บทที่ 155 เป็นเด็กผิดอะไร ไม่นานเดี๋ยวก็โต
สุดท้าย ศิษย์ทั้งหลายก็จำต้องนั่งทนกับความรู้สึกลื่นน่าคลื่นไส้กับการเก็บทากเมือกทีละตัวกลับไปในถังไม้
ชิงอวี่ยืนพิงประตูมองนิ่ง มองเหล่าคนที่ได้รับผลจากการกระทำชั่วของตนเอง
ลูกไม้น่าขันเช่นนี้มันห่วยแตกมาก จนกลายเป็นเหมือนเด็กเล่นแกล้งกันไปในสายตานาง คิดจริง ๆ หรือว่านางจะหลงกลเช่นนี้เข้า? หากนางโหดร้ายสักหน่อย พวกเขาได้โอดร้องคร่ำครวญไม่รู้จบไปแล้ว
ลั่วหลานจือเห็นว่าทุกคนยอมทำตามดี สีหน้าก็คลายลงเล็กน้อย จากนั้นหันไปหาเด็กสาวด้านหลัง “น่าอายนัก ให้เจ้าต้องเห็นเรื่องเช่นนี้”
เขาไม่รู้มาก่อนอาจอภัยได้ แต่ตอนนั้น เขาไม่รู้ได้อย่างไรว่าเด็กสาวไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็น ไม่ได้ถูกรังแกได้ง่าย ๆ อย่างไรนางก็คืออัจฉริยะครอบครองทุกธาตุที่หาได้ยากจนสะดุดตาพี่ใหญ่ นางจะเป็นเด็กธรรมดาได้อย่างไร?
นางเพียงมีเมตตา ไม่คิดแค้นเคืองอีกฝ่ายเท่านั้น หากนางคิดลงมือ เจ้าพวกนี้ทั้งกลุ่มมัดรวมกันก็ต้านนางไม่อยู่
แสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือได้เก่งนัก
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้มหวาน “ไม่เป็นไร ข้าไม่คิดถือสาเด็กน้อย เป็นธรรมดาที่เด็ก ๆ จะซุกซน ข้าไม่กดขี่ข่มเหง กีดกันพวกเขาไม่ให้เล่นสนุกหรอก”
รอยยิ้มลั่วหลานจือแข็งค้าง อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร
แต่อีกทาง เหล่าคนที่กำลังกล้ำกลืนฝืนทนเก็บทากเมือกได้ยินเข้าก็เกือบกระอักเลือดด้วยความโกรธ
มันอะไรกัน!?
ไอ้บ้าตัวไหนมันบอกว่าศิษย์น้องเล็กคนใหม่รังแกง่ายกัน? เดินหน้าออกมาเลย จะได้บีบคอเสียให้ตาย!
เจอกันคราแรกก็ขายหน้าเช่นนี้ ต่อไปจะเข้ากันได้อย่างไรกัน? นึกเสียใจกับสิ่งที่ทำไปจริง ๆ
เทียบกับคนอื่น ๆ ที่ดูจะเสียอกเสียใจอยู่บ้าง เด็กน้อยหน้าตุ๊กตากลับไม่พอใจนัก ตวัดสายตาโกรธมองชิงอวี่
คิดว่าเข้าภาควิชาพิเศษได้ง่ายนักหรือไร? ก็แค่โชคดี ได้ถือครองทุกธาตุ มีอะไรพิเศษกัน? ก็แค่นักปรุงยาอ่อนแอคนหนึ่ง อาจหลอกตาคนอื่น ๆ ทั้งที่ฝีมือแท้จริงก็เป็นได้
นางจะฉีกหน้ากากเปิดโปงอีกฝ่ายเอง พี่ใหญ่จะได้รู้ว่าเขาตัดสินใจผิดเพียงไหน
ที่อีกด้านหนึ่ง ลั่วหลานจือเอ่ยกับชิงอวี่อย่างสุภาพ “หากต่อไปไม่เข้าใจอะไรก็มาถามข้าได้ หรือไปถามพี่ใหญ่เลยก็ได้ ส่วนเจ้าพวกนี้ จากนี้ไปก็คงยั้งมือลงบ้าง หากใครกล้าเล่นอะไรอีก ข้าว่าเจ้าคงรับมือไหวกระมัง”
เขายังไม่ลืมว่าที่เสื้อผ้าตนเองกลายเป็นเช่นนี้ก็เพราะนางวางแผนไว้ นางกล้าขนาดหลอกใช้เขา เจ้าตัวร้ายพวกนี้คงไม่ได้สลักสำคัญในสายตานางเลยด้วยซ้ำ
ชิงอวี่ยิ้มหวาน “ขอบคุณศิษย์พี่ที่เป็นห่วง หากพวกเขายังหัวดื้อ ข้าย่อมช่วยศิษย์พี่สอนมารยาทให้พวกเขาได้ เด็กซนก็จะเป็นเช่นนี้ หากตีแรงหน่อยก็จะดีขึ้นเอง”
ลั่วหลานจือ “…..” ดูท่าเขาคงไม่ต้องกลัวว่าเด็กสาวจะปรับตัวไม่ได้แล้วกระมัง
คนที่เหลือ “…..” สวรรค์ ทำไมรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาแปลก ๆ กัน? รู้สึกลางไม่ดีเลย?
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนบอกข้อมูลนี้มา ว่าเด็กสาวไม่เพียงเป็นอัจฉริยะผู้ครองทุกธาตุ หากแต่ยังเป็นอัจฉริยะที่มีทั้งพลังวิญญาณและพลังยุทธ์ขั้นสูงสุด นับเป็นหนึ่งในพัน
ดังนั้น…..
ทุกคนจึงกลืนน้ำลายลงคอเงียบ ๆ ใครจะกล้าท้าทายนางได้?
หลังจากเหลือบมองกันหลายสายตา ก็มีผลสรุปออกมา คือไม่มีใครกล้า
ใช่แล้ว พวกเขาต่างก็รักตัวกลัวตาย
ได้แต่รู้สึกว่าต่อไปวันเวลาคงไม่สงบสุขนัก เมื่อรังแกคนอ่อนแอจนเคยชิน ตอนนี้กลับถูกคนฝีมือดีจัดการเข้า ต่างก็ตั้งรับไม่ทันกันทั้งสิ้น!
ชิงอวี่ปรับตัวได้ดีราวกับปลาในน้ำ คนอื่นไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงนางเลย
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นถูกรายงานให้โหลวจวินเหยาฟังเช่นกัน
ตรงหน้าเขาคือชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดสีหมึกกำลังรายงานเรื่องราวทั้งหลายให้เขาฟัง
หน้าตาคุ้นตานัก หากมองดี ๆ แล้ว….. นี่มันร่างมนุษย์ของเจ้ายูนิคอร์นอสนีบาตระดับ 12 ไม่ใช่หรือ?
ว่ากันว่านับแต่วันที่เขาพาชิงอวี่และสหายมาถึงตีนเขาสำนักละอองหมอก ก็หายตัวไปไม่ทิ้งรอย แท้จริงแล้วเขาเร้นกายไปกับผู้คน ทั้งยังเข้ารับการทดสอบอีกด้วย
ด้วยพลังบำเพ็ญของอสูรวิญญาณระดับ 12 ไม่ว่าใครในแดนระดับต่ำย่อมด้อยกว่าเขา เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงพลังที่แท้จริง เขาเพียงกดพลังไว้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว ดังนั้นจึงกดพลังบำเพ็ญลง เกินระดับปกติขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเข้าร่วมภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์
เขารับคำสั่งมาจากโหลวจวินเหยาให้คอยตามปกป้องนางอย่างลับ ๆ ไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง
แท้จริงแล้ว ยูนิคอร์นอสนีบาตก็ไม่ได้เต็มใจ ด้วยรู้สึกว่าให้อสูรวิญญาณระดับสูงเช่นเขาตามปกป้องเด็กสาวอ่อนแอคนหนึ่งช่างเสียของนัก
แต่เมื่อโหลวจวินเหยาอนุญาตให้เขาแปลงร่างเป็นมนุษย์ เขาก็รีบตกปากรับคำด้วยความยินดี
โหลวจวินเหยากระทั่งใช้ท่าไม้ตาย บอกว่าหากทำให้ชิงอวี่พอใจได้ นางอาจใจดี ยอมทำงานเลี้ยงเนื้อกระต่ายมาให้เขา รังสรรค์มาให้ทุกวิธี ทั้งตุ๋น นึ่ง ทอด ย่าง….. มีพร้อมสรรพ
ยูนิคอร์นอสนีบาตตาเป็นประกายราวกับมีดวงดาวส่องสว่าง ได้ยินแล้วก็รีบพยักหน้ารับทันที
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า กระทั่งอสูรวิญญาณระดับสูงที่มีสติปัญญาขึ้นมาแล้ว เมื่อถูกคนรู้จุดอ่อนเข้าก็ถูกควบคุมได้โดยง่าย
ยูนิคอร์นอสนีบาตเล่าจบ ก็เอ่ยเรื่องที่รู้สึกสงสัย “ข้ารู้สึกว่าชายที่ชื่อเฟิ่งเทียนเหิงผิดปกติ”
เมื่อคอยติดตามชิงอวี่ กระทั่งอสูรวิญญาณยังรู้สึกว่าชายหนุ่มดูผิดปกติ ดูท่าครั้งหน้าต้องไปพบด้วยตนเองสักหน่อยแล้ว
โหลวจวินเหยายกยิ้มมุมปาก “ผิดปกติอย่างไร?”
อาจไม่ต่างจากสิ่งที่จิ้งจอกน้อยว่าไว้วันนั้นกระมัง
น่าแปลกที่ยูนิคอร์นอสนีบาตขมวดคิ้ว จากนั้นเริ่มพูดงึมงำ แม้เสียงจะไม่เบานักก็ตาม “ข้าว่า….. เขาอาจเป็นคนโรคจิต!”
โหลวจวินเหยารู้สึกตลกนัก “หือ?”
จากผิดปกติ กลายเป็นคนโรคจิตเลยหรือ?
“ใช่แล้ว เพราะข้าเห็นหลายครั้งแล้วที่เขาแอบมองแม่นางน้อยขณะซ่อนตัวในเงามืด สายตาเขายัง…..”
ยูนิคอร์นอสนีบาตลูบคางตน สายตาเคร่งขรึม ก่อนจะสรรหาคำเปรียบเทียบชั้นเลิศออกมาได้ “เหมือนกับที่อสูรวิญาณตัวเมียใช้มองมายังข้าเลย”
แม้คำเปรียบนี้จะไม่ได้ดีมากมายนัก อีกทั้งยังเจือแววโอ้อวดตน แต่โหลวจวินเหยาก็เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ
นัยน์ตาสีม่วงลืมขึ้นเล็กน้อย มีแววประกายวาดผ่าน ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ “เจ้าจะบอกว่าเฟิ่งเทียนเหิงมีเจตนาร้ายต่อจิ้งจอกน้อยหรือ?”
“ถูกต้อง แม้แม่นางน้อยมีพลังบำเพ็ญสูง แต่เทียบกับเขาแล้วยังนับว่าเสียเปรียบอยู่บ้าง อีกทั้งเขาจงใจปกปิดตัวตน นางจึงไม่รู้ตัวว่าถูกเขาแอบมองอยู่ แต่ข้าเห็นทุกอย่าง”
“เอาล่ะ ข้ารับรู้แล้ว สองสามวันต่อจากนี้ข้าจะไม่อยู่ มีธุระต้องไปจัดการ หลังจากนั้นข้าจะไปทำหน้าที่อาจารย์ในสำนักละอองหมอก ระหว่างนี้เจ้าคอยดูจิ้งจอกน้อยไว้อย่าให้เกิดเรื่อง อย่าให้คนแปลก ๆ เข้าใกล้นางเช่นกัน”
โหลวจวินเหยาเอ่ยคำสั่งเสียงทุ้ม ทอดสายตาเย็นชามองอสูรวิญญาณ “เมื่อข้ากลับมา หากผมนางหลุดไปสักเส้น เจ้าก็ระวังจะถูกถลกหนัง”
ยูนิคอร์นอสนีบาตขนลุกวาบ รีบยืดหลังตรงเพื่อแสดงความจงรักภักดี “นายท่านโปรดวางใจ ข้าจะดูแลแม่นางน้อยอย่างสุดความสามารถ”
———————-
พริบตาเดียว งานต้อนรับศิษย์ใหม่เข้าสำนักก็มาถึง
ทุกคนจะได้รับชุดสำนักคนละสองชุด และจะได้ตราประจำตัวอันเป็นเครื่องหมายของศิษย์สำนักละอองหมอก
เมื่อถือตรานี้ไว้แล้ว ทุกการกระทำในทุกที่จะคล้ายกับเป็นตัวแทนของสำนัก ดังนั้นต้องคิดก่อนลงมือทำทุกสิ่งอย่าง
ชื่อและภาควิชาของแต่ละคนจะถูกสลักไว้บนตราด้วยพลังวิญญาณ ผูกกับชีวิตของแต่ละคน ไม่อาจถอดถอนตาย เว้นเสียแต่จะสิ้นลม วิญญาณถูกทำลาย ชื่อบนตราจึงจะหายไป
ผ่านยามเฉินไปหนึ่งเค่อ ศิษย์ทั้งหลายก็มารวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่ ท่านเจ้าสำนักไม่ค่อยโผล่หน้ามา วันนี้กลับมาต้อนรับเหล่าศิษย์ใหม่ด้วยตนเอง
ชิงอวี่มองหมิงอีอีที่หลายวันมานี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลันนึกถึงเรื่องที่พนันกันเมื่อครั้งก่อนได้ จึงเรียกอีกฝ่ายที่กำลังพับผ้าห่มทีละชั้น ๆ อย่างประณีตด้วยเสียงเจือแววขัน “อีอี เจ้าคิดอะไรอยู่?”
ครู่หนึ่งกว่าหมิงอีอีจะเห็นว่ามีคนเรียก เงยหน้าขึ้นสีหน้าสับสนเล็กน้อย “หือ? ข้าก็กำลังพับผ้าห่มอยู่ไง”
ชิงอวี่มองผ้าห่มยิ้ม ๆ “เจ้ายืนพับผ้าห่มมาหนึ่งเค่อแล้ว ยังไม่เสร็จอีกหรือ?”
หมิงอีอีรู้สึกพ่ายแพ้อยู่บ้าง จากนั้นจึงวางมือจากการพับผ้าห่ม
“อะไร? เจ้าสารภาพกับท่านพี่ของเจ้าแล้วเขาตกใจจนดุเจ้าใหญ่โตหรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถาม
ยามเอ่ยถึงเรื่องนั้น ใบหน้าเล็กน่ารักของหมิงอีอีก็เผยแววขุ่นเคือง “เปล่า เขาไม่ได้ดุ แล้วก็ไม่ได้ตกใจด้วย”
นางเว้นระยะเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงราวกับจะร้องไห้ “ท่าทีของเขาสงบมาก เขาบอกว่าข้ายังเด็กนัก ไม่แปลกที่เด็กสาวเช่นข้าจะชอบคนใกล้ตัวที่เป็นเพศตรงข้าม เขาเห็นเป็นเรื่องตลกเท่านั้น”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?” ชิงอวี่พยักหน้าฟัง
นางจึงมองร่างของเด็กสาวที่ติดจะผอมแอบเห็นกระดูกเล็กน้อยเนื่องจากป่วยมานาน หมิงอีอีอายุพอ ๆ กับนาง และแม้อีกฝ่ายจะแก่กว่าห้าเดือน แต่ด้วยมีรูปร่างเล็กจึงดูเด็กกว่า
อายุเท่านี้ ที่ที่ควรโตก็ควรจะโตจนสังเกตเห็นได้แล้ว แต่นางยังดูเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่
แม้เจ็ดปีก่อน ร่างกายชิงอวี่จะต้องทนหิวโซและได้รับอาหารไม่เพียงพอ แต่ก็ยังดูดีกว่าหมิงอีอีมาก
ชิงอวี่ตบไหล่ปลอบหมิงอีอีพลางกล่าว “อย่าเศร้าไปเลย เดี๋ยวเจ้าก็โตเอง ไม่แน่วันใดเจ้าดูเป็นสตรีมากขึ้นหน่อย ท่านพี่ของเจ้าอาจจะเริ่มหันมามองเจ้าบ้างก็ได้”
แม้สิ่งที่ชิงอวี่เคยผ่านมาก่อนเมื่อครั้งนางยังเด็กจะเป็นที่อีกโลกหนึ่งก็ตามที
มู่ไหลและคนอื่น ๆ จากฝั่งตรงข้ามเดินมาเคาะประตูห้องนางแล้ว จึงจบบทสนทนาที่ตรงนี้ จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตู “มาแล้วหรือ?”
“เดินจากที่นี่ใช้เวลาราวสองเค่อกว่าจะถึงห้องโถงใหญ่ หากออกไปตอนนี้จะทันเวลาพอดี” มู่ไหลตอบ
ศิษย์ทั้งหลายในชุดสำนักสีขาวพากันเดินอยู่ด้านนอกแล้ว ไม่รู้ว่าชุดสำนักทำมาจากอะไรจึงเผยกลิ่นอายราวกับเซียน ดูลึกลับยิ่ง ยามใส่แล้วเปลี่ยนท่าทางเสริมไหวพริบขึ้นมาก
เยี่ยนซีอู่เอ่ยเสียงซาบซึ้ง “ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ข้าได้เข้าเป็นศิษย์สำนักแห่งนี้จริง ๆ!”
ว่าแล้วก็หันมองเยี่ยนซีโหรวพลางยิ้มเยาะ “เยี่ยนหนิงลั่วผู้นั้นมักทำท่าเย็นชา ประชดเราทุกครั้งที่นางกลับมาที่จวน เพราะนางเป็นศิษย์สำนักละอองหมอก แล้วครั้งก่อนนางว่าไว้อย่างไร? นางบอกว่าเราจะมาให้ขายหน้าตนเองเสียเปล่า ไม่ผ่านรอบแรกเป็นแน่ ครั้งนี้นางยังจะมีอะไรกล่าวว่าเราได้อีก”
ดูท่านางจะถูกรังแกมาหนักมาก เยี่ยนซีอู่พบว่าครั้งนี้นางมีความมั่นใจขึ้นบ้าง กล้าตอบโต้อีกฝ่ายกลับไปได้ ดังนั้นจึงไม่สนใจว่าจะมีใครได้ยินคำพูดของนางบ้าง