“ความฝันของเขาคือการได้เป็นนักบิน เธอเห็นระเบียงที่หันหน้าไปทางรันเวย์ตรงนั้นไหมล่ะ? ทุกครั้งที่พี่ต้องออกเดินทาง ฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อมองดูเขาทะยานสู่ท้องฟ้าเสมอ… และพอเวลาผ่านไป มันก็รู้สึกเคยชิน จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นนิสัยติดตัวของฉันไปแล้ว”

“แล้วการที่เธอได้เป็นแอร์โฮสเตสเกี่ยวข้องอะไรกับพี่ชายด้วยไหม?”

เซินเหยาพลันพยักหน้า “ก็เกี่ยวแหละ ฉันเป็นคนประเภทที่ชอบหาความสุขใส่ตัวผ่านการเดินทางน่ะ เธอรู้ไหมล่ะว่าฉันเป็นคนที่ไม่ชอบกลับบ้านเลยสักนิด? นั่นเป็นเพราะฉันไม่ค่อยถูกกับพ่อด้วยแหละ เรามักจะผิดใจกันตลอด แล้วในคืนนั้น พอฉันเห็นว่าเสี่ยวเฉิงเต็มใจที่จะอุทิศทั้งเวลาแล้วก็เงินให้กับคนในครอบครัวหนึ่งที่ตัวเองเพิ่งเจอ ฉันเองก็รู้สึกดีแล้วก็ประทับใจมากเลยล่ะ”

“ฉันเคยอ่านไฟล์ประวัติของเธอกับพ่อแล้ว” หรานจิงกล่าว “พ่อของเธอดูจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งเลยนะ แถมเขาก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องที่ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ด้วย แต่นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เธอต้องการที่จะอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหม?”

เซินเหยาพลันเอนกายลงบนโซฟาและมองไปที่เพดานพร้อมพยักหน้า “ถ้าจะให้เล่า ตอนที่ยังเป็นเด็ก ครอบครัวเรายากจนมาก ฉันเลยไม่ค่อยเหมือนกับพวกลูกเศรษฐีคนอื่นที่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด ในตอนนั้น ทั้งพ่อทั้งแม่ฉันต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันแล้วก็กลางคืน พวกเขาต่างก็ดิ้นรนและพยายามทำทุกอย่างจนสามารถสร้างธุรกิจขนาดใหญ่และทำให้ฉันมีกินมีใช้อย่างเช่นทุกวันนี้ได้ แต่สุดท้ายแล้ว หลังจากแม่ตาย พ่อก็หมดสิ้นความรักที่มีต่อแม่และหันไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ถ้าพ่อให้ความสำคัญกับทั้งพี่แล้วก็ฉันมากกว่านี้แต่แรกแทนที่จะเอาเวลาไปจีบสาว พี่ชายของฉันก็น่าจะยังอยู่… ฉันตัดคำว่าครอบครัวออกไปจากใจนานแล้วแหละ”

เซินเหยาพลันมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันทีที่เห็นเครื่องบินลำหนึ่งกำลังทะยานไปสู่ท้องฟ้า เธอก็พลันกล่าวคำพูดขึ้น “มีแต่พี่เท่านั้นแหละที่เข้าใจฉัน มีเพียงสถานที่แห่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นจากปัญหาทุกอย่างที่ต้องเจอได้ และทุกครั้งที่ไม่ได้ออกไปทำงาน ฉันก็จะมานั่งมองเครื่องบินอยู่ตรงนี้ประจำแหละ”

“อย่างน้อยเธอก็เคยมีครอบครัวที่น่ารักมาก่อนนะ” หรานจิงกล่าว “อีกอย่าง ตอนที่กำลังอ่านไฟล์ประวัติของเสี่ยวเฉิง ฉันก็รู้มาด้วยว่าหมอนั่นอยู่กับพ่อมาตั้งแต่เด็ก แต่พ่อของเสี่ยวเฉิงก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบางอย่างตอนที่เขายังอยู่แค่ชั้นมัธยมต้น ที่ฉันต้องการจะสื่อก็คือ… หมอนั่นน่าจะไม่ได้รับความรักจากครอบครัวเลยตั้งแต่พ่อเสียไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักจากแม่ บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้หมอนั่นช่วยครอบครัวของชายคนนั้นที่โรงพยาบาลก็ได้”

ทันใดนั้น เซินเหยาก็พลันน้ำตาคลอ เธอรู้สึกตกใจกับเรื่องราวที่น่าสงสารของเสี่ยวเฉิงในวัยเด็กไม่น้อย

หลังจากนั้นไม่นาน หรานจิงก็เผยยิ้มออกมา “อันที่จริง ตอนแรกฉันก็ไม่ชอบหมอนั่นนักหรอกนะ เขาไม่ใช่ผู้ชายขี้เล่นเลยด้วยซ้ำ แต่พอได้รู้ประวัติแล้วก็ภูมิหลังของหมอนั่นแล้ว ฉันก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรหมอนั่นอีก บางทีเสี่ยวเฉิงอาจจะรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ก็ได้ นิสัยที่หมอนั่นเป็นอยู่ในตอนนี้ก็คงจะเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ในวัยเด็กนั้นแหละ”

ทันใดนั้น เซินเหยาเผยหน้ามุ่ยและมองไปที่หรานจิง “ฉันว่าเธอน่าจะไปเป็นนักสืบแทนตำรวจปราบอาชญากรนะ อีกอย่าง ฉันอยากจะบอกอะไรกับเธอย่างหนึ่งจากมุมมองทางจิตวิทยาด้วย การที่ผู้หญิงคนหนึ่งอยากรู้อยากเห็นเรื่องผู้ชายคนหนึ่งมักจะบ่งบอกได้ถึงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่วิเศษมากเลยล่ะ และจากที่ฉันกำลังสังเกตอยู่ตอนนี้นะ เธอก็ดูจะอยากรู้เรื่องของหมอนั่นไปหมดเลย”

หรานจิงพลันเผยเสียงหัวเราะออกมา “ส่วนเธอก็น่าจะเลิกเป็นแอร์โฮสเตสแล้วไปเป็นที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์แทนนะ”

“เอาสิ ฉันจะเรียกเก็บเงินเป็นรายชั่วโมงเลยแหละ! งั้นให้ฉันขอวิเคราะห์เธอหน่อยก็แล้วกัน… ดูเหมือนการที่เธอจะตกหลุมรักผู้ชายอย่างเสี่ยวเฉิงจะเป็นเรื่องยากนะ อันที่จริง หมอนั่นไม่คิดที่จะเริ่มศึกษาดูใจหรือให้กำลังใจเธอเลยสักครั้ง และนั่นก็คือเหตุผลที่ฉันสามารถบอกว่าชะตากรรมของหมอนั่นจะต้องอยู่คนเดียวตลอดไปและตลอดกาล สำหรับเรื่องความรัก เราพยายามอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก ทั้งสองคนต้องช่วยกันเพื่อที่จะให้ความสัมพันธ์ก้าวไปข้างหน้า แต่ถ้าท้ายสุดท้ายแล้วเธอดันไปตกหลุมรักหมอนั่น เธอก็จบเห่! ถึงแม้ว่าเธอจะยอมทำทุกอย่าง แต่หัวใจของหมอนั่นก็ไม่ได้ยกให้เธอตั้งแต่แรก…“

หรานจิงเผยเสียงหัวเราะออกมา “เซินเหยา… ตอนนี้ฉันเริ่มคิดแล้วแหละว่าเสี่ยวเฉิงน่าจะตรงกับสเปคของเธอมากกว่า”

เซินเหยาพลันเงียบไปชั่วครู่ “เธอหมายความว่ายังไงกัน?”

หรานจิงพลันพูดติดตลกออกมา “เธอมักจะพูดอยู่เสมอเลยไม่ใช่หรือยังไงกันว่าสามารถทำให้ผู้ชายทุกคนตกหลุมรักได้? แล้วถ้าเธอทำแบบนั้นได้ ทำไมไม่ลองพยายามทำให้เสี่ยวเฉิงตกหลุมรักตัวเองหน่อยล่ะ? ถ้าเธอทำให้เสี่ยวเฉิงสารภาพรักกับตัวเองได้ มันจะไม่รู้สึกดีกว่าผู้ชายคนอื่นที่เข้าหาง่ายหรือยังไงกัน?”

เซินเหยาพลันกระพริบตา “มันก็ฟังดูน่าคิดดีนะ แต่ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องที่ท้าทายตรงไหนเลย”

หลังจากนั้น หรานจิงก็พลันลุกขึ้นยืนและเดินจากไปพร้อมกับยิ้มเยาะ

ทว่า ทันทีที่เห็นรอยยิ้มของหรานจิง เซินเหยาก็พลันลุกขึ้นและกล่าวคำพูดออกมาทันที “ก็ได้ คอยดูสิ! ฉันจะทำให้หมอนั่นสารภาพรักต่อหน้าให้ได้เลย!”

“เมื่อไหร่ล่ะ?” หรานจิงถาม

“ภายในหนึ่งเดือน!”

“แล้วถ้าหมอนั่นสารภาพรักกับเธอขึ้นมาล่ะ? เธอจะตอบตกลงหรือเปล่า?”

ทันใดนั้น เซินเหยาก็พลันตอบกลับพร้อมขมวดคิ้ว “ไม่”

***

อันที่จริง ในอีกไม่กี่ปีให้หลัง เซินเหยาก็ต้องการให้เสี่ยวเฉิงสารภาพรักกับตัวเองจริง ๆ นั้นแหละ แต่ยังไงก็รอติดตามกันต่อไปนะทุกคน