ตอนที่ 43 ติดอยู่ในภาพมายา?

ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากพักผ่อนกันเรียบร้อย ผู้อาวุโสเชียนยืนอยู่บนลานทดสอบพร้อมมองไปยังผู้ทดสอบอีกพันคนที่เหลือ เมื่อเห็นหยางเย่ สายตาของเขาหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าพร้อมกล่าว “การทดสอบระดับสองคือความมุ่งมั่นต่อเส้นทางแห่งดาบ ตามข้ามา!” ทันทีที่กล่าวจบเขาหันหลังและเดินออกไป

ผู้ทดสอบทั้งหมดรีบตามไปทันทีที่ได้ยิน ยิ่งกว่านั้นไม่ใช่เพียงแค่ผู้ทดสอบพันคนที่เหลือ แต่ผู้ที่ตกรอบก็ตามไปเช่นกัน ถึงแม้พวกเขาจะตกรอบ แต่สำนักดาบราชันยังอนุญาตให้พวกเขาอยู่ด้านหลังและดูต่อ

“ค่ายกลมายางั้นหรือ?” ชายหนุ่มไฝดำกล่าวขณะเดินตามไป และศิษย์คนอื่นเองก็รีบตามเขาไป

ไม่นานพวกเขามาถึงยังวงแหวนสีลวงตาจากการนำทางของผู้อาวุโสเชียน วงแหวนนี้กว้างขวางอย่างมาก มันไม่ใช่ปัญหาใดที่จะรองรับคนไม่กี่พัน สัญลักษณ์หลายชนิดกระพริบอยู่ในวงแหวนสีลวงตานี้ และพวกมันเคลื่อนไหวไปตามเส้นทางวงแหวน

“นี้คงเป็นค่ายกลมายาสินะ!” หยางเย่กล่าวเสียงเบาขณะมองไปยังวงแหวนแห่งแสงตรงหน้า

เขาได้ยินเกี่ยวกับค่ายกลมายามาในอดีต มันถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลของสำนักดาบราชัน มันเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แปลกประหลาดมากมายที่ถูกเขียนโดยอาจารย์ยันต์ ด้วยสัญลักษณ์เหล่านี้ ผู้ใดที่เข้าไปข้างในจะพบกับภาพมายา ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าค่ายกลมายา

แต่ภาพมายาที่ถูกสร้างในค่ายกลมายาจะแตกต่างจากภาพมายาในกำไลของซูชิงฉือ เพราะค่ายกลนี้จะทดสอบความมุ่งมั่น และความเจ็บปวดข้างในจะไม่ส่งผลต่อโลกความจริง แต่สำหรับกำไลที่หยางเย่มอบให้ซูชิงฉือนั้น มันได้รับผลกระทบทั้งด้านในและโลกจริง

ผู้อาวุโสเชียนหันไปรอบด้านเพื่อมองผู้ทดสอบ “ค่ายกลนี้ถูกเรียกว่าค่ายกลมายา เมื่อค่ายกลเริ่มทำงาน ผู้ใดก็ตามที่ไม่ตื่นหลังจากสามก้านธูปหมดลงจะตกรอบทันที เข้าไปได้!”

เมื่อพวกเขาได้ยิน ผู้ทดสอบทั้งพันคนรีบเข้าไปในวงแหวน จากนั้นพวกเขาทำได้เพียงรอภาพมายาที่จะเกิดขึ้น

หลังจากเห็นทุกคนเข้าไปในวงแหวนเรียบร้อย ผู้อาวุโสเชียนกล่าวเสียงต่ำ “จงจำไว้ทุกอย่างในนั้นคือภาพมายา!”

ทันทีที่กล่าวจบ เขาขยับมือขวาทำให้ยันต์ในมือลอยขึ้นไปอยู่กลางวงแหวน ทันใดนั้นสัญลักษณ์ในวงแหวนสีฟ้าเริ่มโคจรอย่างรวดเร็ว

ทั้งสวรรค์และปฐพีหมุนรอบกาย ฉากนี้ทำให้ดวงตาหยางเย่เปลี่ยนไป เมื่อเห็นฉากด้านหน้า ดวงตาหยางเย่กลายเป็นสีแดงในทันที

มันคือเมืองที่คุ้นเคย ถนนที่คุ้นเคย บ้านหินที่คุ้นเคย มันคือทุกสิ่งที่คุ้นเคยกับเขาเมื่อในอดีต เมืองทักษิณภิรมณ์ และบ้านหินหลังนี้คือบ้านที่เขารู้จักมาตั้งแต่เด็ก

หยางเย่คุ้นเคยอย่างมากกับสิ่งที่เห็น เขาแทบจะปิดตาเดินได้ด้วยซ้ำ

หยางเย่เดินอย่างก้าวเดินไปที่ม้านั่งไม้ตรงหน้าบ้านหิน เมื่อมองมันน้ำตาเขาเริ่มคลอออกมา ในอดีตหยางเย่ มารดา และน้องสาวเขามักจะนั่งกันที่นี่เป็นประจำ มารดาเขาจะนั่งอยู่ตรงกลางเพื่อเย็บปักผ้า ส่วนเขาและน้องสาวจะคอยนวดขาให้นาง

จากนั้นไม่นาน สายตาก็เปลี่ยนไปมองกำแพงที่มีภาพติดผนังจากถ่าน เมื่อเห็นรูปวาดเหล่านั้น ความรู้สึกอบอุ่นปรากฏขึ้นในใจหยางเย่ ดวงตาเขาเริ่มน้ำตาคลออีกครั้ง รูปวาดเป็นรูปเด็กสาวหางเปียที่กำลังจูงมือชายหนุ่ม เด็กสาวนั้นคือน้องสาวหยางเย่เอง เสี่ยวเหยา และชายหนุ่มก็เป็นหยางเย่ มีบางคนที่วาดผมเปียบนหัวชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มในรูปกลายเป็นหญิงสาวทันที

ภาพวาดนี้ถูกวาดโดยหยางเย่เอง แต่หางเปียถูกวาดขึ้นโดยเสี่ยวเหยาที่เล่นซน

แกร๊ก!

ทันใดนั้นเองประตูไม้ของบ้านหินเปิดออก จากนั้นหญิงสาวอายุราวสิบห้าปีและสตรีอายุสามสิบปีเดินออกมาจากบ้าน

เด็กสาวมัดผมเปียสวมชุดเก่าแต่สะอาดอย่างมาก นางมีคิ้วคมราวกับใบไม้ ดวงตาที่ดูมีชีวิตชีวาและจมูกที่สวยงาม ถึงแม้เสื้อผ้าจะดูเก่า พวกมันก็ไม่อาจปกปิดรูปลักษณ์อันงดงามนี้ได้

สตรีอีกคนสวมเสื้อผ้าเก่าที่คุ้นเคย แต่ก็สะอาดมากเช่นกัน สตรีผู้นี้อายุประมาณสามสิบปี คิ้วคมราวกับใบไม้ ตาเล็ก ใบหน้ารูปไข่ และรูปร่างที่สง่างาม แต่ใบหน้าและมือแสดงถึงอายุและความทุกข์ยาก โดยเฉพาะมือที่มีผิวหนังด้านหนาอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเด็กสาวเห็นหยางเย่ ดวงตานางส่องสว่างขึ้น จากนั้นมันเปลี่ยนเป็นสีแดง นางรีบวิ่งไปหาหยางเย่พร้อมกอดอย่างแน่นในทันที “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านเพิ่งกลับมา? ทำไมท่าน…” ขณะที่กล่าวนางสะอื้นไปด้วย

มือหยางเย่ยังคงค้างอยู่กลางอากาศอยู่นาน จากนั้นจึงวางลงบนหลังของนางพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา ไม่นานหยางเย่กล่าวอย่างไม่รู้ตัว “พี่ใหญ่ยังไม่ได้กลับมาอีกหรือ? อย่าร้องอีกเลย ใบหน้าเสี่ยวเหยาจะบวมและน่าเกลียดเมื่อร้องไห้นะ”

“ข้าไม่สน ข้าไม่สน มันเป็นความผิดท่านพี่ที่ไม่ยอมกลับมาในระยะเวลาสองปีมานี้! มันเป็นความผิดท่านพี่! ข้าจะร้องไห้และโยนความผิดให้ท่านพี่!!” เด็กสาวมุดหัวเข้าไปในอ้อมกอดหยางเย่ขณะที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

ทันใดนั้น สตรีที่งดงามเดินมายังหยางเย่ นางยื่นมือมาลูบหัวเขา ก่อนจะสัมผัสที่ใบหน้าพร้อมแสดงความรักออกมา นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ลูกคงทุกข์ทนในสำนักดาบราชันมาทั้งปีเลยสินะ ดีแล้วที่กลับมาที่นี่ แม่จะทำหมูผัดเปรี้ยวหวานให้เอง”

“ท่านแม่!” หยางเย่รู้สึกราวกับมีก้อนเนื้อจุกอยู่ที่คอ น้ำตาเริ่มคลออีกครั้ง “ท่านต้องทนลำบากมาทั้งปี อย่าห่วงไปเลยนับจากวันนี้ ข้าจะไม่ให้ท่านแม่และเสี่ยวเหยาต้องทนทุกข์ทรมานอีก ข้าสัญญา!”

“เจ้าเด็กโง่!” สตรีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าและเหยาเอ๋อเป็นไม่เป็นอะไร แม่ก็เต็มใจจะรับความลำบาก เอาละ ไม่ง่ายที่เจ้าจะกลับมาบ้าน อย่าเสียเวลาสนทนาสิ่งใดเลย แม่จะทำหมูเปรี้ยวหวานให้ เหยาเอ๋ออยากกินมันมานานแล้ว!”

“ไม่ ข้าเปล่านะ!” ทันใดนั้นเสี่ยวเหยาเงยหน้าและปฏิเสธ

ขณะมองดูเสี่ยวเหยาที่ยังมีน้ำตาไหลนอง ใบหน้าหยางเย่และมารดาก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน

ในความเป็นจริง เหลือเพียงหยางเย่ที่ยังอยู่ในวงแหวนสีฟ้า ผู้ทดสอบคนอื่นได้ตื่นหรือตกรอบไปเรียบร้อยแล้ว

เวลานี้สายตาของคนนับพันรอบด้านมองลงไปที่หยางเย่ที่ยืนอยู่ในวงแหวน บางสายตาเต็มไปด้วยความดูถูก บางคนมีความสุขในความโชคร้ายของหยางเย่ ส่วนบางคนมีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้

ผู้อาวุโสเชียนมองไปที่ก้านธูปที่กำลังดับลงตรงหน้าวงแหวน ธูปดอกสุดท้ายเหลือเพียงครึ่งเดียวแต่หยางเย่ก็ยังไม่ตื่น สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสเชียนไม่อาจทำอันใดได้นอกจากกำหมัดแน่น เวลานี้เขาสับสนในใจอย่างมาก เพราะทราบดีถึงสิ่งที่หยางเย่ปรารถนาเป็นที่สุด มันเป็นสิ่งที่จะบรรเทาเขาได้ในช่วงอายุนี้ ยิ่งกว่านั้น หลังจากหยางเย่มาถึงยังสำนักดาบราชัน เขาก็เหมือนตกจากสวรรค์สู่นรก แต่หยางเย่ก็ไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นเขาจะเป็นคนอ่อนแอได้ยังไง?

หากมันไม่ใช่เพราะความอ่อนแอ แล้วไฉนหยางเย่ถึงไม่ยอมตื่น? ยิ่งกว่านั้น หากหยางเย่ตกไปอยู่ในภาพมายา เขาคงตกรอบไปแล้ว แต่หยางเย่ยังคงยืนอยู่ด้วยท่าทีสงบ ผู้อาวุโสเชียนจึงสงสัยว่าเป็นเพราะสิ่งใดกันแน่

ไม่เพียงแค่ผู้อาวุโสเชียนที่สับสน แม้กระทั่งเฟิงอวี่และเฉาหัวเองก็สับสนเช่นกัน เพราะสิ่งนี้มันช่างไม่สมเหตุสมผลเกินไป

ชายหนุ่มไฝดำมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าวเสียงต่ำ “เขาค่อนข้างน่าสนใจอยู่นะ!”

ชายหนุ่มหน้ากลมพยักหน้าพร้อมเอ่ย “ถูกต้อง!”

เมื่อได้ยินทั้งสอง หลิวชิงอวี่ที่ยืนด้านหลังแอบหัวเราะอย่างเย็นเยือก ‘น่าสนใจงั้นหรือ? ไอ้คนที่มีพลังอ่อนแออย่างงี้คงจะน่าสนใจมากสินะ’

เวลานี้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่รับคำท้าหยางเย่ในเดือนก่อน เพราะเศษสวะเช่นนี้ไม่คู่ควรที่จะสู้กับเขา

ไม่นานธูปอีกหนึ่งในสี่ส่วนเริ่มหมดลง เหลือเพียงส่วนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ แต่หยางเย่ยังคงไม่ตื่น

เวลานี้ เจียงหยวนที่ปิดตาและพักผ่อนจิตใจอยู่ด้านข้างเปิดตาขึ้น เขาเดินไปที่ผู้อาวุโสเชียนและคารวะพร้อมกล่าว “ผู้อาวุโสเชียน ในความคิดข้า ชายผู้นี้ได้หลงอยู่ในภาพมายาเรียบร้อยแล้ว เขาไม่มีคุณสมบัติใดที่จะเป็นศิษย์สำนักดาบราชันอีก เขาควรถูกตัดสินตกรอบ”

แต่เดิมเขาคาดหวังกับหยางเย่ไว้มาก แต่ต้องผิดหวังเมื่อเห็นว่าหยางเย่ติดอยู่ในภาพมายาเป็นเวลานาน เพราะคนที่ความสามารถต่ำต้อยเช่นนี้ไม่สมควรจะทดสอบร่วมกับเขา

“ให้เขาตกรอบ! ให้เขาตกรอบไปเสีย! เหตุใดพวกเราต้องรออย่างเสียเวลาเปล่า?”

“ถูกต้อง เหตุใดสำนักดาบราชันถึงรับศิษย์ที่อ่อนแอเช่นเขากัน? เพื่อทำงานไร้สาระงั้นหรือ?”

“ทำงานไร้สาระ? มันเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเจ้าไม่ทราบหรือ? ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นศิษย์แรงงานของสำนักดาบราชัน เขาถูกรับเป็นศิษย์นอกในอดีต แต่ไม่มีใครคาดว่าเขาจะไม่สามารถเป็นผู้ใช้พลังปราณล้ำลึกได้ ท้ายที่สุดเขาถูกลดขั้นไปเป็นศิษย์ใช้แรงงาน ทั้งยังมีฉายาว่าขยะอันดับหนึ่งในสำนักดาบราชัน!”

“อะไรนะ? เขาเป็นศิษย์ใช้แรงงานงั้นหรือ? ให้เขาตกรอบ! ให้เขาตกรอบเดียวนี้! ข้าไม่ต้องการกลายเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับคนแบบนี้!”

“ถูกต้อง ข้าคงรู้สึกอายยิ่งนักหากบอกผู้อื่นว่าข้าเป็นศิษย์สำนักดาบราชัน หากมีคนเช่นนี้เป็นศิษย์ร่วมด้วย…”

เวลานี้ความเงียบที่มีก่อนหน้ากลายเป็นเสียงอึกทึกกึกก้องไปทั่ว มันไม่ใช่เพียงแค่คนที่ผ่านการทดสอบที่เรียกร้องให้หยางเย่ตกรอบ แม้แต่คนที่ตกรอบไปแล้วยังกระทำสิ่งเดียวกัน

ผู้ที่สอบผ่านเรียกร้องให้หยางเย่ตกรอบ เพราะพวกเขาไม่ต้องการจะเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับหยางเย่ ส่วนผู้ที่ตกรอบโวยวายเพราะพวกเขาอยากให้มีคนที่ตกรอบเหมือนพวกเขาเช่นกัน

ผู้อาวุโสเชียนมองอย่างเย็นชาไปที่เจียงหยวน หากเจียงหยวนไม่ใช่คนแรกที่ตื่นจากภาพมายา และยังบรรลุระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์เมื่ออายุสิบหก ผู้อาวุโสเชียนคงจะสั่งสอนเขาอย่างไม่ลังเล แต่เมื่อนึกถึงพรสวรรค์ของเจียงหยวน เขาทำได้เพียงระงับโทสะไว้ในใจ เขาไม่มองไปที่เจียงหยวนอีกแต่กลับกวาดสายตาไปยังผู้ทดสอบคนอื่น “หุบปาก! สำนักดาบราชันมีกฎของตนเอง! เนื่องจากกฎคือหมดสามก้านธูป มันก็ควรจะหมดสามก้านธูป แค่รอต่อไปจนจบ หากพวกเจ้าไม่อยากจะรอก็จงไสหัวออกไปเสีย!”

เมื่อพวกเขาได้ยินผู้อาวุโสเชียนบันดาลโทสะ จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวสิ่งใดอีก ทุกอย่างกลายเป็นความเงียบอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงพวกเขายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะต่อกรผู้อาวุโสในตอนนี้

เจียงหยวนตกตะลึงในใจเช่นกัน เขาทราบดีว่าได้สร้างความขุ่นเคืองให้ผู้อาวุโสตรงหน้า แต่ก็กลับมาเย็นชาในชั่วพริบตา เขาเชื่อว่าหากแสดงไพ่ตาย บรรดาผู้อาวุโสต้องมารั้งตัวเขาไว้ เมื่อนึกได้เจียงหยวนจึงถอนตัวออกมาด้านข้าง และะหันไปมองหยางเย่อย่างไม่ค่อยเป็นมิตร