มุมปากชิงอวี่กระตุกยิกยามมองร่างหลังต้นไม้ทั้งสามวิ่งหนีจากไป
ร่างเล็กเหล่านั้นมีขนาดสูงเพียงครึ่งคนปกติ ดูเหมือนจะเป็นเพียงเด็กเล็กเท่านั้นเอง
ในภาควิชาพิเศษแห่งนี้มีของประหลาดอยู่ด้วยหรือนี่
นางมุ่งหน้าฝ่าความมืดครึ้มต่อไป ในที่สุดด้านหน้าก็เห็นแสงสว่าง ระหว่างทางก็ไม่เจอสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ อีก เมื่อเห็นตำหนักสีประหลาดด้านหน้าจึงก้าวเท้าเดินเข้าไป
จนเมื่อได้ก้าวเข้าไปด้านใน ชิงอวี่จึงเห็นว่าที่นี่กว้างขวางมากเพียงไร
ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบานางสะท้อนก้องไปไกล ที่นี่ว่างเปล่ามากเสียจนน่าตกใจนัก
ในภาควิชาพิเศษมีศิษย์เพียงไม่กี่คน แต่กลับใช้พื้นที่มากกว่าภาควิชาอื่น ๆ ขนาดนี้ ไม่สิ้นเปลืองไปหน่อยหรือ?
ในหัวนางกำลังครุ่นคิด พลันได้ยินเสียงฝีเท้าระลอกที่สองดังขึ้นที่ด้านหลัง
ชิงอวี่หันกลับไปมอง เห็นชายหนุ่มนัยน์ตาง่วงซึมร่างสูงกำลังเดินใกล้เข้ามา ท่าทางราวกับละเมอ กระทั่งเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายไม่คุ้นเคยจึงเบิกตากว้างขึ้น จ้องชิงอวี่สีหน้าฉงน “เจ้าเป็นใคร?”
ชิงอวี่คลี่ยิ้มเป็นมิตรให้ “สวัสดี ข้าเป็นศิษย์ใหม่มารายงานตัว นามว่าชิงอวี่”
สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไป “หน้าใหม่หรือ?”
“ใช่แล้ว” ชิงอวี่พยักหน้าตอบ
ชายหนุ่มทำท่าราวกับแมวผวา สีหน้าเปลี่ยนไปมาน่าดู ท่วงท่าเชื่องช้าแต่เดิมที่เยื้องย่างเข้ามากลายเป็นท่ากระโดดเหยง ๆ หายไปในพริบตาราวกับลูกธนูถูกยิงจากคันศร พริบตาเดียวก็หายวับไป
“…..” ชิงอวี่ยิ่งมีสีหน้าประหลาดใจเป็นที่สุด นางน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ? ไม่กระมัง!
แต่ในที่สุดได้เห็นหน้ามนุษย์สักคน และดูจากทิศที่เขาหนีไปแล้ว ชิงอวี่จึงพอรู้ว่าห้องเรียนในภาควิชาพิเศษอยู่ที่ไหนกันแน่ นับเป็นครั้งแรกที่นางเดินหาทางเองไม่ถูก ที่นี่มันกว้างขวางเกินไปจริง ๆ
นางค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านใน สุดท้ายมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูหนึ่ง ด้านในนี้เงียบงันไร้เสียงใด ตัวประตูแง้มเปิดอยู่เล็กน้อยราวหนึ่งฝ่ามือ
ชิงอวี่เลิกคิ้วเงยหน้ามองมัน ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ส่งเสียง
“แม่นางน้อย มาถึงแล้วไม่เข้ามาข้างในเล่า?” นางเพิ่งจะก้าวห่างออกไปเพียงสองก้าว น้ำเสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มก็ดังขึ้น
คนผู้นั้นสูง รูปร่างค่อนข้างผอม หน้าตาดูดีไม่น้อย เบื้องล่างนัยน์ตาเรียวยาวหรี่ลงเล็กน้อยของเขาคือไฝรูปหยดน้ำสีแดง เพิ่มเสน่ห์เย้ายวนใจให้ชายหนุ่ม ทั้งยังเสริมกลิ่นอายอ่อนโยนให้เจ้าของร่าง
ชิงอวี่จำเขาได้ ดูเหมือนจะเป็นจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญด้านการโจมตีด้วยเสียงคนนั้น สังหารงูพิษและค้างคาวนับพันเมื่อคราวเหตุการณ์ที่ป่าโคลนสาบสูญ เขาอยู่ภาควิชาพิเศษเช่นเดียวกัน
แต่คนผู้นี้ดูเข้าหาง่ายและเป็นมิตรกว่าครั้งก่อนมาก นิสัยอ่อนโยน ไม่เหมือนรอยยิ้มซ่อนมีดของเฟิ่งเทียนเหิง
อืม ภาควิชาพิเศษก็ดูมีคนปกติธรรมดาอยู่บ้างเหมือนกัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มบางหากแต่มองนางด้วยความสงสัยแล้ว ชิงอวี่ก็ลังเลอึดใจหนึ่ง เมินเฉยต่อความรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่มองแทบไม่เห็นในหัวใจ ก่อนจะเอ่ยเรื่องไร้สาระที่เพิ่งนึกออกสด ๆ ร้อน ๆ ออกไป
“ก็ ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่ทั้งหลายในภาควิชาพิเศษไม่ชอบเด็กใหม่ ข้าจึงคิดว่ายืนอยู่ข้างนอกเช่นนี้ก่อนดีกว่า เกรงว่าจะทำให้การพบกันครั้งแรกเกิดเรื่องข้องใจกันได้”
ลั่วหลานจือเลิกคิ้วประหลาดใจ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยไร้หนทางเจืออยู่บ้าง “เจ้านี่เป็นเด็กดีจริง พวกเขาต้องชอบเจ้าแน่”
ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวอัจฉริยะที่พี่ใหญ่รับเข้ามาจะมีนิสัยอ่อนโยนเพียงนี้ พูดกันตามตรง ช่างเหมาะกับการเป็นเป้าถูกรังแกยิ่งนัก หากเจ้าเด็กเหลือขอพวกนั้นกล้ากลั่นแกล้งนางจริง นางก็คงกัดฟันทนไปเงียบ ๆ
จะให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้มีคนตั้งมากที่ทนเจ้าพวกนี้รังแกไม่ไหว แต่เด็กคนนี้คือคนที่พี่ใหญ่ออกปากให้ดูแลดี ๆ ดังนั้นจะให้นางถูกเจ้าตัวร้ายเหล่านั้นรังแกจนหนีไปไม่ได้เด็ดขาด
คิดได้ดังนั้น ลั่วหลานจือจึงหมายจะผลักประตูเข้าไปสั่งสอนเจ้าพวกเด็กตัวร้ายทั้งหลายเสียหน่อย
ด้วยกำลังครุ่นคิด จึงไม่ทันสังเกตว่าประตูแง้มออกอยู่เล็กน้อย อีกทั้งก่อนหน้านี้เด็กสาวยังถอยห่างจากมันไปสองก้าว
ประตูเปิดออกพร้อมเสียงเอี๊ยด ลั่วหลานจือยังไม่ทันเอ่ยคำ ก็พลันรู้สึกถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา ร่างกายเขาตอบสนองทันที คิดว่ามีคนหมายจะทดสอบเขา
สุดท้ายกลับเกิดเรื่องไม่คาดคิด อันตรายนั้นไม่ได้มาจากด้านหน้า แต่เป็นด้านบนศีรษะต่างหาก
“ซ่า…..” เสียงน้ำสาดใส่บางอย่างดังขึ้น
ศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนของภาควิชาพิเศษต่างอยู่ในห้องครบทุกคน ดูท่าจะมั่นใจเสียเหลือเกิน ดังนั้นจึงไม่หันมองคนที่หน้าประตูด้วยซ้ำ เพียงแต่คิดไปว่าแกล้งคนได้สำเร็จ พากันส่งเสียงหัวเราะโห่ร้องเบิกบานอยู่ภายใน
“ฮ่า ๆ! นางคงตกใจกลัวร้องไห้กลับบ้านไปแล้วกระมัง!”
“ถึงข้าจะไม่เห็นด้วยเรื่องแกล้งคน แต่ทำไมข้ากลับขบขันเช่นนี้ได้เล่า? ฮ่า ๆ…..”
“ข้าไม่กล้าลืมตาดูภาพน่าสมเพชเช่นนั้นด้วยซ้ำ”
“เดี๋ยว….. เดี๋ยวก่อน….. ดูท่าเราจะ….. มีปัญหาแล้ว” น้ำเสียงขลาดกลัวพลันเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“จะมีปัญหาอะไรได้? มีอะไรให้ต้องกลัว…..” น้ำเสียงนั้นพลันหยุดชะงักไป
พริบตาต่อมา บนใบหน้าศิษย์พี่ทั้งหลายก็เต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว ราวกับถูกบังคับให้กลืนขนนกสิบชั่งแบบที่ไม่อาจพ่นออกมาได้สักนิด
ตายแน่ จบกัน เท่านี้ก็เห็นภาพแล้วว่าจะต้องจบชีวิตลงเพราะอะไร คำตอบก็คือ รนหาที่ตายเอง
ลั่วหลานจือตอบสนองรวดเร็ว แต่ไม่คิดว่าถังไม้ที่ร่วงลงมาไม่เพียงใส่น้ำธรรมดาที่กลายเป็นน้ำเย็นเนื่องจากสภาพอากาศเอาไว้เพียงเท่านั้น ยังมีตัวทากเมือกสีเทาน่าอี๋อยู่ในน้ำด้วย
เป็นตัวทากประเภทที่ถ้าได้เกาะแล้วจะสลัดให้หลุดยากนัก นับเป็นสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงอย่างคาดไม่ถึง
ลั่วหลานจือเป็นคนอารมณ์ดี อ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ แต่นั่นก็เพราะยังไม่มีใครกล้าล้อเล่นกับความอดทนของเขา
และความอดทนของเขาจะหมดลงเมื่อมีใครกล้าแตะเรื่องกลัวเชื้อโรคของเขา กระทั่งเปื้อนฝุ่นสักเล็กน้อยยังทำให้เขาไม่สบายไปทั้งตัว ทำให้จิตใจขุ่นมัวเป็นยิ่งนัก
และตรงหน้าเขาไม่ใช่เพียงแค่เศษฝุ่นมันคือทากเมือกที่น่ารังเกียจน่าขยะแขยงเป็นอย่างมาก! ไม่มีตัวอะไรจะน่าสะอิดสะเอียนไปมากกว่าพวกมันแล้ว
ลั่วหลานจือกลับพวกมันครึ่งหนึ่งไปได้ด้วยการยกแขนขึ้นปัดถังไม้ออก เปลี่ยนทิศทางพวกมันไป ดังนั้นที่แขนเสื้อเขาจึงมีพวกมันเกาะอยู่เพียง 4-5 ตัว แต่กระนั้นสำหรับชายหนุ่มที่คลั่งความสะอาดจนแทบจะเข้าขั้นย้ำคิดย้ำทำ มันก็เหลือทนแล้ว
นัยน์ตาเรียวทะมึนลงจนมองไม่เห็นอารมณ์ใด
เมื่อเห็นตัวหนืดเหนียวบนแขนเสื้อกำลังคลานไปยังมือที่ไม่มีอะไรปิดบังแล้ว ทิ้งเมือกน่าหยีไว้ตามทาง ทันใดนั้นแขนเสื้อก็พลันสลายกลายเป็นจุณไปพร้อม ๆ กับตัวทาก
แต่แน่นอนว่ามันยังไม่หมด ลั่วหลานจือค่อย ๆ ปลดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วโยนมันไปทางเดียวกับตัวเมือกบนพื้น เงยหน้าขึ้นจ้องหน้าศิษย์ทั้งหลายในห้อง เผยอริมฝีปากเอ่ยย้ำเน้นชัดทุกคำ “ในเมื่อพวกเจ้าชอบทากเมือกกันนักก็มาเก็บกวาดเสีย แต่จำเอาไว้ ว่าห้ามใช้พลัง ใช้มือเปล่าเก็บมันขึ้นมาเท่านั้น”
ว่าไงนะ?!
พวกเขาราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม!!
เด็กสาวที่มีใบหน้าราวตุ๊กตาทำหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนที่จะน้ำหูน้ำตาไหล อ้อนวอนเสียงน่าสงสาร “ศิษย์พี่ลั่ว เรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยว พวกเขานั่นล่ะคนต้นคิด แล้วยังบอกอีกว่าอยากแกล้งศิษย์น้องหญิงที่เข้ามาใหม่ ใครจะคิดว่านั่งรอศิษย์น้องตั้งนาน กลับกลายเป็นท่านที่โผล่มา…..”
ปลายประโยคนางเสียงอ่อยลง ถูกสายตาลั่วหลานจือที่ยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ ดูดกลืนหายไป
“อ้อ? เจ้าไม่เกี่ยวหรือ?” ลั่วหลานจือพลันหัวเราะเบา ๆ ราวกับกลับเป็นคนเก่าผู้สง่างามแล้ว
เด็กสาวคิดว่าตนคงรอดพ้นเภทภัยได้แล้ว ชายหนุ่มพลันมีสีหน้าทะมึนลงอีกครั้ง อีกทั้งยังเอ่ยเสียงเหี้ยม “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าชอบเล่นกับพวกแมลงพวกสัตว์น่ารังเกียจเหล่านี้? หากเจ้าไม่เกี่ยว แล้วพวกเขาจะไปหาทากเมือกมากมายเช่นนี้มาจากไหน!?”
เด็กสาวใบหน้าตุ๊กตาดูท่าจะเป็นศิษย์น้องเล็กที่สุด แต่อย่าได้ดูถูกนาง วิชาปรุงยาพิษนางไม่มีใครเทียมในดินแดน แต่วิชายุทธ์ยังกล้าแกร่งเหนือใครหลายคน นางย่อมเป็นคนที่สามารถคิดแผนชั่วขึ้นมาได้ ทั้งยังทำตัวน่าสงสารได้เก่งอีกต่างหาก
แต่ลั่วหลานจือไม่หลงกลนางหรอก
เด็กสาวตัวน้อยได้ยินเสียงตะโกนก็ตกใจ กระทั่งคนใจเย็นอ่อนโยนอยู่ตลอดอย่างลั่วหลานจือที่ดูแล้วคล้ายกับคุณลุงใจดียังโกรธได้น่ากลัวไม่แพ้พี่ใหญ่เลย
ปกติเขาจะเงียบขรึมอยู่ตลอด แต่พอระเบิดขึ้นมาก็สะเทือนทั้งขุนเขา
คนเกือบสิบคนยืนกระวนกระวายใจอยู่ด้านใน ไม่กล้าส่งเสียง นอกจากพี่ใหญ่แล้วก็มีลั่วหลานจือนี่ล่ะที่คอยดูแลพวกเขา เป็นคนอีกคนที่คุมพวกเขาอยู่
เมื่อคนที่เหลือเห็นว่าเด็กสาวคิดโยนความผิดทั้งหมดให้เช่นนั้น ก็คิดอยากบีบคอนางจนตายไปเสียเดี๋ยวนั้น
เคราะห์ดีที่ศิษย์พี่ลั่วรู้ทันนาง
แต่ที่น่าประหลาดใจคือ พวกเขาเห็นศิษย์น้องคนใหม่กำลังเดินเข้ามาแล้วแท้ ๆ เหตุใดจึงกลายเป็นศิษย์พี่ลั่วที่ผลักประตูเข้ามาเล่า?
ไร้เหตุผลสิ้นดี! หรือสวรรค์ลิขิตไว้แล้วว่านางจะรอดตัวไปได้กัน?
ชิงอวี่ยืนดูเรื่องราวคลี่คลาย หลุดหัวเราะดังออกมาดูย่ามใจ
เรียกทุกสายตาให้มองนางในทันที
ร่างกายของเด็กสาวยืนอยู่หลังลั่วหลานจือ จ้องพวกเขาด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ราวกับจะสื่อความหมายบางอย่างออกมา
เด็กสาวใบหน้าตุ๊กตาพลันเบิกตากว้าง ชี้นิ้วไปที่เด็กใหม่ด้วยความโกรธ “เจ้าวางแผนลวงพวกเราหรือ?”
กวาดตามองสายตาโกรธขึ้งของคนทั้งหลายแล้ว ชิงอวี่ยิ่งหัวเราะดัง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้าวางแผนลวงอย่างไรกัน?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าจะเข้ามาแล้วแท้ ๆ! แล้วทำไมจึงหยุดเท้า กระทั่งโกหกศิษย์พี่ลั่วหน้าดัน ๆ !?” เด็กสาวตุ๊กตาทำท่าราวกับรู้เรื่องทุกอย่าง ชี้หน้ากล่าวหานางอย่างก้าวร้าว
ชิงอวี่เพียงตอบเสียงเรียบ “อ้อ” จากนั้นหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนสงบนิ่งมั่นคงข้างกาย “ศิษย์พี่ลั่ว อย่างที่ท่านเห็น ทั้งศิษย์พี่หญิงและชายต่างมองข้าไม่ดีนัก ดังนั้นจึงวางถังน้ำไว้บนบานประตูในยามที่อากาศหนาวเย็นจับใจเช่นนี้ ท่าจะอยากให้ข้าหนาวตายไปเสีย กระทั่งใส่ทากเมือกน่าแขยงพวกนี้ที่เด็กสาวกลัวเป็นที่สุดมาให้ข้าด้วย”
ลั่วหลานจือขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงรู้สึกผิด “ขออภัยด้วย ข้าไม่เข้มงวดกับพวกเขา จนปีกกล้าขาแข็ง ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ลงไป ข้ารับปากจะลงโทษพวกเขาให้สาสม”
ชิงอวี่ส่ายหน้า สีหน้าคล้ายลำบากใจนัก “ศิษย์พี่ทำเช่นนั้น พวกเขามีแต่จะเกลียดข้ากว่าเก่า”
ลั่วหลานจือส่งเสียง หึ ออกมา ก่อนจะกวาดตามองเจ้าตัวร้ายทั้งหลาย “พวกเขาถูกลงโทษเพราะการกระทำตนเอง ภาควิชาอื่น ๆ กล่าวว่าภาควิชาพิเศษเต็มไปด้วยพวกเย่อหยิ่งนิสัยป่าเถื่อน ดูท่าจะจริงอย่างเขาว่า จากนี้ต่อไป ข้าจะสั่งสอนพวกเจ้าเพื่อให้คนอื่นมองภาพลักษณ์เราให้ดีหน่อย”
คนผู้หนึ่งคิดโต้เถียง หากแต่ลั่วหลานจือตวัดสายตาเย็นชามอง จนเขาต้องหุบปากฉับ “หรือจะให้พี่ใหญ่มาจัดการ?”
ทุกคนปิดปากเงียบทันที สวรรค์โปรด! หากพี่ใหญ่รู้เข้า พวกเขายังจะมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือ?