บทที่ 153 เจ้าคนนิสัยไม่ดี! เอาแขนข้าคืนมา! เอามา!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

หลังการทดสอบเข้าสำนักก็จะมีการต้อนรับศิษย์ชุดใหม่เข้าสำนัก จากนั้นทั้งปีก็จะไม่มีกิจกรรมอะไรอีก

ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ของสำนักละอองหมอกในปีนี้คือการที่ชิงเอาตัวเด็กอัจฉริยะผู้ครองธาตุที่หาได้ยากทั่วแดนมาได้คนหนึ่ง

ได้ยินมาว่าคนผู้นั้นสวรรค์ชั้นฟ้าคงรักมาก ประทานพรสวรรค์มาให้มีทั้งพลังวิญญาณและพลังยุทธ์ขั้นสุด ไม่ว่าจะเลือกทำอะไรต้องได้เป็นแนวหน้า อีกทั้งยังสามารถบำเพ็ญได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน

แต่อัจฉริยะคนนี้กลับเก็บตัวเงียบเชียบนับตั้งแต่เข้าสำนักมาได้ นอกจากคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ในวันนั้นแล้วก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักนาง นอกจากรู้เพียงว่านางเป็นเด็กสาวคนหนึ่งแล้วก็ไม่มีใครรู้อะไรอีก

หากเป็นคนอื่นที่มีพรสวรรค์เช่นนี้แล้ว ก็คงป่าวประกาศบอกคนเขาไปทั่วด้วยเกรงว่าใต้หล้าจะไม่รู้ว่าข้าเก่ง แต่เด็กสาวคนนี้ไม่เหมือนใคร

วันนี้เป็นวันที่ศิษย์ใหม่จะต้องไปรายงานตัวกับภาควิชาต่าง ๆ ที่ตนเองอยู่ ศิษย์พี่ทั้งหลายต่างพากันมานำทางพวกเขาไป

หมิงอีอีย่อมไปยังภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณที่พี่ชายนางอยู่ แต่ก่อนนางจากไป นางก็มองชิงอวี่ด้วยความกังวลเล็กน้อย “เจ้าต้องระวังนะ ได้ยินจากท่านพี่ว่าคนในภาควิชาพิเศษรับมือยากเป็นพิเศษ ทั้งยัง….. ชอบรังแกศิษย์ใหม่อีก”

ชิงอวี่เลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าข้าจะถูกรังแกได้ง่าย ๆ หรือ?”

หมิงอีอีขมวดคิ้วมองร่างบางของเด็กกสาวที่ดูเปราะบาง อดจะเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้

“พวกคนในภาควิชาพิเศษไม่คิดถนอมคนงามอ่อนโยนกับสตรีหรอกนะ ทั้งสตรีในนั้นก็ป่าเถื่อนกว่าบุรุษ เจ้าก็อย่าไปปะทะกับพวกเขาตรง ๆ แล้วถ้า….. ถ้าเจ้าถูกรังแกขึ้นมา…..”

“อีอี เจ้าคิดมากไปแล้ว” ชิงอวี่เอ่ยขัด “ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นอัจฉริยะที่มีพลังยุทธ์ขั้นสุด”

“แต่พวกนั้นมีหลายคน เจ้าตัวคนเดียวนะ!” หมิงอีอียังไม่วายห่วง “หรือข้าเรียกท่านพี่ให้ไปกับเจ้าดีกว่า อย่างน้อยเขาก็มีฐานะในสำนักอยู่บ้าง พวกเขาต้องไว้หน้าท่านพี่บ้าง”

ชิงอวี่ไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้เพียงก้มหน้าหัวเราะเท่านั้น

เด็กคนนี้นี่จริง ๆ เลย เจอกันครั้งแรกยังมีท่าทีเย็นชาโอหัง เชิดหน้าอยู่ตลอด ร่างเปราะบางเล็ก ๆ นั่นก็มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งนักจนผู้คนไม่กล้าข้องเกี่ยว

แต่พอสนิทกันแล้วกลับเป็นห่วงเป็นใยกันมากเช่นนี้ แม้จะจุกจิกจู้จี้ไปสักหน่อย แต่ไม่มีใครเกลียดคนที่คอยเป็นห่วงตนเองหรอก

ชิงอวี่ยกยิ้ม ก่อนจะเผยเป็นรอยยิ้มเจิดจ้า “ไม่พนันกันดูเล่า?”

“พนันหรือ?” หมิงอีอีกะพริบตาฉงน

“หากข้าถูกรังแกจริงก็แปลว่าข้าแพ้ ต้องรักษาอาการเจ้าให้หายภายในสามเดือนโดยไม่รับเงินสักแดงเดียว แต่หากข้าไม่ถูกรังแกและเจ้าแพ้พนัน เจ้าต้องทำเรื่องหนึ่ง” ชิงอวี่ว่าพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ หากดูดี ๆ จะรู้เลยว่านางกำลังวางแผนชั่วร้ายอยู่

หมิงอีอีสีหน้าเคร่งเครียดเอ่ยถาม “จะให้ข้าทำอะไร? ต้องเป็นเรื่องที่ข้าทำได้นะ หากยากเกินกำลังข้าไม่ตกลง”

ชิงอวี่ไม่ปล่อยนางให้สงสัยนาน เอ่ยออกไปตามตรง “หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องไปบอกความรู้สึกกับท่านพี่ของเจ้าเสีย ว่าอย่างไร?”

ดวงหน้าเล็กของหมิงอีอีพลันซีดเผือด “เจ้า….. เจ้าว่าอะไรนะ?”

“ก็เจ้าชอบหมิงจิ้งมานานแล้วไม่ใช่หรือ? ยอมมอบโลหิตดวงใจที่มีค่าที่สุดให้เขาเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ ทำให้ร่างกายเจ้าเสื่อมถอยลงจนกลายเป็นเช่นนี้ จะปล่อยให้เขาไม่รู้ความจริงไปทั้งชีวิตเลยหรือไร? ว่ามีคนคนหนึ่ง ที่ยอมสละเพื่อเขามากเพียงนี้? เช่นนั้นก็บอกความรู้สึกไปตามตรงเสีย พวกเจ้าก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันอยู่แล้วนี่” ชิงอวี่เอ่ยพลางลูบคาง ท่าทางคล้ายเจ้าหมาป่าชั่วร้ายตัวใหญ่ที่หมายจะลวงหลอกกระต่ายตัวจ้อย

หมิงอีอียิ่งหน้าซีดกว่าเดิม “เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?”

นางมั่นใจว่านอกจากนางเองแล้ว ในใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก แต่ชิงอวี่กลับรู้เรื่องมากมายเช่นนี้?”

เห็นเด็กสาวมีสีหน้าเช่นนั้นแล้ว ชิงอวี่จึงวางมือไว้ข้างแก้มตนพลางถอนใจ “ลืมแล้วหรือว่านักบำเพ็ญวิญญาณสามารถล่วงรู้ความทรงจำผ่านความฝันได้? ตอนข้าตรวจร่างกายให้เจ้าคราวนั้น ข้าบังเอิญได้เห็น เพราะใจเจ้าจับจ่ออยู่กับเรื่องนี้ไม่ยอมวางลงเสียที”

หมิงอีอีสะดุ้งเฮือก จากนั้นนัยน์ตาฉายแววสับสน “เจ้านี่ทำคนอิจฉาได้มากมายจริง ๆ เป็นนักปรุงยาแท้ ๆ แต่กลับมีความสามารถเช่นนักบำเพ็ญวิญญาณด้วย”

“ตอนนี้เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ชิงอวี่เอ่ยไม่ใส่ใจ “เพราะตอนข้ากลับมา ข้าเห็นหมิงจิ้งอยู่กับหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง พวกเขายิ้มให้กันด้วยนะ”

เป็นที่รู้กันว่าหมิงจิ้งนั้นเย็นชาเย่อหยิ่ง ใบหน้าไม่เผยอารมณ์ แต่หากเป็นมิตร ถึงกับมีรอยยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่งเช่นนี้ ก็หมายความว่านางมีความพิเศษในใจเขานั่นเอง

หมิงอีอีได้ยินแล้วก็เผลอกัดริมฝีปาก กำมือแน่นไม่เอ่ยคำใด

“ข้าเพียงรู้สึกว่าเจ้าคงจะเจ็บปวดมากตอนที่ข้าเห็นความทรงจำนั้น แต่ข้าก็ไม่อยากจุ้นจ้านเรื่องเจ้ามากมาย เจ้าจะทำหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”

หมิงอีอีนัยน์ตาแดงเรื่อ ร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย นางออกจากเผ่านักบำเพ็ญวิญญาณมาแล้ว ไม่เหลือที่ใดให้กลับไปอีก เหลือเพียงพี่ชายของนางเท่านั้น

หากท่านพี่ทิ้งนางไปอีกคน…..

ฉับพลันนัยน์ตาเด็กสาวก็ฉายแววมุ่งมั่น “เจ้าจะชนะหรือไม่ ข้าก็จะบอกท่านพี่ว่าข้าชอบเขา!”

ชิงอวี่คลี่ยิ้มตบไหล่ให้นาง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป นี่นางทำดีไปคราหนึ่งกระมัง?

เนื่องจากภาควิชาพิเศษนั้นแตกต่างและอันตรายกว่าคนอื่น มันจึงตั้งอยู่ห่างจากภาควิชาอื่น ๆ มากหน่อย ชิงอวี่คำนวณคราว ๆ ว่าคงใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ (15 นาที) กว่าจะเดินไปถึงที่

และเนื่องจากนางยังไม่คุ้นกับสถานที่นัก ตลอดทางจึงถามทางไปเรื่อย เมื่อคนอื่นเห็นว่าเป็นเด็กสาวหน้าตางดงาม ต่างก็สะท้านอายไปเล็กน้อยก่อนจะรู้ตัวว่านางกำลังถามทางไปภาควิชาพิเศษ พวกเขาพลันชะงักค้างไป ก่อนจะใช้สายตาคล้ายมองตัวประหลาดมองนาง

หลังจากมั่นใจแล้วว่านางถามทางไปภาควิชาพิเศษจริง ๆ ก็เผยใบหน้าเห็นใจอย่างสุดซึ้ง ทำท่าราวกับอยากพูดบางอย่างแต่กลับยั้งปากไว้ รีบบอกทางนางก่อนก้าวเท้ายาว ๆ จากไปทันที

ชิงอวี่เห็นแล้วก็รู้สึกขัน เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอสูรชั่วร้ายหรือไร? ต้องทำให้เกินจริงถึงขั้นนี้เลยเชียว?

— ภาควิชาพิเศษ —

คาบสอนช่วงเช้ามักเริ่มหลังจากผ่านยามเหม่าไปหนึ่งเค่อ เพราะไม่ว่าจะอยู่ภาควิชาใด กระทั่งนักปรุงยาที่มีร่างกายเปราะบางที่สุดยังต้องมีร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้นการตื่นเช้าก็เป็นการฝึกอย่างหนึ่ง

นับตั้งแต่ก่อตั้งภาควิชาพิเศษขึ้นมาก็เป็นเวลา 7-8 ปีได้แล้ว แต่กลับยังมีศิษย์จำนวนเพียง 11 คนเท่านั้น

เดิมทีพวกเขามีโอกาสเติบโตแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ด้วยสมาชิกศิษย์ที่ไม่มีใครปกติสักคน เวลาผ่านไปก็ยิ่งมีข่าวลือน่ากลัวแพร่ออกไปเรื่อย ๆ ดังนั้นแม้จะมีคนอยากเข้าร่วมแต่ก็ไม่กล้าย่างกรายมาที่นี่

สภาพอากาศเย็นลงมาก พระอาทิตย์ยังไม่ปรากฏ ผ่านยามเหม่ามาสามเค่อท้องฟ้าจึงเริ่มมีแสงสองปรากฏ

เรือนในภาควิชาพิเศษนั้นแตกต่างมาก หากมองไกล ๆ ก็คล้ายกับตำหนักที่ถูกทิ้งร้างไว้ยาวนาน ตั้งอยู่ในพื้นที่กว้างขวาง ต้นไม้สูงใหญ่ทั้งหลายบดบังแสงเต็มทั่วพื้นที่ พืชที่ออกใบเขียวขจีทั้งปีขึ้นเป็นพุ่มอยู่เต็มโดยไม่เกรงกลัวความหนาวเหน็บ แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาบดบังท้องฟ้า

ดังนั้นแม้ยามพระอาทิตย์ขึ้นกลางหัวอันเป็นช่วงที่แดดแรงที่สุด ก็มีแสงลอดเข้ามาได้ไม่มาก ทำให้กลายเป็นสถานที่อึมครึมดูชั่วร้ายไป

นับตั้งแต่ที่ชิงอวี่ก้าวเท้าเข้ามา นางก็รู้สึกว่าขนอ่อนที่ลำคอพากันลุกชัน

ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะมีพลังหยินที่รุนแรงมากต่างหาก รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีจนกระทั่งเสียวสันหลังวาบ รู้สึกราวกับมีนัยน์ตาประหลาดคอยจับจ้องก็มิปาน

ในตอนที่กำลังมองรอบกายอย่างระแวดระวัง ก็มีบางอย่างแตะเข้าที่ไหล่นางแผ่วเบา ชิงอวี่คว้ามันไว้โดยสัญชาตญาณก่อนจะบิดมันอย่างแรง

เสียงดังเป๊าะดังขึ้นได้ยินชัดเจน น้ำเสียงใสซื่อดังมาจากที่ไหนสักแห่ง “ดูท่าจะมือหักนะ!”

“ไม่ใช่ดูเหมือน แต่หักเลยล่ะ!” อีกเสียงดังขึ้น

“น่าสงสารจัง บำเพ็ญตั้งสามเดือนกว่าแขนจะงอกออกมาอีก ตอนนี้กลับหักอีกแล้ว” เสียเจือแววสงสารที่สามดังขึ้น

“เอ๋? เหตุใดเจ้าถึงพูดว่า ‘อีกแล้ว’ เล่า?” เสียงใสซื่อถามด้วยความประหลาดใจ

“ครั้งก่อนข้าเห็นมันแตะที่อกบุรุษหน้าตาคล้ายสตรีมากผู้หนึ่ง คงนึกว่าเขาเป็นเด็กสาว อยากจะกินเต้าหู้[1] เขาจึงหักมือมันเสียตรงนั้น” เสียงที่สองตอบกลับ

“อ้อ งั้นแสดงว่าเด็กคนนี้งดงามมากจนมันทนไม่ไหว อดแตะไม่ได้กระมัง?” น้ำเสียงใสซื่อจึงเอ่ยสรุปด้วยความหัวไว

“โง่นัก ไม่รู้หรือว่าสตรียิ่งงามยิ่งอันตราย? ไร้สมองจริง” เสียงที่สามเอ่ยหยัน

“…”

ชิงอวี่มีใบหน้าสับสน เอี้ยวตัวมองไปด้านขวา เห็นเงาร่างคนสามคนตะคุ่มเบียดกันอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านบดบังแสง ทั้งสามนอนอยู่ท่าเดียวกัน คิดว่าคงไม่มีใครเห็น เพราะต่างก็คุยกันด้วยเสียงที่ไม่เบานัก

นั้นมัน….. อะไรกัน?

ชิงอวี่กะพริบตา จากนั้นหันไปด้านหลังอย่างทื่อ ๆ คล้ายกับเครื่องจักรเพื่อมองสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจระบุตัวตนได้ที่เมื่อครู่คิดแตะต้องตัวนาง

และในมือนางคือ….. กิ่งไม้หัก ๆ?

ข้างกายนางคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูอายุราว 15-16 ปี หน้าตาเขานั้น….. เอ่อ อธิบายยากนัก

เขากำลังเบิกตาที่มีเพียงเส้นบาง ๆ สองเส้นเกือบมองไม่เห็น มองนางด้วยความตกใจ อ้อ มีตานี่นา

มือซ้ายนั้นมีเนื้อหนังดูอวบอ้วน ในขณะที่มือขวา….. ส่วนหนึ่งหักไปแล้ว ไม่เห็นเป็นแขนมนุษย์อีก มันแห้งเหี่ยวจนกลับเป็นกิ่งไม้ไป

ชิงอวี่ก้มหน้ามองกิ่งไม้ในมือก่อนจะเงยหน้ามองแววตาสับสนของเด็กหนุ่มร่างผอม แต่กลับมีใบหน้าอวบคล้ายลูกบอลกลม ๆ จนมองตาหาจมูกแทบไม่เจอ นางจึงเอ่ยเสียงประเมินออกไป “เรื่องนี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้านึกว่าเจ้าจะโจมตีข้า”

ใครจะคิดว่านางเพิ่งจะพูดจบ อีกฝ่ายกลับอ้าปากร้องไห้เสียงดัง น้ำหูน้ำตาน้ำมูกไหล กอดแขนขวาตนเองคุดคู้ลงเป็นก้อนกลมกับพื้นราวกับเม่น ร้องไห้โศกเศร้าราวกับคนที่บ้านตาย “เอาแขนข้ากลับมาเลยนะ! เจ้าต้องชดใช้! ฮือ ๆ…..”

ชิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น ทำอะไรไม่ถูกอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงยื่นแขนส่งเศษกิ่งไม้ไปให้ “เอ่อ นี่”

เด็กหนุ่มฉวยมันจากมือนาง สะอื้นไห้น่าสงสารยิ่งกว่าเก่า “เจ้ามันคนนิสัยไม่ดี!” จากนั้นก็วิ่งหนีหายไปไม่ทิ้งร่องรอย

ชิงอวี่งงงวยไม่น้อย หรือนั่นจะเป็นต้นไม้ที่มีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาจากการบำเพ็ญเพียร?

“คงไม่ออกมาอีกสักหลายเดือนเลย” น้ำเสียงใสซื่อเอ่ยด้วยความเห็นใจ

“ก็สมควรแล้ว ใครใช้ให้มันบ้ากามนักเล่า? เป็นต้นไม้ที่ชอบหยอกเอินเด็กสาวสวย ๆ ก็สมควรจะถูกหักแขนแล้ว” เป็นน้ำเสียงที่ติดจะเย่อหยิ่งดังขึ้น

“เออ แต่เราก็เป็นต้นไม้เหมือนกันนะ!” น้ำเสียงใสซื่อเอ่ยตอบ

“เออ ก็ใช่ มาเถอะ รีบไปกันเถอะ อย่าให้เด็กสาวคนนั้นเจอตัวเรา นางน่ากลัวนัก ข้าไม่อยากถูกหักมือ”

ชิงอวี่ “…..” ได้ยินชัดแจ๋วเลย

เชิงอรรถ

[1]กินเต้าหู้ หมายถึง ลวนลามหรือแต๊ะอั๋งเด็กสาว

———————–