ตอนที่ 145 ปัญหาของหลินม่าย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 145 ปัญหาของหลินม่าย

หลินม่ายนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่อีกฟากหนึ่งของถนน “คุณลุงคะ ฉันจะเปิดร้านขายของอยู่ฝั่งตรงข้ามก็แล้วกัน ถ้าภายในสามเดือนฉันไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าบ้านให้คุณได้ คุณสามารถยึดเงินค่ามัดจำทั้งหมดไปได้เลย แล้วฉันจะช่วยคุณประกาศขายบ้านอีกแรงหนึ่ง”

คุณลุงเจ้าของบ้านพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณคิดว่าทำไมผมถึงตัดสินใจขายตึกแถวที่ทำเลดีขนาดนี้กันล่ะ? ก็เพราะลูกชายทั้งสองคนของผมเขาตั้งหลักสร้างครอบครัวอย่างมั่นคงที่ฮ่องกงได้แล้วไง ไม่อย่างนั้นต่อให้ตายผมก็ไม่มีทางขายมรดกตกทอดของบรรพบุรุษอย่างเด็ดขาด คุณบอกว่าถ้าหลังจากครบสามเดือนแล้วหาเงินมาจ่ายค่าบ้านให้ผมไม่ได้ คุณจะช่วยผมประกาศขาย จนถึงป่านนั้นผมคงย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว ไม่อาจรู้ได้ว่าคุณจะฉวยโอกาสนี้ชุบมือเปิบเข้าอยู่เสียเองหรือเปล่า ผมจะปล่อยบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ให้คนแปลกหน้าอย่างคุณช่วยเป็นนายหน้าได้อย่างไร!”

หลินม่ายพูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าของบ้านจะไม่ไว้ใจเธอ

หลังเงียบกันไปสักพัก เธอก็พูดเสียงอ่อน “ฉันอยากซื้อบ้านของคุณจริง ๆ ค่ะ รับประกันได้เลยว่าฉันสามารถหาเงินมาจ่ายให้คุณภายในสามเดือนได้แน่”

คุณลุงเจ้าของไม่อดทนเจรจาอีก ขมวดคิ้วทันที “การรับประกันด้วยวาจาเปล่าประโยชน์! เว้นแต่คุณจะมีเงินพอจ่ายค่ามัดจำให้ผมก่อนจำนวนห้าพันหยวน แบบนั้นผมถึงจะยอมเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้คุณเป็นเวลาสามเดือน!”

หลินม่ายเริ่มพูดจาตะกุกตะกัก “ฉะ ฉันยังไม่มีเงินในมือมากขนาดนั้นหรอกค่ะ”

คุณลุงเจ้าของสะบัดเสียงใส่ “ถ้าไม่มีเงินก็อย่าพูดจาไร้สาระ!”

หลินม่ายจำใจกลับไปที่ร้านด้วยความสิ้นหวัง

โจวฉายอวิ๋นตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพของเธอ “เธอลืมสวมหมวกฟางตอนออกไปข้างนอกใช่ไหม? ไม่กลัวแดดเผาจนดำหรือยังไงกัน?”

หลินม่ายไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “อย่าทำตัวจู้จี้เหมือนเป็นแม่ของฉันไปหน่อยเลยน่า ฉันแค่ข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งเท่านั้นเอง แค่ไม่กี่นาทีแดดคงไม่เผาผิวของฉันจนดำหมดทั้งตัวหรอกน่า”

โจวฉายอวิ๋นพูดเสียงเข้ม “ใครบอกว่าผิวของเธอจะคล้ำภายในไม่กี่นาทีกันล่ะ? แต่ถ้าเธอไม่ยอมใส่หมวกบังแดดบ่อย ๆ คราวนี้ผิวของเธอได้ไหม้เกรียมจริงแน่ คราวหน้าคราวหลังก็อย่าลืมใส่หมวกฟางด้วยล่ะ อย่าเห็นความหวังดีของฉันเป็นอะไรที่น่ารำคาญเลย!”

หลินม่ายตอบรับอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะขึ้นไปยังห้องชั้นบนด้วยความกระสับกระส่าย

คงมีแค่โจวฉายอวิ๋นอีกตามเคยที่รู้ว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอแน่ ๆ จึงเดินตามเธอขึ้นไปชั้นบน “ตั้งแต่กลับมาจากด้านนอกก็ดูเหมือนเธออารมณ์ไม่ค่อยดีเลย เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

หลินม่ายทอดถอนหายใจสองสามครั้ง ก่อนจะเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงปัญหาอันหนักอึ้งเกี่ยวกับการซื้อตึกแถวสามคูหาบนถนนฝั่งตรงข้าม เพราะเธอไม่สามารถหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายได้

พอโจวฉายอวิ๋นได้ยินว่าเจ้าของตึกแถวหลังนั้นตั้งราคาสูงถึงหนึ่งหมื่นหยวน หล่อนก็อ้าปากค้างทันที “แพงอะไรขนาดนี้ ต่อให้เธอขายฉัน ขายโต้วโต้ว ขายหลี่หมิงเฉิง ค่าตัวเราสามคนรวมกันยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นหยวนเลยนะ”

โต้วโต้วที่นั่งอยู่ด้านข้างกำลังกัดลูกท้อในมือกินเล่น พอได้ยินแบบนั้นก็ทำตาโต แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันไร้เดียงสา “แม่ก็ขายคุณอาฟางสิคะ คุณอาฟางต้องได้ราคาดีแน่ ๆ”

โจวฉายอวิ๋นอดถูกใจไม่ได้ หล่อนหัวเราะแล้วเอานิ้วชี้จิ้มจมูกน้อย ๆ ของเด็กหญิง “เราจะขายคุณอาของหนูไปทำไมกัน แค่ขอหยิบยืมเงินจากเขาก็ได้แล้ว บางทีเขาอาจมีเงินให้เรายืมถึงหนึ่งหมื่นหยวนเลยด้วยซ้ำ”

ทันทีที่หลินม่ายได้ยินแบบนั้น หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นมาทันที แต่แล้วก็ล้มเลิกความคิดที่จะขอยืมเงินจากฟางจั๋วหรานไปเสีย

เขาช่วยเหลือเธอมามากพอแล้ว เธอไม่อยากรบกวนเขาอีก

โจวฉายอวิ๋นแนะนำว่า “ถ้าเธอมีเงินไม่พอจ่ายก็ยังไม่ต้องซื้อหรอก ทำธุรกิจที่มีอยู่ไปก่อนเถอะ”

หลินม่ายหันไปบอกเธอว่า “ไม่ว่าฉันจะหาเงินมาจ่ายได้หรือไม่ได้ พี่ก็อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ก็แล้วกัน”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้า “ฉันรู้หรอกน่า” จากนั้นหล่อนก็กลับลงไปทำงานตามเดิม

หลินม่ายไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ ระหว่างนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่าง พยายามคิดหาวิธีอื่น

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเคยเจรจาธุรกิจกับลูกค้ารายหนึ่งที่เขี้ยวลากดินแบบนี้เหมือนกัน พูดคุยอยู่นานก็ไม่บรรลุข้อตกลงร่วมกันเสียที

แต่แล้วเธอก็ลงทุนเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง หลังจากที่ลูกค้าคนนั้นได้ลิ้มลองแล้ว ปรากฏว่าอีกฝ่ายใจอ่อนถึงขั้นยอมตกลงเซ็นสัญญากับเธอจริง ๆ

ว่ากันว่าอาหารอร่อยทำให้คนยอมเปิดใจได้ง่ายขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เธอลองใช้วิธีนี้กับคุณลุงเจ้าของตึกแถวฝั่งตรงข้ามดีไหมนะ?

พอคิดได้แบบนั้นแล้ว หลินม่ายก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด รีบลงไปที่ชั้นล่างอย่างไม่รอช้า คัดสรรวัตถุดิบประเภทเนื้อสัตว์ในตู้แช่ออกมาเพื่อปรุงอาหารเลิศรส

ตอนนี้ในตู้แช่มีเนื้อสัตว์หลายประเภททีเดียว ไม่ว่าจะเป็นขาหมู คากิ หรือแม้แต่กระเพาะหมู

หลินม่ายตัดสินใจทำขาหมูน้ำแดง คากิตุ๋นสมุนไพร และซุปกระเพาะหมูพุทราจีน

โจวฉายอวิ๋นคิดว่าเธอคงเข้าครัวทำกับข้าวให้ฟางจั๋วหราน “ทำกับข้าวเยอะแบบนี้ คุณหมอฟางเขาจะกินหมดเหรอ?”

หลี่หมิงเฉิงได้ยินแบบนั้นเข้า หัวใจก็สั่นไหวเล็กน้อย ม่ายจื่อนี่เอาใจคุณหมอฟางเก่งจริง ๆ…

ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น พนักงานครัวคนอื่น ๆ ต่างก็คิดแบบเดียวกัน

หลินม่ายไม่อยากบอกความจริง จึงตัดสินใจพูดโกหกไป “ฉันเปล่าทำให้ศาสตราจารย์ฟางกินหรอก พอดีมีคุณลุงคนหนึ่งสั่งมาน่ะ”

เมื่อโจวฉายอวิ๋นได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจ ไม่ถามอะไรเซ้าซี้อีก

หลี่หมิงเฉิงว่างงานอยู่พอดี จึงอาสาช่วยหลินม่ายออกไปส่งอาหาร

หลินม่ายปฏิเสธ “เธอยังไม่ชินเส้นทางเท่าไหร่เลย จะออกไปส่งอาหารแทนฉันได้ยังไง”

หลังจากบรรจุกับข้าวเหล่านั้นใส่กล่องอาหารเรียบร้อยแล้ว เธอก็เตรียมตัวออกไปข้างนอกอีกครั้ง

โจวฉายอวิ๋นเห็นดังนั้นก็รีบคว้าหมวกฟางมาสวมบนศีรษะให้เธอทันที

หลินม่ายไม่เพียงหิ้วอาหารจำนวนมากไปหาคุณลุงเจ้าของบ้าน แต่ยังหยิบเบียร์สิบขวดติดมือออกไปด้วย

เธอตั้งใจว่าวันนี้จะมอมเจ้าของบ้านให้มึนเมากันไปข้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจเปลี่ยนใจรับปากว่าจะยอมเก็บบ้านให้เธอเป็นเวลาสามเดือน

ถึงแม้ความเป็นไปได้จะค่อนข้างต่ำ แต่ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร

ถึงคุณลุงเจ้าของบ้านดื่มเบียร์ที่หลินม่ายนำมาฝากจนหมดทั้งสิบขวด แต่เขาก็ไม่ได้มีอาการมึนเมาแต่อย่างใด เขาสนใจชิมอาหารฝีมือหลินม่ายมากกว่า

ขาหมูน้ำแดงจานนี้ทั้งนุ่มและชุ่มฉ่ำ มันเยิ้มแต่ไม่เลี่ยนจนเกินไป เปื่อยแต่ไม่ถึงกับเละ

คากิตุ๋นสมุนไพรส่งกลิ่นหอมคลุ้ง เนื้อสัมผัสมีความเหนียวนุ่ม ส่วนของหนังยืดหยุ่นกำลังดี

แม้กระทั่งซุปกระเพาะหมูพุทราจีนก็มีรสกลมกล่อมไม่แพ้กัน

ไม่มีอาหารสักจานที่คุณลุงเจ้าของบ้านไม่ชื่นชอบ

ขาหมูน้ำแดงทั้งสองชิ้นถูกเขาเลาะเนื้อกินจนหมดเกลี้ยง คากิตุ๋นสมุนไพรก็ถูกเขาแทะจนกระดูกสะอาดเอี่ยม ซุปกระเพาะหมูพุทราจีนถูกเขายกซดจนไม่เหลือน้ำซุปแม้แต่หยดเดียว หากเลียจานได้เขาคงทำไปแล้ว

แน่นอนว่าอาหารอร่อยสามารถทำให้คนเปิดใจได้ง่ายขึ้นจริง ๆ

หลังจากคุณลุงเจ้าของบ้านกินอาหารมื้อใหญ่อย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว เขาก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขาย

เขาเสนอว่าตัวเองยินดีลดเงินค่ามัดจำจากห้าพันเหลือเพียงสามพันหยวน และยินดีเก็บบ้านไว้ให้หลินม่ายเป็นเวลาสามเดือน

ถ้าเขาเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน หลินม่ายจะได้รับเงินมัดจำคืนเต็มจำนวน และยังจะได้รับเงินชดเชยอีกหนึ่งพันหยวน

ตรงกันข้าม ถ้าครบกำหนดชำระแล้วหลินม่ายผิดสัญญา จะไม่มีการคืนเงินค่ามัดจำสามพันหยวนแต่อย่างใด

คุณลุงเจ้าของยังใจดี แนะนำให้หลินม่ายลองประเมินตัวเองดูอีกครั้ง ว่าภายในสามเดือนจะสามารถหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายค่าบ้านให้เขาได้จริงหรือไม่

แต่ในขณะที่ยังไม่มีเงินมากขนาดนั้น จ่ายค่ามัดจำให้เขาก่อนสามพันหยวนก็ได้แล้ว

หลินม่ายตอบกลับยิ้ม ๆ “ฉันหาเงินมาจ่ายได้แน่นอนค่ะ”

ภายในระยะเวลาสามเดือน เงินที่ได้จากการรับซื้อพืชผลทางการเกษตรมาขายต่อ จะต้องครบหนึ่งหมื่นหยวนอย่างแน่นอน

ทว่าสิ่งที่เธอกังวล คือถึงแม้คุณลุงเจ้าของจะยอมลดเงินค่ามัดจำลงเหลือสามพันหยวนแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังมีเงินไม่พอจ่ายอยู่ดี

ตอนนี้เธอสามารถวางเงินมัดจำให้เขาได้แค่ไม่เกินหนึ่งพันหยวนเท่านั้น

และถ้าเธอกัดฟันควักเงินส่วนนี้ออกมาวางเงินมัดจำ เธอคงเหลือเงินไม่พอที่จะสร้างบ้านหลังใหม่ให้กับคุณยายเถียน

หลินม่ายขอตัวลากับคุณอาเจ้าของบ้านด้วยความเศร้าใจ คิดไม่ตกว่าจะหาเงินสามพันหยวนมาจากที่ไหน

ถ้าไม่มีหนทางอื่นแล้วจริง ๆ เธออาจจะลองขอยืมเงินจากคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง พวกเขาต้องยินดีให้เธอยืมเงินจำนวนสามพันหยวนอย่างแน่นอน

ฟางจั๋วหรานเข้าห้องผ่าตัดเพื่อทำการผ่าตัดใหญ่ให้กับผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะวิกฤตทันทีที่เขาเข้างานในช่วงบ่าย

หลังเสร็จสิ้นการผ่าตัด เขารินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ก่อนจะนั่งพักผ่อนคลายอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องพักแพทย์

เขามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่เต็มใจ แต่แล้วกลับเห็นหลินม่ายที่สวมหมวกฟางกำลังเดินข้ามถนน เขาขมวดคิ้วมุ่นทันที

หญิงสาวตัวเล็ก ๆ สวมชุดกระโปรงลายดอกไม้ ดูสดใสสมวัยชวนมองทีเดียว แต่หมวกฟางที่เธอสวมใส่ช่างขัดกันกับเสื้อผ้าอย่างน่าเสียดาย!

หลังเลิกงาน เขาตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงซึ่งตั้งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม

ยุคสมัยนี้ห้างสรรพสินค้ายังคงเปิดทำการตามเวลาราชการ และปิดทำการเวลาเดียวกันกับหน่วยงานราชการเช่นเดียวกัน นั่นก็คือบ่ายสามโมงครึ่ง

ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือก่อนถึงเวลาบ่ายสามโมง พนักงานห้างจะช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าทยอยออกจากพื้นที่

ทันทีที่ฟางจั๋วหรานวิ่งข้ามถนนมาถึง ก็ตรงกับเวลาเคลียร์ลูกค้าของห้างพอดี

พนักงานขายคนหนึ่งส่งยิ้มให้เขา พูดอย่างสุภาพให้เขามาเลือกซื้อของใหม่ในวันพรุ่งนี้

ฟางจั๋วหรานจึงส่งรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ให้กับพนักงานสาวคนนั้น “ผมแค่อยากซื้อหมวกบังแดดสักใบ ช่วยละเว้นให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”

ใครบ้างจะทนใจแข็งกับรอยยิ้มกระชากใจของเขาได้!

พนักงานขายไม่มีทางเลือกนอกจากยอมเปิดประตูให้ “ถ้าอย่างนั้นช่วยทำเวลาหน่อยนะคะ ห้างของเราใกล้ปิดแล้ว”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไม่ได้ด้วยกลก็ใช้เสน่ห์ปลายจวักสินะ

พี่หมอเขาเสน่ห์แรงนะคะ ใครจะมาเทียบชั้นเขาได้หนอ

ไหหม่า(海馬)