เห็นเพียงแค่ตัวอักษรสีดำที่เขียนเอาไปบนกระดาษเท่านั้น ที่ที่ถูกทั้งลงคนเซ็นลงนามเอาไว้ กลับไม่ปรากฏความสัมพันธ์ฉันเครือญาติเลย!
หญิงคนนั้นล้มลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง เนิ่นนานก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย
เธอนำเอกสารขึ้นมาอ่านอีกรอบหนึ่ง เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าเครื่องทำลายกระดาษ ทำให้เอกสารกลายเป็นเส้นเล็ก ๆ หลังจากนั้น ก็นั่นอยู่อย่างนั้นบนเก้าอี้ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย
เธอไม่กล้าที่จะเชื่อเลย หลานเสี่ยวถางกับเธอไม่มีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติกันเลย
ใต้หล้าไม่อาจจะมีคนทั้งสองคน ที่เติบโตมาคล้ายกันมากขนาดนั้นหรอกนะ!
บวกเข้ากับวันนั้นในรถอีก หลานเสี่ยวถางนั่งอยู่ที่ข้างกายของเธอ ให้ความรู้สึกที่ทั้งแข็งแรงมากทั้งคุ้นเคยบางอย่าง เป็นเธอที่ในหลานปีที่ผ่านมานี้ ไม่เคยได้รับมันจากร่างของคนอื่นมาก่อน
เธอไม่ใช่คนที่งมงายคนหนึ่ง แต่ทว่า กลับมีสัมผัสที่หก ที่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้
จำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนในตอนที่เกิดเรื่องขึ้น หัวใจของเธอว้าวุ่นสับสน ร่างทั้งร่างรู้สึกว่าสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ราวกับว่ารถของเธอในวันนั้นผ่านที่นั่นไป เห็นได้อย่างชัดเจนเลยที่ว่าเธอกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ แต่ทว่า กลับรู้สึกว่าหัวใจเต้นระรัวในทันที เป็นไปตามคาด ก็มองเห็นแล้วว่าหลานเสี่ยวถางกำลังได้รับอันตรายอยู่ที่ด้านนอกนั่น
ในทุก ๆ อย่างที่มีอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าเป็นห้วงแห่งความฝันของเธอเองหรอก แต่ทว่ากลับเป็นความจริงแท้แน่นอนที่ปรากฏอยู่ต่างหาก! ดังนั้นแล้ว เธอไม่ยอมรับผลลัพธ์นี่หรอก!
บางที หรือว่าในระหว่างนี้จะเกิดเรื่องผิดพลาดกันนะ?
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ต่อสายกดโทรออกไป
ที่โรงพยาบาล หลานเสี่ยวถางพึ่งจะรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เห็นสือเพ่ยหลินกับโจวเหวินซิ่วเข้ามาที่โรงพยาบาลแล้ว
หมอตรวจสอบอาการของหลานเล่อซินอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะบอกว่ายาต้านอักเสบไม่ต้องให้แล้ว หลังจากนี้อีกสองสามวันจำเป็นต้องรับประทานยาเม็ดแบบแคปซูลนิดหน่อยก็พอแล้ว หลังจากนั้นก็ให้ออกจากโรงพยาบาลได้
หลานเล่อซินได้ยินดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจดำเนินเรื่องออกจากโรงพยาบาล
ทุกคนออกจากโรงพยาบาลกันแล้ว สือมูเฉินจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “เล่อซิน ผมจองโรงแรมให้คุณเอาไว้แล้วนะครับ”
หลานเล่อซินได้ยิน “หมายความว่าอย่างไรกันคะ?”
สือมูเฉินเอ่ยว่า “คุณไม่ค่อยจะเหมาะสมที่จะอาศัยอยู่กับเสี่ยวถางที่นั่นนิดหน่อยน่ะครับ ดังนั้นแล้ว ผมจองโรงแรมในเมืองเอาไว้ให้คุณแล้ว ค่าห้องพักก็ชำระแล้วเรียบร้อย ประเดี๋ยวคุณมุ่งหน้าตรงไปเลยก็พอแล้วล่ะครับ”
“มูเฉิน ทำไมลูกถึงให้เล่อซินเขาออกไปพักอยู่คนเดียวที่ด้านนอกล่ะ?!” โจวเหวินซิ่วสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที “อาการป่วยของเล่อซินยังไม่ดีขึ้นเลย ที่นี่ก็ไม่ได้มีคนที่คุ้นเคยกันอยู่ด้วย หากเป็นแบบนี้แล้วพวกเราจะวางใจได้อย่างไรกัน?!”
“แม่ครับ เธอสามารถอยู่ได้ครับ เรี่ยวแรงของเธอแข็งแรงมาก แม่ไม่สามารถดูถูกเธอได้นะครับ” สือมูเฉินพูดไป ก่อนจะยื่นมือออกไปคล้องเอาไว้ที่หัวไหล่ของหลานเสี่ยวถาง “อีกอย่าง คฤหาสน์เป็นของเสี่ยวถาง เธอมีอำนาจในการตัดสินว่าจะให้อยู่หรือจะให้ไปครับ”
หลานเสี่ยวถางเอ่ยสมทบขึ้นมาว่า “คฤหาสน์ของฉันกำลังอยู่ในขั้นตอนการวางแผนค่ะ ที่ด้านหน้ายังไม่ถูกเปิด ดังนั้น จึงสามารถให้เพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่จะเข้าพักได้ คุณแม่คะ คุณแม่สามารถพักได้อย่างสบายใจได้ค่ะ ส่วนคนอื่น ฉันคงจะต้องบอกว่าขอโทษด้วยแล้วล่ะค่ะ”
โจวเหวินซิ่วใช้สายตาสบตามองไปยังร่างของสือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถางกลับไปกลับมาอยู่หลายรอย ก่อนจะกระทืบเท้าไปมา “มูเฉิน ลูกมีภรรยาแล้วก็ลืมแม่หรือ ตอนนี้พวกลูกร่วมมือกันแล้ว แสดงออกว่าต้องการที่จะไล่เล่อซิน แต่แท้ที่จริงแล้วกำลังโจมตีแม่อยู่ ใช่ไหม?! ได้ แม่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ หลังจากนี้ก็จะอยู่ห่างจากพวกเธอเอาไว้ไกล ๆ เลย”
“แม่ครับ พวกเราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับ” สือมูเฉินพูดไป ก่อนจะดึงโจวเหวินซิ่วแล้วเอ่ยว่า “แม่ครับ พวกเรามากันในครั้งนี้ เป็นเพราะว่าเรื่องของเพ่ยหลินนะครับ เพ่ยหลินเขาเป็นหลานชายแท้ ๆ ของแม่นะครับ หรือว่าแม่จะเป็นเพราะว่าเล่อซินที่เป็นคนนอกคนนี้ แล้วทำให้ความเสียหายเล็กน้อยกลายเป็นความเสียหายที่มากมายมหาศาลหรือไงครับ?”
สีหน้าของโจวเหวินซิ่วแข็งค้างไปในทันที
หลานเล่อซินบีบมือของตนเองแน่นจนเขียวช้ำ เธอใช้เรี่ยวแรงอย่างสุดกำลังในการที่จะระงับไฟโทสะและความริษยาของตนเอง เธอยิ้มหัวเราะออกมาอย่างน่าอึดอัด “คุณป้าคะ คุณป้าไม่ต้องช่วยฉันเถียงแล้วค่ะ ฉันทราบว่าสถานะของฉันไม่เหมาะสมที่จะปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเสี่ยวถางและมูเฉิน ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันจะไปที่โรงแรมฝั่งนั้นเองค่ะ คุณป้าไม่ต้องกังวลฉันนะคะ!”
คำพูดที่โจวเหวินซิ่วอยากจะพูดแต่ทว่ากลับต้องหยุดไป ท้ายที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าขึ้นลงไปมา
เผอิญเข้ากับว่ามีรถแท็กซี่คันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาพอดี สือมูเฉินโบกมือเรียก ก่อนจะส่งที่อยู่ที่อยู่หนึ่งไปให้แก่คนขับ “ส่งคุณผู้หญิงท่านนี้ไปที่โรงแรมทีนะครับ”
หลานเล่อซินโกรธเกลียดจนขบกรามแน่น แต่ทว่า ในท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นรถ สบตามองสือมูเฉินที่ยืนรออยู่จนกระทั่งรถแท็กซี่หายออกไปจากกระจกมองหลัง
ในตอนที่รถแท็กซี่ถึงทางแยกทางหนึ่งนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าที่โทรเข้ามาจาก Times Group
เธอกดเลื่อนเพื่อรับสายโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะ”
“คุณหลาน อยากที่จะต้องแจ้งแก่คุณด้วยความยินดีนะคะ เนื่องจากผู้บริหารของคุณกับฝ่ายบุคคลได้หารือเรื่องการทดสอบของคุณแล้ว ตำแหน่งของคุณจากเดิมที่อยู่ใน Level 2 ตอนนี้เพิ่มระดับขึ้นมายัง Level 3 แล้วค่ะ ดังนั้นแล้ว หากว่าตามกฎเกณฑ์ของตำแหน่งใหม่ของคุณแล้ว ทางบริษัทมีมติเห็นชอบว่าจะส่งคุณไปรับผิดชอบโครงการหยางกวังในเขตจัวจือของมองโกเลียในค่ะ รับผิดชอบในส่วนของการควบคุมและตรวจสอบ เมื่อพิจารณาแล้วตอนนี้คุณกำลังอยู่ในช่วงวันหยุดอยู่ ดังนั้นแล้ว รอให้คุณกลับมาทำงานวันแรกแล้ว ขอให้มาดำเนินการดำเรื่องของฝ่ายบุคคลให้ตรงเวลาด้วยนะคะ จะได้รีบไปที่เขตจัวจือเลย”
แผ่นอกของหลานเล่อซินกระเพื่อมขึ้น “ฉันสามารถปฏิเสธการโยกย้ายได้ไหมคะ? ในเมื่อ ในตอนที่ฉันเซ็นสัญญาในตอนแรก ตำแหน่งนั้นมีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเท่านั้นนี่คะ”
“คุณหลาน คุณอาจจะไม่ได้อ่านรายละเอียดของสัญญาอย่างละเอียด ในสัญญาข้อที่สามจุดห้าระบุเอาไว้แล้วอย่างชัดเจนนะคะ ยอมรับการโยกย้ายตำแหน่งทุกอย่าง สถานที่เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด” ฝ่ายบุคคลเอ่ยขึ้นว่า “ดังนั้นแล้ว ถ้าหากว่าคุณปฏิเสธการโยกย้าย อาจจะต้องเผชิญอันตรายจากการถูกให้ออกจากงานนะคะ”
“ค่ะ ฉันทราบแล้วค่ะ” นัยน์ตาของหลานเล่อซินไม่ปกปิดประกายเลย เธอบีบกำโทรศัพท์มือถือเข้าหากันอย่างรุนแรง เกือบจะปาโทรศัพท์มือถือออกไปบนถนนลาดยางแล้ว!
การโยกย้ายตำแหน่งนี้ ทำไมเธอจะไม่รู้กันล่ะ?! นี่มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยนี่ว่าเป็นสือมูเฉินที่เป็นคนทำน่ะ!
เป็นเพราะว่าโจวเหวินซิ่วอยู่ ดังนั้นแล้วสือมูเฉินยังคงมีความกังวล,ทำวนอยู่เช่นกัน ไม่สามารถทำอะไรไปมาก ๆ ได้ ดังนั้นแล้ว เขาจึงโยกย้ายให้ไปที่ไกล ๆ เพื่อที่จะป้องกันอุปสรรคไปถึงตัวพวกเขาไง!
อยากให้เธอไปหรือ? ถ้าอย่างนั้นแล้วเธอก็จะไป! เพียงแต่ว่าตอนแรกที่เธอจากไปถึงต่างประเทศก็ยังสามารถที่จะกลับมาได้ ตอนนี้ ไปที่มองโกเลียในอะไรนั่น? เธอจะต้องสามารถกลับมาได้อย่างแน่นอน!
หลังจากที่สือมูเฉินรอให้คนกลับไปแล้วจึงกลับคฤหาสน์ และรอข่าวจากทางแบรนด์ออเนอร์อยู่ตลอดเวลา
ตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว วันนี้เป็นวันที่จะแจ้งประกาศผล ดังนั้นแล้ว สือเพ่ยหลินจึงจับจ้องไปที่โทรศัพท์อย่างเขม็งอยู่ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัวก็มาถึงช่วงเวลาบ่ายสองโมงแล้ว โทรศัพท์ของสือเพ่ยหลินดังขึ้น
ในตอนที่เขารับสาย นิ้วมือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย
“สวัสดีครับ ขออนุญาตเรียนถามนะครับว่าใช่คุณสือเพ่ยหลินหรือเปล่า?”
“ใช่ครับผม” สือเพ่ยหลินเอ่ย “คุณคือ?”
น้ำเสียงอย่างเป็นการเป็นงานของชายหนุ่มปลายสายเอ่ยขึ้นมาว่า “ผมเป็นเลขาธิการจากชั้นสามครับผม โทรศัพท์มาแจ้งให้คุณทราบ ขออภัยเป็นอย่างมากด้วยนะครับ พวกเราไม่สามารถขายยาที่เหมาะสมให้กับคุณได้ครับ……”
“อะไรนะครับ?!” สือเพ่ยหลินตะโกนใส่โทรศัพท์มือถือ “เมื่อก่อนพวกคุณเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาบอกก่อนเองนี่ครับ! เป็นพวกคุณที่เป็นฝ่ายให้ความหวังกับผมแล้ว! คุณรู้ไหมครับ ไม่มียารักษา ผมก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้วนะครับ?! ชีวิตของผม เป็นของล้อเล่นของพวกคุณแบบนี้ใช่ไหมครับ?!”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ขอประทานโทษนะครับ บริษัทหลักของแบรนด์ออเนอร์นั้นจัดการอย่างเข้มงวดมาก ผมโทรศัพท์มาหาก็เป็นเพียงแค่รับคำสั่งมาน่ะครับ ว่าให้แจ้งแก่คุณเท่านั้น”
“แม่งเอ๊ย!” สือเพ่ยหลินก่นด่า “ผู้บริหารของพวกคุณเป็นใคร? คุณถามเขาหน่อยสิว่ามันหมายความว่าอะไรกันแน่?!”
“ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด……” มีเสียงตัดสายในโทรศัพท์ ตอนนี้สายโทรศัพท์ถูกวางไปเรียบร้อยแล้ว
“อา——” สือเพ่ยหลินบันดาลโทสะจนปาโทรศัพท์มือถึงเข้ากับกำแพงของคฤหาสน์ มองเห็นว่าโทรศัพท์มือถือร่วมหล่นลงไปแล้ว หน้าจอแตกละเอียด เขาราวกับว่ายังระบายโทสะไม่หมดก็ไม่ปาน ก่อนจะเหยียบมันซ้ำอย่างบ้าคลั่ง
“ทำไมพวกเขาถึงล้อฉันเล่นแบบนี้?!” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าขึ้นเล็กน้อย “ล้อเล่นนับคนที่มันสนุกมากอย่างนั้นจริง ๆ หรือไงวะ? ฉันจะตายอยู่แล้ว! พวกเขาก็ตัดสินโทษประหารชีวิตให้กับฉันแบบนี้ไปแล้ว!”
ทางด้านข้าง สือมูเฉินสบตามองเขาอย่างเงียบเฉียบ จนกระทั่งเป็นเพราะว่าสือเพ่ยหลินออกแรง รองเท้าถึงไปแตะถูกเข้ากับกำแพง ที่รองเท้ามีรองขาดเล็กน้อยแล้ว เขาถึงเดินเข้าไปหา “เพ่ยหลิน ใจเย็น”
“คุณอา อาให้ผมใจเย็นหรือ?!” สือเพ่ยหลินคว้าจับเข้าที่คอเสื้อเชิ้ตของสือมูเฉิน “ถ้าหากว่าไม่ใช่อาที่กำลังจะตาย อาจะสามารถใจเย็นได้อีกหรือไง?! อ๋อ ไม่สิ ตอนนี้อาคงควรที่จะดีใจมาก ๆ ใช่ไหม? ถ้าหากว่าผมตายไปแล้ว ในอนาคต หุ้นของพ่อผม หุ้นของผม ก็จะสามารถกลับไปเป็นของอาทั้งหมดไง! อาดีใจตอนนี้ก็ยังทันนะครับ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
เขาทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ออกมา สบตามองคอเสื้อเชิ้ตของสือมูเฉินที่เขาจับเอาไว้อยู่ ใบหน้าขึ้นสีแดงเป็นชั้น สือเพ่ยหลินถึงสัมผัสถึงอะไรได้บางอย่างก็ไม่ปาน ก่อนจะรีบปล่อยสือมูเฉินอย่างรวดเร็ว แล้วเดินโซซัดโซเซไปทางด้านหลัง
เขาเห็นหลานเสี่ยวถางยืนอยู่ที่ทางด้านข้าง เขาเดินเข้าไปหา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเศร้าโศก “เสี่ยวถาง คุณเห็นแล้ว นี่คือจุดจบของผม! ในตอนแรกผมโยนคุณทิ้งไป สุดท้ายแล้วก็ถูกแก้แค้นแล้ว! ฮะ ฮะ——”
เดิมหลานเสี่ยวถางก็เกลียดสือเพ่ยหลินจริง ๆ แต่ทว่า ในตอนนี้ที่เห็นสือเพ่ยหลินราวกับว่าไร้วิญญาณไปแล้ว ก็หวนนึกถึงช่วงเวลาที่เขาบ้าคลั่งในตอนแรกขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหลายใจออกมาเล็กน้อย
เธอถอยหลังไปสองก้าว ไม่ได้เอ่ยอะไร
สือเพ่ยหลินเห็นว่าเธอถอยหลังไป รู้สึกราวกับว่าตนเองถูกเขาเว้นระยะห่างอย่างทิ่มแทงก็ไม่ปาน นัยน์ตาของเขาแตกละเอียดและเป็นประกายแวววับ “เสี่ยวถาง คุณหลบผมแบบนี้ได้อย่างไรกัน? โรคของผมไม่ติดต่อสู่คนนะ คุณกลัวว่าจะได้รับการติดต่อจากผมหรือไง?”
หลานเสี่ยวถางยังคงนิ่งเงียบ
เขาเดินไปสองก้าว ก่อนจะหันศีรษะกลับมามองเธอ “เสี่ยวถางครับ ถ้าหากว่าผมตายไปแล้ว คุณจะร้องไห้เพื่อผมไหม?”
หลานเสี่ยวถางหลุบตาลงต่ำ ไม่ได้ตอบคำถาม
“ผมก็รู้อยู่แล้วแหละว่าคุณน่ะไม่หรอก! ในตอนแรกผมทำผิดต่อคุณ ไม่แน่ คุณอาจจะเหมือนกับอาก็ได้ ที่รู้สึกดีใจจนเนื้อเต้นน่ะ!” สือเพ่ยหลินหัวเราะออกมาอีกสองสามครั้ง ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า “เสี่ยวถางครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วผมไม่อยู่แล้ว คุณจะสามารถไปเยี่ยมผมที่หลุมศพหน่อยได้ไหม?”
หลานเสี่ยวถางได้ยินน้ำเสียงที่จู่ ๆ ก็อ่อนโยนลงมาอย่างกะทันหันของเขา อดไม่ได้ที่จะชะงักไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นไปสบตามองสือเพ่ยหลิน
เขาเห็นว่าในที่สุดเธอก็ยอมมองเขาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงยิ้มให้ ก่อนที่น้ำเสียงจะแผ่วเบาลงไปเล็กน้อย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยการอ้อนวอน “ไม่ต้องไปเยี่ยมบ่อยหรอกนะ ขอเพียงแค่ครั้งเดียวก็พอแล้วล่ะ! คุณไปเอง ไม่ต้องพาอาของผมไปด้วย ได้ไหมครับ?”
หลานเสี่ยวถางเดินก็เป็นคนที่ใจอ่อนง่ายมาโดยตลอด โดยเฉพาะกับการที่เห็นคนที่อยู่บนจุดสูงสุดมาโดยตลอดอย่างสือเพ่ยหลินที่แปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ในตอนนี้
มีคำบอกว่าคนก่อนตายคำพูดคำจาจะอ่อนโยนมีเมตตา เธอมีความลังเลเล็กน้อย ในตอนที่กำลังจะตอบกลับไปนั้นเอง ทางด้านข้าง สือมูเฉินเดินเข้ามา ก่อนจะคว้าจับเข้าที่หัวไหล่ของเธอเอาไว้ และกลับหันไปพูดกับสือเพ่ยหลินว่า “เพ่ยหลิน ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งวัน นายอย่าพึ่งถอดใจกับความหวัง”
“ฮ่า ฮ่า อย่าพึ่งถอดใจ?” นัยน์ตาของสือเพ่ยหลินเต็มไปด้วยความขมขื่น “คุณอาครับ ผมน่ะผ่านช่วงวัยของการหลอกเด็กมาตั้งนานแล้วนะครับ อีกทั้งก็ไม่เคยเชื่อในปาฏิหาริย์ของโลกนี้มาตลอดด้วย”
เขาพูดไป ก่อนจะสบตามองออกไปยังท้องฟ้าไกล ๆ “ช่วงเวลาของเมื่อก่อน ผมอยากได้อะไรก็ต้องได้ รู้สึกมาโดยตลอดว่าขอเพียงแค่ผมมีเงิน อะไรก็สามารถที่จะทำได้ทั้งนั้น สุดท้ายตอนนี้ก็ค้นพบแล้ว ว่ามีของอีกหลานอย่างที่เงินซื้อมาไม่ได้!”
“ในตอนนั้น ผมเห็นว่ามีผู้คนมากมายเพื่อที่จะแก้ไขโชคชะตาของตนเองจึงขยันและออกแรงไม่หยุด ผมยังเคยต่อสายโทรศัพท์ไปอย่างร้ายกาจครั้งหนึ่งด้วย มองเห็นว่าคนคนนั้นต่อสู้อย่างอดทนมาหลายปีก็สำริดผลแล้ว” สือเพ่ยหลินยิ้มอย่างขมขื่น “ในตอนนั้นผมยังคงหัวเราะอยู่ หัวเราะเยาะที่เขาเองไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้กลับค้นพบแล้ว หากเทียบสถานะต่อกัน ผมกลับกลายเป็นคนที่ถูกคนหยอกล้อคนนั้นแทนเสียเอง!”
เขาพูดไป หัวเราะไปพลางก่อนจะเดินออกไปที่ด้านนอกของคฤหาสน์ไปพลาง “ที่แท้ก็เป็นการแก้แค้นสินะ เพียงแค่ว่านึกไม่ถึงเลยว่าในตอนที่มาตกอยู่กับตนเองนั้น มันจะเจ็บปวดมากขนาดนี้!”