ตอนที่ 42 เริ่มต้นการทดสอบสำนักนอก

ในช่วงเวลาสามวันสุดท้าย หยางเย่หยุดฝึกฝนวิชาควบคุมดาบ เขาให้ความสำคัญไปที่วิชาดัชนีดาบราชันและวิชาดาบแยกลมปราณ ถึงแม้วิชาควบคุมดาบจะร้ายกาจ มันก็ไม่อาจสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงฝึกฝนสองวิชาที่เหลือจนสำเร็จ และพวกมันสามารถใช้ในการสอบได้

สามวันผ่านไปเพียงแค่กระพริบตา

บททดสอบสำนักนอกไม่ได้จัดขึ้นในลานฝึกยุทธ์ แต่กลับจัดที่ยอดเขาทดสอบฝีมือแทน ยอดเขาทดสอบฝีมือเป็นยอดเขาเล็กที่แต่เดิมอ้างว้างและเหน็บหนาว แต่หากเป็นวันที่การทดสอบของสำนักนอกมาถึง ยอดเขานี้จะเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในสำนักดาบราชัน

ยามเช้าตรู่ แสงแดดรุ่งอรุณสาดส่องลงมายังคนหนุ่มสามพันคน พวกเขากำลังยืนอยู่บนลานขนาดใหญ่ในยอดเขาทดสอบฝีมือ ทุกคนมีอายุประมาณสิบเจ็ดปี หรือบางคนอายุน้อยกว่านั้น ถึงแม้จะยังหนุ่มแต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกพวกเขา เพราะทั้งหมดคืออัจฉริยะที่มาจากในเมืองรอบด้านของสำนักดาบราชัน

มันไม่ใช่เรื่องเกินความจริงที่จะเรียกว่าอัจฉริยะ เพราะมันไม่ง่ายที่จะบรรลุระดับหกขั้นปราณมนุษย์ก่อนอายุสิบเจ็ดปี มิเช่นนั้นด้วยประชากรนับล้านในเมืองโดยรอบของสำนัก พวกเขาทั้งสามพันคนคงไม่มารวมตัวกันในการทดสอบนี้ได้โดยง่าย

ขณะยืนอยู่กลางฝูงชน สายตาหยางเย่มองไปยังบรรดาคนหนุ่มสาวที่ตื่นเต้นและมีความสุข เขาทำได้เพียงถอนหายใจภายใน หยางเย่ก็เป็นเหมือนบรรดาคนหนุ่มสาวที่มายังสำนักดาบราชัน แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตในการเป็นศิษย์ใช้แรงงาน มันก็เพียงพอสำหรับบรรลุนิติภาวะทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือในแง่มุมทั้งหลาย เขาแทบไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นหรือมีความสุขอย่างผู้ทดสอบรอบกาย

ในความคิดหยางเย่ การเป็นศิษย์ในสำนักคือเป้าหมายที่แท้จริง แม้เขาไม่อาจไปถึงจุดที่เกินความสามารถตนเอง แต่ในทางกลับกัน เขาก็ได้รับความมั่นใจในความสามารถของตนเองกลับมา

เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงแดดที่สาดส่องลงมายังยอดเขาทดสอบฝีมือ ผู้อาวุโสนอกปรากฏกายขึ้นตรงหน้าลานทดสอบ เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสาม บรรดาผู้ทดสอบแสดงอาการกระสับกระส่ายทันที พวกเขาไม่ได้ตื่นตัวเพราะผู้อาวุโสทั้งสาม แต่เพราะการทดสอบที่กำลังจะเริ่มขึ้น

ขณะที่มองไปยังผู้ทดสอบทั้งสามพันคน เฉาหัวขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเขามองกวาดไปทั้งทางซ้ายและขวาก่อนจะถอนหายใจพร้อมกล่าว “มีเพียงสามพันสองร้อยคนเท่านั้นในปีนี้ มันน้อยกว่าปีที่แล้วเสียอีก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สำนักดาบราชันเราคงไร้ผู้สืบทอดเป็นแน่!”

เฟิงอวี่พยักหน้าขณะยืนอยู่ด้านข้าง “อืม ข้าได้ยินมาว่ามีอัจฉริยะประมาณหนึ่งแสนคนที่เข้าร่วมการทดสอบนอกสำนักของโรงเรียนปราชญ์ หรือแม้กระทั่งสองสำนักที่เหลือก็มีมากกว่าหนึ่งแสนคน แต่สำนักดาบราชันกลับเหลือเพียงไม่กี่พัน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เราคงต้องลดมาตรฐานในการรับศิษย์ ไม่งั้นการทดสอบรับศิษย์นอกของสำนักดาบราชันคงเหลือจำนวนที่น่าอับอายแน่นอน”

“การลดมาตรฐานมันเป็นการบรรเทาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น!” ผู้อาวุโสเชียนส่ายหัวพร้อมกล่าว “หากมาตรฐานต่ำกว่านี้ เช่นนั้นความสามารถศิษย์ทุกช่วงอายุอาจจะเสื่อมลง และก็กลายเป็นอันดับสองในที่สุด ข้าคิดว่าพวกเราควรมุ่งมั่นหาทรัพยากร หากศิษย์สำนักดาบราชันสามารถพิชิตเทียบอันดับสวรรค์ได้ พวกเราก็สามารถได้เมืองเพิ่มอีกนิดหน่อย หากเป็นเช่นนั้นสถานการณ์คงเปลี่ยนไปแน่นอน!”

เมื่อพวกเขาได้ยินคำว่าเทียบอันดับสวรรค์ เฟิงอวี่และเฉาหัวถอนหายใจเล็กน้อย เฉาหัวกล่าวอย่างขมขื่น “พี่เชียน เจ้าสำนักและผู้อื่นจะไม่ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร? ยิ่งความยากเย็นในการเข้าไปเทียบอันดับสวรรค์ล่ะ? แล้วอัจฉริยะคนอื่นในเทียบอันดับสวรรค์ไม่เก่งกล้าเลยงั้นหรือ? โดยเฉพาะวิทยาลัยจักรพรรดิและโรงเรียนปราชญ์ พวกเรายังไม่ได้มีข้อได้เปรียบใดหากจะสู้กับพวกเขา!”

เฟิงอวี่ถอนหายใจ “เมื่อนึกถึงสำนักดาบราชันที่รุ่งเรืองเมื่อร้อยปีที่แล้ว เวลานั้นแม้แต่โรงเรียนปราชญ์ก็ยังหลีกเลี่ยงคมดาบของเรา ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าสถานะสำนักจะต้อยต่ำลงในช่วงร้อยปีต่อมานี้”

ผู้อาวุโสเชียนเผยรอยยิ้มที่ขมขื่นเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ใช่แล้ว ในเวลาหลายสิบปีมานี้ ตั้งแต่เทพธิดาซูเข้าไปยังเทียบอันดับสวรรค์ได้ และไม่มีผู้ใดในสำนักเข้าไปได้อีก มันทำให้สำนักดาบราชันต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้ ด้วยอันดับที่ต่ำต้อย พวกเราทั้งหมดต้องล้มเหลวในหลายปีที่ผ่านมา!”

เฉาหัวกวาดสายตามองไปยังลานทดสอบพร้อมกล่าว “ข้าได้ยินมาว่ามีชายหนุ่มอายุสิบหกปีจากเมืองธารหิมะ ที่สามารถบรรลุระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์มาเข้าร่วมทดสอบนี้ด้วย หากเขาไม่ได้ใช้เม็ดยาใดหรือของเสริมพลังอื่น เช่นนั้นการบรรลุระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์เพียงอายุสิบหกปี เขาคงจะกลายเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ของสำนักดาบราชันแน่นอน!”

เฟิงอวี่พยักหน้า “ข้าได้ยินเรื่องของเขามาเช่นกัน ดูเหมือนเขาจะมีนามว่าเจียงหยวน ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นของเมืองธารหิมะในรอบร้อยปีมานี้ หากข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง หลังจากเป็นศิษย์นอกแล้วคงสามารถกลายเป็นศิษย์ในสำนักได้ไม่ยาก และเด็กหนุ่มคนนี้คงเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของสำนักนอกแน่นอน!”

ผู้อาวุโสเชียนเผยรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อย ‘อัจฉริยะที่โดดเด่นสุดในรอบร้อยปีงั้นหรือ? มันจะโดดเด่นกว่าหยางเย่ที่มีพลังปราณห้าธาตุหรือไม่ล่ะ?’ หากผู้อื่นทราบว่าหยางเย่มีพลังปราณห้าธาตุทองคำ บรรดาอาจารย์ชั้นสูงและผู้อาวุโสในสำนักคงตกตะลึงแน่นอน แต่เขาก็ยังไม่บอกผู้ใดเพราะยังเคารพสิ่งที่หยางเย่เลือก

ทันใดนั้นเองเฉาหัวยกมือขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์มาถึงจุดที่ยืนอยู่พร้อมกล่าว “พี่เฟิง ท่านเป็นประธานในการทดสอบรอบแรก!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฟิงอวี่ปรับสภาพจิตใจก่อนจะเดินไปด้านหน้า เขามองไปยังผู้ทดสอบด้านล่างพร้อมแววตาที่ปีติยินดี จากนั้นยกมือขึ้น เสียงกระหึ่มจากด้านล่างได้เงียบสนิทลงในทันใด

เฟิงอวี่กล่าว “ทุกคน ข้าคือผู้อาวุโสนอกสำนัก เฟิงอวี่ พวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเฟิง ข้าเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่เป็นประธานในการทดสอบนี้ อันดับแรกในนามของสำนักดาบราชันขอยินดีต้อนรับทุกคน อันดับสองขอแสดงความยินดีที่สามารถมายืนตรงนี้เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองยอดเยี่ยมเพียงใด ถึงแม้จะไม่สามารถเป็นศิษย์นอกของสำนักดาบราชันได้ ความสำเร็จของพวกเจ้าในอนาคตจะต้องโดดเด่นอย่างแน่นอน…”

หลังจากกล่าวมาเป็นเวลาหนึ่ง เฟิงอวี่เข้าสู่ประเด็นหลัก “บททดสอบแบ่งออกเป็นสามระดับ ระดับแรกคือการทดสอบรากฐานของการบ่มเพาะพลัง วัตถุประสงค์ของการทดสอบนี้เพื่อคัดกรองผู้ที่บ่มเพาะพลังจากการใช้ยา หรือผู้ที่มีการบ่มเพาะพลังที่ยังไม่เสถียร บัดนี้ข้าจะปล่อยพลังกดดันแห่งขั้นปราณราชัน ผู้ใดที่สามารถทนได้จนจบจะนับว่าผ่าน!”

ทันทีที่กล่าวจบ ร่างเฟิงอวี่พุ่งไปปรากฏอยู่กลางท้องฟ้าเหนือคนหนุ่มสาวทั้งหมด จากนั้นพลังปราณล้ำลึกในร่างกายเริ่มไหลเวียน รังสีอันชวนสะพรึงโคจรระเบิดออกจากร่างของเขา จากนั้นมันพุ่งลงไปยังกลุ่มผู้ทดสอบด้านล่าง

อ๊าก!!!

ผู้ทดสอบบางคนไม่ทันระวังตัว พวกเขาทรุดลงกับพื้นภายใต้แรงกดดันมหาศาล ยังไม่ถึงสิบห้านาที เกือบครึ่งของผู้ทดสอบร่วงลงกับพื้น และยังคงร่วงกันอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพวกเขาเห็นผู้ทดสอบเกือบครึ่งทยอยทรุดลง ผู้อาวุโสเชียนและผู้อาวุโสเฉาหัวขมวดคิ้ว เพราะระดับของผู้เข้าทดสอบช่างแย่ยิ่งนัก!

กลุ่มคนหนุ่มสวมผ้าคลุมสีเขียวที่กำลังมองดูผู้ทดสอบจากระยะไกล มีประมาณห้าสิบคนในกลุ่ม หลิวชิงอวี่ผู้ที่หยางเย่ท้าประลองในลานประลองเป็นตายก็อยู่ในนี้เช่นกัน แต่น่าแปลกใจ ผู้ที่อยู่อันดับสิบเก้าของเทียบอันดับศิษย์นอกอย่างหลิวชิงอวี่ไม่ได้อยู่ด้านหน้าของกลุ่ม

หากผู้อาวุโสนอกสำนักอยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสคงรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะศิษย์ทั้งห้าสิบคนนี้อยู่ในเทียบอันดับศิษย์นอกกันทุกคน พวกเขาคือกลุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของศิษย์นอก ดังนั้นหลิวชิงอวี่จึงดูธรรมดาขึ้นมาทันทีในหมู่คนพวกนี้

เมื่อเห็นผู้ทดสอบเกือบครึ่งทรุดลงในเวลายังไม่ถึงสิบห้านาที ชายหนุ่มด้านหน้ากลุ่มที่มีไฝสีดำส่ายหัว “ไม่ว่าจะเป็นทั้งจำนวนหรือคุณภาพ ศิษย์นอกครั้งนี้ด้อยกว่าพวกเราในหลายปีที่ผ่านมาอย่างมาก ช่างน่าเบื่อนัก! น่าเบื่อเสียจริง! ข้าหวังว่า ‘อัจฉริยะในรอบร้อยปีจากเมืองธารหิมะ’ จะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ!”

ชายหนุ่มหน้ากลมด้านข้างส่ายหัวเช่นกัน “เมื่อนึกถึงช่วงปีที่พวกเราทดสอบ มีเพียงพันกว่าคนจากห้าพันคนที่ทนไม่ไหวในการทดสอบแรก แต่จากที่เห็นตอนนี้ มีประมาณสองพันคนแล้วที่ล้มลง หากผู้อาวุโสเฟิงยังไม่หยุด จำนวนคงจะเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน! สำหรับอัจฉริยะที่ลือกันว่าสามารถบรรลุระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์ได้ เขาผู้นั้นคงอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนี้!”

“อัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่?” ชายหนุ่มไฝดำหัวเราะเย้ยหยัน “ถึงแม้เขาจะบรรลุขั้นปราณสวรรค์เมื่ออายุสิบหก เขาก็ไม่อาจเรียกได้ว่าอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ได้หรอก เพราะมีสตรีปีศาจอยู่ที่นี่ ยังจะมีผู้ใดกล้าเรียกตนเองว่าอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่อีกหรือ?”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘สตรีปีศาจ’ ท่าทีของคนอื่นรอบด้านเปลี่ยนไปทันที ความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาพวกเขา ไม่นานชายหน้ากลมฝืนหัวเราะพร้อมกล่าว “สตรีปีศาจผู้นั้นยึดตำแหน่งอันดับหนึ่งทันทีที่เข้ามายังสำนักดาบราชัน ข้าได้ยินมาว่านางท้าประลองกับผู้อาวุโสนอกสำนักอยู่บ่อยครั้ง ช่างเป็นพรสวรรค์ที่น่ากลัว… ผู้อื่นกล่าวว่าพวกเราคืออัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับนาง พวกเรายังด้อยกว่าอีกหลายขั้น!”

ชายหนุ่มไฝดำถอนหายใจเล็กน้อย “ภายใต้ความโดดเด่นของนาง พวกเราที่เป็นอันดับสองและสามในเทียบอันดับศิษย์นอกนั้น แทบจะถูกมองข้ามจากผู้อาวุโสทั้งหลายแล้ว พวกเราควรจะฝึกหนักกว่านี้ มิเช่นนั้นเมื่อพบนางอีกครั้ง นางคงจะไม่สนใจพวกเราอย่างที่นางทำกับศิษย์คนอื่นแน่!”

ชายหน้ากลมพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาเป็นอัจฉริยะท่ามกลางอัจฉริยะ หลังจากพวกเขาพบสตรีปีศาจผู้นั้น พวกเขาไม่กล้าเรียกตนเองว่าอัจฉริยะอีกต่อไป เพราะสตรีปีศาจคนนั้นทำให้จิตวิญญาณพวกเขาท้อถอยลงอย่างยิ่ง

……

ในลานทดสอบ หยางเย่ยังคงสงบและไม่ได้รับผลกระทบใดจากแรงกดดันนี้ รากฐานพลังเขาเข้มแข็งอย่างมาก ทั้งยังมีประสบการณ์ความเป็นความตายจากการต่อสู้ ประสบการณ์รับแรงกดดันของยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณอีก ดังนั้นเมื่อพบกับแรงกดดันของยอดฝีมือขั้นปราณราชันอย่างเฉาหัว หยางเย่แทบไม่สะทกสะท้านสิ่งใด

ทันใดนั้นหยางเย่เปิดตาและมองไปด้านขวาของเขา ยามนี้มีมีชายหนุ่มอายุราวสิบหกปีอยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มผู้นั้นเองก็มองกลับมาที่เขาเช่นกัน ชายหนุ่มสวมชุดคลุมขาวที่งดงามพร้อมรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ถึงแม้จะดูเป็นเพียงคนหนุ่มเยาว์วัย แต่ร่างของเขาก็ห่อหุ้มไปด้วยความหรูหรา ทั้งท่าทีที่หยิ่งผยองบนใบหน้าที่เห็นได้อย่างชัดเจน

แน่นอนสิ่งสำคัญที่สุดคือชายหนุ่มผู้นี้เหมือนกับหยางเย่ เขาไม่ได้รับผลกระทบใดจากแรงกดดันนี้ และมันทำให้หยางเย่ค่อนข้างประหลาดใจอยู่เล็กน้อย

เมื่อเห็นหยางเย่มองมา เจียงหยวนถอนสายตาทันทีพร้อมกล่าว “ดูเหมือนผู้เข้าร่วมครั้งนี้ยังไม่ใช่สวะทั้งหมดสินะ มันยังดีที่มีต้นหญ้าที่เหมาะสมกับการทดสอบอยู่ มิเช่นนั้นมันคงน่าเบื่อน่าดู!”

หยางเย่ถอนสายตาออกเช่นกัน จากนั้นเขาปิดตาพร้อมสงบจิตใจอีกครั้ง บางทีความแข็งแกร่งของชายหนุ่มผู้นี้คงไม่เลว แต่มันก็ไร้ความหมายสำหรับหยางเย่

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เฟิงอวี่หยุดปล่อยพลังก่อนจะหันไปรอบด้านด้วยประกายแสงรอบตัว เมื่อเห็นว่าผู้ทดสอบจำนวนมากล้มลงไปบนพื้นและเหลือเพียงพันกว่าคนที่ยืนได้ เฟิงอวี่ส่ายหัวพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย เขาดึงพลังกลับมาแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าจะยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังล้มลง ดังนั้นมันเห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกยังไงเวลานี้

ทันใดนั้นเฟิงอวี่หยุดพลังทั้งหมดที่ปล่อยออกมา บรรดาผู้ทดสอบทั้งหลายถอนหายใจโล่งอก หยางเย่ส่ายหัวทันทีที่เห็นสิ่งนี้ หากผู้อาวุโสเฟิงยังปล่อยพลังกดดันต่อ คงมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ล้มลงแน่นอน

เมื่อจ้องมองไปยังผู้ทดสอบที่ล้มลง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนมุมปากของเจียงหยวน เขากล่าวเสียงใสออกมา “สวะ! พวกแกทั้งหมดไม่สามารถต้านทานพลังปราณขั้นราชันได้เลย!” ทันทีที่กล่าวจบเขาหันไปมองหยางเย่พร้อมเผยรอยยิ้มหยอกล้อ

หยางเย่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม ยังมีคนโง่อยู่อีกมากมายที่ชอบหาเรื่องให้ตนเอง

ขณะนั้นเองผู้อาวุโสเชียนก้าวไปข้างหน้าพร้อมมองไปยังผู้ทดสอบอีกพันกว่าคน “ผู้ทดสอบที่ล้มลงไปแล้วรีบออกไปด้านข้างในทันที ส่วนผู้ที่สามารถยืนหยัดได้รีบปรับลมปราณเสีย การทดสอบที่สองกำลังจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วยาม!”