าอร่อยจัง วันนี้คุณอาต้องกินอย่างเอร็ดอร่อยมากแน่ ๆ”

หลินม่ายตอบกลับ “แล้วมีวันไหนบ้างที่คุณอาฟางมากินข้าวที่ร้านเราแล้วบ่นว่าไม่อร่อย?”

เจ้าตัวแสบพูดอย่างจริงจัง “ตอนที่แม่ไม่อยู่ไงคะ คุณอาฟางกินข้าวไม่อร่อยเลย เอาแต่ขมวดคิ้ว เหมือนไม่มีความสุขกับอาหารพวกนั้น”

ฟางจั๋วหรานรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที สำลักอาหารตรงหน้าจนน้ำหูน้ำตาไหล

ภายในใจครุ่นคิดว่า เจ้าเด็กแสบเอ๋ย ต่อให้อาจะกินข้าวไม่อร่อยอย่างไร หนูก็ไม่ควรเล่าให้แม่ของหนูฟังแบบนั้น

หลินม่ายหันไปพูดกับฟางจั๋วหราน “รอบหน้าคุณไม่ต้องเอาอาหารทะเลตากแห้งมาฝากฉันแล้วนะคะ เก็บไว้ให้คุณปู่กับคุณย่าดีกว่า หอยเชลล์กับปลิงทะเลเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพคนชรา”

ฟางจั๋วหรานคีบขาเป็ดสองชิ้นจากจานเป็ดตุ๋นเบียร์ให้สองแม่ลูกตามลำดับ “ผมซื้อไว้ให้คุณปู่กับคุณย่าแล้วล่ะ คราวหน้าถ้าคุณกลับชนบทค่อยฝากคุณนำไปให้ วันพรุ่งนี้คุณกลับชนบทไหม?”

หลินม่ายพยักหน้า “กลับค่ะ”

ฟางจั๋วหราน “ถ้าอย่างนั้นตอนที่ผมแวะมากินข้าวมื้อเย็นที่ร้านคุณ จะเอาของที่ว่าติดมือมาด้วยแล้วกัน”

หลินม่ายตอบรับ

ถึงมื้อกลางวันนี้จะมีกับข้าวขึ้นโต๊ะเยอะมาก แต่ด้วยรสชาติที่อร่อย ฟางจั๋วหรานที่อารมณ์ดีจึงเจริญอาหารเป็นพิเศษ

อาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

หลังมื้ออาหารกลางวัน หลังจากล้างจานเสร็จ หลินม่ายก็ขึ้นไปบนห้องชั้นบนเพื่องีบหลับ

วันพรุ่งนี้เธอต้องกลับไปที่ชนบทเพื่อรับซื้อผลไม้มาขายอีกครั้ง ต้องพักผ่อนเอาเรื่องเพื่อเผื่อเวลาไปกลับ

ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ เพราะจิตใจยังคงวนเวียนคิดเกี่ยวกับตึกแถวสามคูหาหลังนั้น

ตอนนี้เธอต้องเสียเงินจ่ายเพียงหนึ่งหมื่นหยวนเพื่อซื้อตึกแถวหลังนั้น แต่ในปี 1990 เธอจะได้รับค่าชดเชยจากการรื้อถอนเป็นจำนวนหลายล้าน

เงินล้านในปี 1990 นั้นมีมูลค่ามากกว่าเงินหนึ่งหมื่นหยวนในตอนนี้ไม่รู้กี่เท่าตัว

ถ้าเธอยังรับพืชผลทางการเกษตรมาขาย ก็จะสามารถสร้างรายได้ครั้งละสองร้อยถึงสามร้อยหยวน ดังนั้นเธอต้องขายพืชผลทางการเกษตรต่อไปอีกประมาณยี่สิบครั้ง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เธอจะมีเงินเก็บทั้งหมดครบหนึ่งหมื่นหยวนพอดี แต่กลัวเหลือเกินว่าถึงเวลานั้นตึกแถวจะถูกขายให้คนอื่นไปเสียก่อน

หลินม่ายพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง คิดแล้วคิดอีกอยู่อย่างนั้น และแล้วก็ผุดความคิดขึ้นมาว่าควรนำกลยุทธ์การต่อรองจากการซื้อบ้านที่หมู่บ้านซานหยางไปใช้ โดยจ่ายค่ามัดจำให้กับเจ้าของก่อนส่วนหนึ่ง

ถ้าเธอเก็บสะสมเงินครบหนึ่งหมื่นหยวนเมื่อไร ตึกแถวหลังนั้นก็จะตกเป็นของฉันทันที

คิดได้ดังนี้แล้วก็ไม่เสียเวลากังวลอีกต่อไป หลินม่ายเด้งตัวลุกขึ้น แล้วออกไปหาคุณลุงเจ้าของบ้านทันที

คุณลุงเจ้าของบ้านยังคงนั่งอยู่ที่เดิม รอคอยให้คนมีฐานะร่ำรวยสักคนผ่านมาซื้อบ้านของเขา

พอเห็นหลินม่ายกลับมาอีกครั้ง เขาก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “คุณยืมเงินคนอื่นมาซื้อบ้านได้แล้วหรือ?”

หลินม่ายได้แต่หัวเราะ “ใครกันจะใจดีให้ฉันยืมเงินตั้งหนึ่งหมื่นหยวน?”

คุณลุงเจ้าของบ้านแสดงความผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าอย่างั้นทำไมคุณถึงมาที่นี่อีกล่ะ?”

หลินม่ายนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัว “ฉันว่าจะมาต่อรองการซื้อขายกับคุณน่ะค่ะ คุณลุงคะ ลองรับฟังแผนการซื้อบ้านของฉันดู แล้วค่อยพิจารณาอีกทีว่าคุณลุงจะยินดีรับข้อเสนอนี้หรือเปล่า”

คุณลุงเจ้าของบ้านตอบรับอย่างไม่คาดหวังนัก “ฉันจะลองฟังดู…”

เมื่อได้ยินหลินม่ายบอกว่าเธอต้องการจ่ายเงินมัดจำให้ก่อนส่วนหนึ่ง เพื่อแลกกับการขอให้เขาเก็บตึกแถวหลังนี้ไว้ให้เป็นเวลาสามเดือน ทันทีที่ครบสามเดือน เธอถึงจะจ่ายเงินซื้อบ้านหลังนี้

คุณลุงเจ้าของโพล่งขึ้นขัดจังหวะเธอเสียก่อน “ถ้าจะให้ผมเก็บบ้านไว้ให้คุณเป็นเวลาสามเดือน แล้วคุณรับประกันได้ไหมล่ะว่าถึงเวลานั้นจะหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายให้ผมได้?”

หลินม่ายคลี่ยิ้ม “ประเด็นอยู่ตรงนี้ค่ะ ถ้าครบกำหนดแล้วฉันยังไม่สามารถหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายให้คุณภายในสามเดือนได้ บ้านหลังนี้ก็จะยังคงเป็นของคุณตามเดิม และคุณสามารถยึดเงินค่ามัดจำส่วนแรกไปได้เลย”

คุณลุงเจ้าของไม่เห็นแก่เงินจำนวนเล็กน้อยนั้น เขาปฏิเสธทันที “ผมอยากขายบ้าน ไม่ได้อยากได้เงินมัดจำอะไรนั่น ถ้าเก็บบ้านไว้ให้คุณเป็นเวลาสามเดือนจริง แล้วระหว่างนั้นมีผู้ซื้อรายอื่นที่มีทุนทรัพย์พร้อมกว่าสนใจซื้อจะทำอย่างไร อีกอย่าง ท้ายที่สุดถ้าคุณหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายไม่ได้ บ้านหลังนี้ก็เสียประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะมีคนสนใจซื้ออีกครั้ง เก็บเมล็ดงาแต่เสียเมล็ดแตงโม(1) สมองของผมไม่ได้มีปัญหานะ!”

ก่อนหน้านี้เฉียนอ้ายกั๋วเคยเสนอทางแก้ปัญหาดังกล่าวให้กับหลินม่าย

แลกกับเงื่อนไขว่า หากผู้ซื้อรายอื่นต้องการซื้อบ้านของเขาในระหว่างนั้น เขาก็จะตัดสินใจขายบ้านให้อีกฝ่ายไปเสีย แล้วคืนเงินมัดจำให้กับเธออย่างเต็มจำนวน

แต่กลยุทธ์การต่อรองนี้กลับใช้ไม่ได้กับคุณลุงเจ้าของบ้านรายนี้

เขาคิดแค่ว่าในเมื่อเธอไม่มีปัญญาซื้อบ้านของเขา เขาจะขายมันให้กับคนอื่นก็ยังได้

ต่างจากบ้านของเฉียนอ้ายกั๋วที่เงียบเหงาไร้คนสนใจซื้อ

บ้านของเขาตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่สามารถขายได้ง่าย ๆ หลินม่ายถึงได้มั่นใจว่าระหว่างนี้เขาคงไม่ขายมันให้คนอื่นอย่างแน่นอน ถึงได้กล้ายอมรับเงื่อนของอีกฝ่าย

ทว่าคุณลุงเจ้าของบ้านคนนี้ ดูท่าแล้วคงไม่ยอมตกลงง่าย ๆ

ถึงราคาขายบ้านหลังนี้ค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับทำเลที่ตั้งและคุณภาพของบ้านแล้วก็นับว่าสมราคา

ตราบใดที่เขาเจอคนที่มีกำลังทรัพย์พร้อมและวิสัยทัศน์ดี เขาสามารถตกลงขายให้กับคนคนนั้นภายในไม่กี่นาทีด้วยซ้ำ

ตึกแถวหลังนี้มีแนวโน้มว่าจะขายออกได้ทุกเมื่อ ถ้าหลินม่ายยอมรับเงื่อนไขให้เขาสามารถขายตึกแถวหลังนี้ให้กับผู้ซื้อรายอื่นได้ภายในระหว่างสามเดือนที่เธอกำลังเก็บเงินล่ะ

ความปรารถนาของเธอจะไม่นับว่าสูญเปล่าหรอกหรือ?

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1)เก็บเมล็ดงาแต่เสียเมล็ดแตงโม ก็คือ ได้ไม่คุ้มเสีย เก็บกอดผลประโยชน์เล็กไว้จนพลาดผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่า

สารจากผู้แปล

คนที่มาโกงนี่ก็เหลือเกินจริงๆ โกงได้ถูกคนมาก

โต้วโต้วหนูชงแรงไปนะคะ พี่หมอสำลักแล้วค่ะ

ไหหม่า(海馬)