แม้จะนั่งอยู่ในมุมไม่สะดุดตานัก แต่ชุดแปลกตาก็ยังดึงเอาสายตาสงสัยจากรอบกายมาได้อยู่ดี

ชิงอวี่เองก็เหลือบมองอยู่สองครั้งด้วยกัน

“พวกนั้นคือนักฆ่าระดับลึกลับแห่งหุบเขาไร้กังวล อย่าจ้องพวกเขาเช่นนั้นนานเลย” น้ำเสียงลายาวฟังดูเกียจคร้านของชายหนุ่มดังขึ้นด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงหาวที่ฟังดูง่วงเหงานัก

ชิงอวี่หันไป พบกับชายหนุ่มชุดเทาเข้า หลิงซูที่ไม่ได้เห็นมานานนั่นเอง มือหนึ่งกำลังถือกาชาร้อน ๆ อีกมือถือจานขนมหน้าตาประณีต กำลังเดินลากขาเข้ามาช้า ๆ

ชิงอวี่กะพริบตามองด้วยความประหลาดใจ “นี่เจ้าตื่นอยู่ไม่นอนหลับกรนคร่อก ๆ แล้วงั้นหรือ?”

นับตั้งแต่วันที่ได้รู้จักอีกฝ่ายก็เห็นเขาหลับอยู่ตลอด ตอนกลางวันไม่ต้องฝันเห็นเขาตื่นเสียให้ยาก แต่ยามราตรีกลับมีชีวิตชีวาราวกับมังกร เป็นบุคคลที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตยามกลางคืนตัวจริงเสียงจริง

หลิงซูหาวหวอดใหญ่อีกครั้ง เกือบเผลอทำขนมในจานร่วงไป ดังนั้นจึงตั้งท่าเสียใหม่อย่างรวดเร็ว รีบส่งของที่ต้องนำมาให้โต๊ะหนึ่งอย่างรวดเร็ว พลางถอนหายใจออกมา

“เลือกได้ข้าก็ไม่อยากทำหรอก ใครใช้ให้นายท่านเกิดคิดจะย้ายถิ่นฐานมาที่นี่กันเล่า คนอื่น ๆ เคลื่อนกายไม่เร็วจึงยังมาไม่ถึง ข้าก็เลยต้องมาใช้แรงงานแทนเช่นนี้”

หลิงซูบ่นเสียงเศร้า จากนั้นก็หรี่ตามองอย่างรู้ทัน “ได้ยินว่าเจ้าเข้าร่วมการทดสอบเข้าสำนักละอองหมอก เจ้าแอบบอกข้าตรงนี้ก็ได้ เจ้ากับนายท่านของข้า…..”

จากนั้นเขาก็หยุดพูดไป เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ชิงอวี่เลิกคิ้วสงสัย “พวกเราทำไม?”

หลิงซูยิ่งยิ้มสำราญใจกว่าเดิม ใช้สายตาที่ชิงอวี่รู้สึกว่าน่าชังนักมองนาง “เจ้านี่เป็นแม่นางน้อยที่ไม่น่ารักเลยเชียว ต้องให้ข้าพูดออกมาตรง ๆ เลยหรือ……”

เขาใช้ไหล่ถองแขนนางราวกับสนิทสนมกันดี “เรื่องพวกนี้ธรรมดาจะตาย ไม่ใช่เรื่องแปลก ข้าเข้าใจธรรมชาติมนุษย์ดี เจ้าไม่ต้องอายไปหรอก”

ชิงอวี่มุมปากกระตุก ถูกอีกฝ่ายกระทุ้งแขนใส่เช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว อีกทั้งเขาพูดเองเออเอง นางไม่เข้าใจว่าเขาจะสื่ออะไร

นางกำลังสงสัยว่าตนเองสมองช้าไปหรือไม่ สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าน้องชายตนมองอีกฝ่ายคล้ายมองคนเสียสติ “เขาพูดเรื่องบ้าอะไรของเขากันแน่?”

นางไม่ใช่คนเดียวที่ไม่เข้าใจสินะ

“หลิงซู เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เหตุใดจึงยิ้มเหมือนคนโง่เช่นนั้น!?” ไป๋จือเยี่ยนที่เพิ่งออกมาจากด้านหลังรุดเข้ามาทันใด

อีกฝ่ายกลับไม่ใส่ใจคำไป๋จือเยี่ยนที่จงใจด่า เพียงแต่มองไป๋จือเยี่ยนด้วยสายตาลึกลับ ก่อนจะเอ่ยคำที่ทำให้คนงงงัน “ข้ารู้เรื่องพวกนี้คนเดียวก็ดีแล้ว เจ้าน่ะอย่าได้คิดจะหลอกให้ข้าพูดอะไรเชียว”

จากนั้นก็ยืดหลังตรงแล้วเดินจากไปท่าทางภูมิใจมาก

ไป๋จือเยี่ยน “…..” เขาไปหลอกอะไรเจ้านั่นกัน??

ชิงอวี่ “…..” เหตุใดนางจึงยังไม่อาจทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายพยายามจะสื่ออะไรกันแน่?

ชิงเป่ย “…..” คนเสียสติ!

“เจ้านั่นพล่ามอะไรไว้หรือ?” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยถามด้วยความฉงน

ชิงอวี่คิดครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มเก้อเขินอยู่เล็กน้อย “บอกตามตรง ข้าก็ไม่เข้าใจที่เขาพูดเช่นกัน”

“เขาอาจมีปัญหาที่ตรงนี้” ชิงเป่ยเอ่ยหน้านิ่งพลางยกมือขึ้นชี้ที่ศีรษะ

ไป๋จือเยี่ยนยิ้มเห็นด้วย “อืม เป็นเช่นนั้นล่ะ หากวันหนึ่งนอนไม่พอก็จะไม่ปกติ พูดอะไรแปลก ๆ ทำอะไรไร้เหตุผล พอชินแล้วก็ดีเอง”

หึ ใครจะอยากชินกับเรื่องบ้าบอเช่นนี้กัน อาการราวกับคนเดินละเมอ

ภายในห้องชั้นบน โหลวจวินเหยากำลังศึกษาเศษวิญญาณที่เก็บเอาไว้ในมุกฟื้นคืนวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าเศษวิญญาณแทบจะมองไม่เห็นที่ก่อนหน้าเคยเปราะบางนัก หลายวันนี้ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นกว่าเดิมมาก

ที่ประตูได้ยินเสียงเคาะเบา ๆ ก่อนไป๋จือเยี่ยนจะเอ่ยคำ “แม่นางน้อยมา บอกว่ามาหาเจ้าแน่ะ”

ได้ยินดังนั้นโหลวจวินเหยาจึงเปิดประตูห้องออกไป

“ได้เข้าภาควิชาพิเศษหรือ?”

เงาร่างสูงค่อย ๆ เดินเข้ามา เอ่ยเสียงขัดบทสนทนาเข้า

ชิงอวี่เลิกคิ้ว “รู้เรื่องดีไม่น้อย”

มุมปากโหลวจวินเหยายกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเดินออกไปนั่งลงบนที่นั่งหนึ่ง มือเรียวงามพลันรินชาอุ่นที่มีไอพวยพุ่งสองถ้วย “ชานี้ต้มจากน้ำบนยอดเขา เจ้าลองลิ้มรสดู”

ชิงอวี่ตาเป็นประกาย “มิน่ากลิ่นจึงแปลกไป” จากนั้นยกถ้วยชาจรดริมฝีปากแล้วจิบคำหนึ่ง “หอมนัก”

ชิงเป่ยด้านข้างก็อลงดูเช่นกัน พบว่ารสชาติดีไม่น้อย

“เข้าสำนักละอองหมอกได้แล้วคิดจะทำอะไรต่อ?” โหลวจวินเหยาเริ่มเปิดปากถาม

ชิงอวี่วางถ้วยชาลงก่อนเอ่ยช้า ๆ “ข้าสัมผัสได้ถึงเศษวิญญาณของท่านแม่ในนั้น ข้าจะเริ่มจากมันก่อน”

ชิงเป่ยรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เมื่อได้ยินชิงอวี่เอ่ยถึงจึงไม่เปลี่ยนสีหน้ามากมาย

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว “เจ้าสัมผัสได้จริงหรือ? เมื่อตอนทดสอบช่วงกลางวันหรือไม่?”

“ข้าสัมผัสได้มานานแล้ว อาจเพราะมีสายเลือดเดียวกันกระมัง ข้าไม่เคยคิดจะมาสำนักละอองหมอกมาก่อน แต่เสียงภายในกายข้าคอยพร่ำบอกให้ข้ามาที่นี่อยู่ร่ำไป” ชิงอวี่ตอบตามตรง

โหลวจวินเหยาพยักหน้า “ในเมื่อมั่นใจเรื่องสถานที่แล้วก็เริ่มออกค้นหาได้ ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์สำนักละอองหมอก จะทำอะไรตามใจอาจไม่สะดวกนัก ข้าจะไปช่วยด้วยก็แล้วกัน”

“ช่วยหรือ?” ชิงอวี่ประหลาดใจไม่น้อย จากนั้นเริ่มมีสีหน้าสงสัย “ประตูขึ้นเขาสำนักละอองหมอกมีความสามารถพิเศษ เกรงว่าท่านจะแอบเข้าไปได้ไม่ง่าย”

“ข้าก็ไม่ได้จะแอบเข้าไป แต่จะเดินเข้าไปอย่างเปิดเผยต่างหาก” โหลวจวินเหยาเอ่ยพร้อมคลี่ยิ้มมีความนัย

เห็นเด็กสาวมีสีหน้าไม่เข้าใจเช่นนี้ เขาจึงแบมือออก ปรากฏตราสีแดงเข้มที่มีคำว่าอาจารย์ภาควิชาพิเศษสลักอยู่ ด้านล่างมีดาวดวงเล็กเป็นประกายเจ็ดดวงเรียงกันเป็นวงกลม

อาจารย์เองก็มีหลายระดับเช่นกัน ระดับที่สูงที่สุดคือระดับเจ็ดดาว

ภาควิชาพิเศษนั้น นับแต่ก่อตั้งมาก็ไร้อาจารย์สอน ดังนั้นเมื่อโหลวจวินเหยาหยิบตราออกมาก็ทำเอาชิงอวี่ชะงักงันไปหลายอึดใจ “เลียนแบบได้เหมือนมาก! ดูเหมือนของจริงเลยเชียว!”

โหลวจวินเหยาคลี่ยิ้ม “ไม่ใช่ของเลียนแบบ แต่เป็นตราอาจารย์ระดับเจ็ดดาวของจริงเลยต่างหาก”

ชิงอวี่ยังดูท่าจะไม่เชื่อ เหลือบมองชายหนุ่มก่อนจะคว้าตราในมืออีกฝ่ายมาตรวจดูโดยละเอียด สุดท้ายก็เห็นตัวอักษรด้านหลังตราที่เขียนว่าโหลวไป่เชียน (หนึ่งแสน)

“ใครคือโหลวไป่เชียน?”

“เป็นนามปลอมที่ข้าเคยใช้ในดินแดนระดับล่าง” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ

ชิงอวี่ยังดูไม่เชื่อโดยสนิทใจ “ชื่อนี้มัน….. ไม่ตั้งส่งเดชไปหน่อยหรือ? เหตุใดไม่ตั้งเป็นเชียนว่านเล่า?” (สิบล้าน)

“เชียนว่านดูไร้รสนิยม อีกทั้งยังสื่อถึงเรื่องเงินเกินไป เจ้าไม่คิดว่างั้นหรือ?” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงรังเกียจ

ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็ขบขันนัก แล้วไป่เชียน (หนึ่งแสน) ไม่ใช่เรื่องเงินเลยกระมัง?

ชิงเป่ยพลันละสายตาจากชายหนุ่ม คิดในใจว่า คราแรกได้พบรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าเกรงกลัวนัก แต่พอรู้จักจริง ๆ แล้วก็เป็นมิตรไม่น้อยเลย

เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มคือสหายของท่านแม่ สนิทสนมกันไม่ใช่น้อย อีกทั้งเขายังช่วยตามหาเศษวิญญาณของท่านแม่เต็มกำลัง นางจึงไม่รู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่ออีกฝ่ายอีก

แต่ดูท่าสองคนนี้ยังมีเรื่องให้คุยอีกมาก ชิงเป่ยจึงลุกขึ้นก่อนเอ่ย “ข้าอยากลงไปเดินด้านล่างสักหน่อย”

ชิงอวี่มองตามเขา “อืม เช่นนั้นรอข้าด้านล่าง อย่าเดินเตร่ไปไกลเล่า”

ชิงเป่ยตอบตกลงก่อนเดินจากไป

โหลวจวินเหยาเห็นแล้วก็รู้สึกขำ “พวกเจ้าเป็นแฝดกันไม่ใช่หรือ? อายุเท่ากันแท้ ๆ เหตุใดเจ้าจึงทำท่าเป็นผู้ใหญ่ แล้วเขากลายเป็นเด็กน้อยต่อหน้าเจ้าเสียเล่า?”

“จะเหมือนกันได้อย่างไร? ข้าใช้มาแล้วสองชีวิต ย่อมต้องเป็นผู้ใหญ่กว่าอยู่แล้ว” ชิงอวี่ตอบ

นางบอกโหลวจวินเหยาไปแล้วว่านางมาจากอีกโลกหนึ่ง โหลวจวินเหยาได้ฟังคำนางก็มีท่าทางสงสัยนัก “แม่นางน้อยที่มีไหวพริบและฝีมือสูงส่งเช่นเจ้า ชาติที่แล้วเกิดอะไรจึงทำให้พ่ายแพ้ตายตกเช่นนี้ได้?”

รอยยิ้มมุมปากชิงอวี่แข็งค้างในพลัน สีหน้าคล้ายกับจะฉายแววเจ็บปวดแวบหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มเยาะเย้ยตนเองแล้วเอ่ยเป็นเชิงยอมรับ “เพราะความรู้สึกโหยหาบางอย่างที่ไม่สมควรมีอย่างไร”

โหลวจวินเหยาชะงักไป ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “เป็นคนที่เจ้าชอบหรือ?”

เป็นคนที่ชอบหรือ?

ชิงอวี่ส่ายหน้าก่อนหัวเราะ “ก็อาจจะ แต่อย่าพูดถึงมันจะดีกว่า”

แต่คำตอบไม่ใส่ใจของนางกลับทำให้โหลวจวินเหยามั่นใจว่านางคงเคยเจ็บปวดเพราะความรักมาก่อน ดังนั้นจึงรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปด้วย

จุดจบของอาหลานคือการที่เศษวิญญาณกระจายไปทั่วแดน ไม่รู้ว่าอยู่หรือตาย ก็เป็นเพราะบุรุษคนหนึ่งเช่นกัน บุตรสาวของนางก็ดูท่าจะเป็นกรณีเดียวกันที่เคยตายเพราะบุรุษ

คำว่ารักช่างเป็นคำที่ทรมานผู้คนจริง ๆ

ไม่ทันได้ตั้งตัวดวงอาทิตย์ก็หล่นลงไปที่เส้นขอบฟ้าแล้ว เข้าสู่ยามพลบค่ำ ก่อนจะจากไปชิงอวี่จำได้ว่าต้องถามอีกเรื่องหนึ่ง จึงหันกลับไป “ท่านรู้จักเฟิ่งเทียนเหิงหรือไม่?”

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว “ทำไมหรือ?”

“คนผู้นี้ทำให้ข้ารู้สึกแปลก ๆ…..” ชิงอวี่ขมวดคิ้ว นึกย้อนดูแล้วว่าต่อ “ข้าอ่านเขาไม่ออก แล้วเขาก็รู้สึกราวกับไม่มีตัวตนอยู่จริง เหมือนกับว่า….. ไม่ใช่มนุษย์ที่ปกติสมบูรณ์”

โหลวจวินเหยาไม่เผยแววประหลาดใจมาก เพียงแต่ตอบกลับมาว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงสนใจเขาขึ้นมา?”

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว “เพราะเขาเป็นคนที่เชิญให้ข้าเข้าภาควิชาพิเศษด้วยตนเอง สายตาเขาทำให้ข้าอึดอัดยิ่ง ราวกับมีสิ่งชั่วร้ายหมายตาข้าไว้อยู่ ข้ามั่นใจว่าไม่เคยรู้จักเขา อีกทั้งเขายิ่งไม่มีทางรู้จักข้า ข้าจึงรู้ว่าว่าคนผู้นี้น่ากลัวนัก”

โหลวจวินเหยากอดอกมองชิงอวี่นิ่ง นัยน์ตามีแววหยอกเย้าเต้นระริก “ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย หากไม่ชอบที่เขามอง เจ้าก็ควักลูกตาเขาออกเสียสิ”

ชิงอวี่เหลือบมองเขา รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์สำนักละอองหมอก หากทำตัวกร่างสร้างความสนใจเกินควรแล้วจะสืบเรื่องท่านแม่ได้อย่างไรกัน? ไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าเรื่องเล็กอดทนไม่ได้จะเสียงานใหญ่หรือ!?”

นางไม่น่ามาระบายเรื่องในใจให้เจ้าคนนี้ฟังเลย!

โหลวจวินเหยายิ่งมีรอยยิ้มลึกขึ้น เห็นนางโกรธราวกับขนพองก็รู้สึกขบขันนัก

ดังนั้นจึงเผลอยืดมือออกไปลูบเรือนผมนุ่มนิ่มตรงหน้าแล้วกลั้นขำ “เจ้าก็เลยกลายเป็นแม่นางน้อยเซื่อง ๆ ไปแล้วหรือ? ดีเลย เพราะต่อไปข้าจะไปเป็นอาจารย์เจ้า อยู่กันสองคนก็ไม่มีอะไรหรอก แต่หากเป็นต่อหน้าผู้อื่นเจ้าจะทำตัวเกเรมากย่อมไม่ดี”

ชิงอวี่ชะงักค้างไป นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อขณะที่จ้องอีกฝ่าย นี่เขาคิดเองเออเองว่าเขากับนางสนิทสนมกันจนถึงขั้นที่ลูบหัวกันได้แล้วหรือ?

แต่สุดท้ายยังไม่ทันได้แผลงฤทธิ์โกรธ นางก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาร้ายกาจค่อย ๆ ยื่นเข้ามา นัยน์ตาที่คล้ายกับหินสีม่วงล้ำค่าเต็มไปด้วยแววขบขัน จากนั้นก็เผยอริมฝีปากกระซิบคำข้างหู “ตอนเจ้าบอกว่าไม่ชอบสายตาที่เขามองมา เจ้าดูราวกับเด็กน้อยที่ถูกคนแกล้งจากข้างนอกแล้ววิ่งโร่กลับมาฟ้องผู้ปกครองเลย”

ชิงอวี่ในใจพลันระเบิดตูม นี่นางกำลังถูกเอาเปรียบอยู่ใช่หรือไม่!?