ตอนที่ 146 พวกคุณสองคนเหมือนสามีภรรยากันมาก

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 146 พวกคุณสองคนเหมือนสามีภรรยากันมาก

ไม่นานหลังจากนั้น ฟางจั๋วหรานก็หยิบหมวกบังแดดสำหรับสุภาพสตรีมาใบหนึ่ง และหมวกบังแดดสำหรับเด็กผู้หญิงอีกหนึ่งใบ แล้วรีบชำระเงิน

เขากลัวว่าหลินม่ายอาจไม่ยอมรับหมวกบังแดดจากเขา

ดังนั้นจึงซื้อหมวกบังแดดให้โต้วโต้วด้วย เพื่อใช้หล่อนเป็นข้ออ้าง

หลังจากซื้อหมวกบังแดดแล้ว ฟางจั๋วหรานก็กลับไปที่ร้านของหลินม่าย

โต้วโต้วเห็นหมวกบังแดดในมือเขาแล้วก็รู้สึกชอบมันเอามาก ๆ

หล่อนรีบสวมหมวกบังแดดใบเล็กไว้บนศีรษะ แล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับถือหมวกบังแดดของหลินม่ายไว้ในมือ “แม่จ๋า แม่จ๋า คุณอาฟางซื้อหมวกบังแดดแสนสวยให้แม่ด้วย!”

ฟางจั๋วหรานเดินตามเธอขึ้นไปชั้นบนด้วยรอยยิ้ม

หลินม่ายกำลังเตรียมอาหารมื้อเย็นอยู่ เธอเห็นหมวกบังแดดในมือของโต้วโต้วแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ลูกสาววิ่งเข้าไปในห้อง

ฟางจั๋วหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ที่เห็นว่าเธอไม่หาเรื่องปฏิเสธเช่นทุกครั้ง

เขาเตรียมตัวเกลี้ยกล่อมให้หลินม่ายยอมรับหมวกบังแดดจากเขาอยู่แล้วเชียว แต่ตอนนี้เขากลับไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ

เจ้าตัวแสบถือหมวกบังแดดของหลินม่ายเข้าไปเก็บในห้อง ก่อนจะวิ่งออกมา

ฟางจั๋วหรานเห็นหลินม่ายเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหยิบตะเกียบ จึงแอบถามเจ้าตัวแสบว่า “แม่ของหนูเป็นอะไรไป หล่อนมีอะไรในใจหรือเปล่า?”

เจ้าตัวแสบเอนตัวพิงเขา พลางเล่นหมวกบังแดดใบน้อยในมือไปด้วย “แม่อยากซื้อบ้าน แต่แม่มีเงินไม่พอ หนูบอกให้แม่ขายคุณอาเพื่อแลกกับเงินที่จะซื้อบ้านแล้ว แต่แม่ไม่ยอมขาย แถมยังทำหน้าไม่พอใจใส่หนูอีกด้วย”

ฟางจั๋วหรานไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำไมหนูถึงอยากให้แม่ขายอาเพื่อเอาเงินไปซื้อบ้านล่ะ?”

โต้วโต้วมองเขาอย่างพิจารณา “คุณอาเป็นสัตว์ประหลาดนี่คะ ขายแล้วต้องได้ราคาดีแน่ ๆ!”

ฟางจั๋วหรานหัวเราะทันที “อากลายเป็นสัตว์ประหลาดตั้งแต่เมื่อไหร่?”

หลังจากนั้นโต้วโต้วก็ตระหนักว่าตัวเองเผลอพูดอะไรผิดไป จึงก้มศีรษะลงด้วยความลำบากใจ “หนูพูดผิดไปค่ะ คุณอาเป็นศาสตราจารย์ต่างหาก”

ที่แท้เธอก็แค่พูดเพี้ยนไปนิดหน่อย เขาเกือบจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วเชียว

หลินม่ายหยิบตะเกียบขึ้นมาชั้นบน จากนั้นทั้งสามก็กินอาหารมื้อเย็นด้วยกัน

เมื่อฟางจั๋วหรานเห็นว่าหลินม่ายกินข้าวอย่างใจลอย ในที่สุดเขาก็อดถามไม่ได้ว่า “ผมได้ยินโต้วโต้วบอกว่าคุณอยากซื้อบ้านเพิ่มอีกหลังอย่างนั้นหรือ? คุณอยากซื้อบ้านใหม่แถวไหนล่ะ? ขาดเงินส่วนต่างอีกเท่าไหร่? บางทีผมอาจจะปล่อยกู้ให้คุณได้”

หลินม่ายคาดไม่ถึงว่าโต้วโต้วจะเล่าให้ฟางจั๋วหรานฟังเกี่ยวกับปัญหาของเธอ

ถึงเธอต้องการปฏิเสธ แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ต้องการซื้อบ้านแถวนั้นจริง ๆ

พระเจ้าและปีศาจกำลังต่อสู้กันอยู่ในใจเธอสักพักใหญ่ ในที่สุดเธอก็ยอมรับความช่วยเหลือจากฟางจั๋วหราน

ถึงอย่างไรก็ตาม นี่คือการยืมเงิน เธอไม่ได้ขอให้เขามอบเงินให้เธอเปล่า ๆ จำนวนเงินส่วนนี้ไม่นับว่ามากเกินไป เธอคงหามาคืนเขาได้ในไม่ช้า

หลินม่ายชี้ตะเกียบออกไปนอกหน้าต่าง “ตรงนั้นเป็นตึกแถวสองชั้นเชื่อมสามคูหาที่อยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามค่ะ ทำเลแถวนั้นก็ดีด้วย ถ้าซื้อไปต้องเป็นประโยชน์มากแน่ ๆ ฉันอยากรบกวนขอยืมเงินคุณสามพันหยวน และฉันสัญญาว่าจะจ่ายคืนให้ภายในสามเดือนค่ะ”

ฟางจั๋วหรานตกลงให้เธอยืมเงินสามพันหยวนก่อนพูดว่า “ผมจะถอนเงินออกมาให้คุณเที่ยงพรุ่งนี้นะ”

“โอ้ ขอบคุณค่ะ”

ฟางจั๋วหรานกินข้าวสองถึงสามคำ แล้วถามว่า “ผมขอไปดูที่นั่นหลังมื้อเย็นได้ไหม?”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า

หลังมื้อเย็น พวกเขาออกไปดูสถานที่ด้วยกัน

โต้วโต้วอยากตามไปดูด้วย แต่ก็พลาดรายการสำหรับเด็กไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายจึงตัดสินใจอยู่บ้านดูทีวี

เมื่อคุณลุงเจ้าของบ้านเห็นหลินม่าย เขายิ้มแล้วพูดว่า “พาหนุ่มคนนี้มาจ่ายค่ามัดจำเหรอ? พวกคุณสองคนนี่ดูเหมาะสมกันดีนะ!”

หลินม่ายรู้สึกเขินอายและยกมือขึ้นมาถูแก้มของตัวเอง

ฟางจั๋วหรานสูงและหล่อขนาดนี้ ฉันดูเหมาะสมกับเขาตรงไหนกัน?

เธอรีบตอบกลับว่า “ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ เขาเป็น…”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ ถ้าเธอบอกว่าฟางจั๋วหรานเป็นเพื่อนที่ดีของตัวเอง ก็กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอยกตัวเองให้สูงส่งทัดเทียมกันกับเขา

เธอพูดต่อว่า “เขาเป็นคนรู้จักของฉันค่ะ”

ฟางจั๋วหรานคิดในใจว่า หลินม่ายคงตอบว่าเขาเป็นเพื่อนของเธอแน่ ๆ

ไม่คาดคิดว่าเธอจะตอบออกไปว่าเขาเป็นแค่คนรู้จัก ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง

คุณลุงเจ้าของมองพวกเขาด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง “พวกคุณสองคนดูเหมือนเป็นสามีภรรยากันมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกคุณทั้งคู่จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ต่อกันแบบนั้น!”

หลินม่ายไม่ต้องการสานต่อบทสนทนาที่น่าอึดอัดนี้ต่อไป จึงชี้ไปที่ฟางจั๋วหรานแล้วพูดว่า “ศาสตราจารย์ฟางต้องการเยี่ยมชมตึกแถวหลังนี้ รบกวนเปิดบ้านให้พวกเราเข้าไปดูอีกครั้งนะคะ”

อีกฝ่ายโบกมือแล้วตอบกลับว่า “เข้ามา ๆ”

เมื่อฟางจั๋วหรานมองขึ้นไปชั้นบนและเดินดูชั้นล่างรอบ ๆ เขาสังเกตเห็นว่าที่นี่กว้างขวางและดูดีมาก ๆ จึงหันไปถามหลินม่ายด้วยความสงสัย “ตึกแถวหลังนี้ขายในราคาแค่สามพันหยวนจริง ๆ หรือ?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ใช่สามพันหรอกค่ะ สามพันหยวนที่ฉันขอยืมคุณเป็นแค่ค่ามัดจำเฉย ๆ”

“ถ้าอย่างนั้นราคาเต็มเท่าไหร่?”

หลินม่ายชูนิ้วขึ้นมา “หนึ่งหมื่น”

“แพงขนาดนั้นเลย?” ฟางจั๋วหรานถามต่อ “แล้วคุณจะหาเงินมาจ่ายไหวเหรอ?”

หลินม่ายเกาคางด้วยความเขินอาย “ฉันยังไม่มีเวลาต่อรองน่ะค่ะ”

ฟางจั๋วหรานมองเธออยู่ครู่หนึ่งและพูดอะไรไม่ออก

หญิงสาวที่แสดงความเฉลียวฉลาดในการทำธุรกิจอยู่เสมอ แต่กลับไม่รู้จักต่อรองราคาซื้อขายบ้านที่มีราคาตั้งหนึ่งหมื่นหยวนหลังนี้เนี่ยนะ?

ไม่นานคุณลุงเจ้าของก็เดินเข้ามาหา

เขาถามหลินม่ายว่า “แล้วพวกคุณจะจ่ายค่ามัดจำเมื่อไหร่ล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานตอบกลับแทนเธอว่า “ผมจะถอนเงินออกมาจากธนาคารพรุ่งนี้ เพื่อให้หล่อนนำมาจ่ายค่ามัดจำครับ”

คุณลุงเจ้าของพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก

ฟางจั๋วหรานพูดต่อว่า “ขอโทษนะครับ ผมเพิ่งรู้ว่าคุณกับเสี่ยวหลินยังไม่ได้ต่อรองราคาซื้อขายกันเลย ไม่ทราบว่าคุณพอจะลดราคาให้เราได้บ้างไหมครับ?”

คุณลุงเจ้าของคิดอยู่นานก่อนเสนอว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมจะลดให้พวกคุณสองร้อยหยวนแล้วกัน”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ…” หลินม่ายถามต่อว่า “ลดให้สักหนึ่งพันหยวนได้ไหมคะ?”

คุณลุงเจ้าของเริ่มหงุดหงิด “บ้านของผมมีมูลค่าถึงหนึ่งหมื่นหยวน แต่คุณกลับขอให้ผมลดราคาลงอีกหนึ่งพัน คุณไม่ขอให้ผมยกบ้านหลังนี้ให้คุณฟรี ๆ ไปเลยล่ะ?”

หลินม่ายครุ่นคิดในใจอย่างเงียบ ๆ ว่า ‘ถ้าฉันอยากให้คุณยกให้ฉันฟรี ๆ คุณจะยอมทำแบบนั้นไหมล่ะ?’

ในที่สุด ภายใต้การไกล่เกลี่ยของฟางจั๋วหราน คุณลุงเจ้าของก็ยอมลดให้อีกหนึ่งร้อยหยวน รวมกับตอนแรกเป็นสามร้อยหยวน

หลินม่ายยิ้มเล็กยิ้มน้อย ก่อนเสนออีกว่า “ลดอีกสักห้าร้อยหยวนไม่ได้หรือคะ?”

คุณลุงหันไปมองด้วยความไม่พอใจก่อนตอบกลับ “มาๆๆ ผมจะพาพวกคุณไปดูชั้นใต้ดินของตึกหลังนี้ ดูซิว่าในเมื่อมีพื้นที่ใช้สอยมากขนาดนี้ พวกคุณยังจะต่อรองอีกไหม?”

หลินม่ายกะพริบตาปริบทันที ตึกแถวหลังนี้มีชั้นใต้ดินด้วยเหรอ? ตอนแรกไม่ทันสังเกตเลย

เนื่องจากประตูชั้นใต้ดินไม่ได้อยู่ในตัวบ้าน แต่อยู่ด้านนอกตัวอาคารต่างหาก

เมื่อเปิดประตูออกไปสู่ลานกว้างด้านหลัง ประตูชั้นใต้ดินจะอยู่ตรงมุมสุดของลานกว้าง

ห้องใต้ดินนี้มีขนาดใหญ่มาก พื้นที่ใช้สอยประมาณหนึ่งร้อยตารางเมตร ไม่แปลกที่จะต่อรองราคาซื้อขายไม่ได้ง่าย ๆ

สุดท้ายหลินม่ายและคุณลุงเจ้าของได้ตกลงกันว่า พวกเขาจะนัดหมายจ่ายเงินค่ามัดจำในเวลาบ่ายสามโมงของพรุ่งนี้ พร้อมเซ็นสัญญาซื้อขายอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นเธอกับฟางจั๋วหรานก็เดินจากไป

จู่ ๆ หลินม่ายนึกขึ้นได้ว่า ฟางจั๋วหรานไม่ได้นำอาหารทะเลตากแห้งติดมาให้เธอ

ทันทีที่เธอพูดถึง ฟางจั๋วหรานเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน

เนื่องจากเขามัวจดจ่ออยู่กับการเลือกซื้อหมวกบังแดดให้สองแม่ลูก จึงลืมอาหารทะเลตากแห้งไว้ที่ห้องพักแพทย์เสียสนิท

เขาขอตัวกลับไปที่ห้องพักแพทย์ทันทีเพื่อนำอาหารทะเลตากแห้งกลับมาให้เธออีกครั้ง

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการเป็นศัลยแพทย์จะดีถึงขนาดที่ใครหลายคนต่างซื้อของมาฝากด้วยความเต็มใจ”

ฟางจั๋วหรานตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉะฉาน “หลักสำคัญ คือทักษะการผ่าตัดของคุณต้องยอดเยี่ยม”

หลินม่ายรู้สึกประทับใจในบุคลิกที่เคร่งขรึมและมั่นใจของเขา

หลังจากอาบน้ำเสร็จในช่วงค่ำ หลินม่ายหยิบหมวกบังแดดที่โต้วโต้ววางไว้บนเตียงขึ้นมาลองสวมแล้วส่องกระจกดู

ปรากฏว่าหมวกบังแดดนี้เข้ากับเธอมาก ใส่แล้วดูสวยสดใสขึ้นทันที

เมื่อนึกถึงคำที่คุณลุงเจ้าของบอกว่าเธอกับฟางจั๋วหรานดูเหมือนสามีภรรยากันมาก เธอก็อดยิ้มกรุ้มกริ่มไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขา เธอก็ได้แต่นั่งถอนหายใจ

เทพธิดามีใจ แต่เซียงอ๋องกลับไร้ฝัน(1) คนอย่างศาสตราจารย์ฟางคงไม่มีทางชอบฉันหรอก

……………………………………………………………………………………………………………….

กล่าวถึงความรักที่ไม่สมหวังของหญิงสาว

สารจากผู้แปล

เนี่ย พาพี่หมอไปต่อรองราคาแต่แรกก็จบแล้วม่ายจื่อ ได้ลดไปตั้งเยอะ

ไหหม่า(海馬)