“เจ้าช่างใส่ใจยิ่งนัก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ห้ามเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังขยับตัวหนี และดูเหมือนว่าสิ่งที่นางทำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาเพียงยกขาขึ้นมาขัดสมาธิอย่างสง่างาม ในขณะเดียวกัน เขาก็เคาะนิ้วบนเข่าของตนเองอย่างช้าๆ ราวกับกำลังเล่นเครื่องดนตรีอยู่ สีหน้าของเขาเผยให้เห็นการผสมผสานกันระหว่างความสง่างามและความเยือกเย็นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา ชายหนุ่มมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเรียบเฉย แววตาของเขาเผยประกายบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้

ภายใต้ความเย่อหยิ่งและสง่างามนั้น แฝงความเป็นมิตรเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย

ผู้คนที่เห็นเขาต่างอดไม่ได้ที่จะนึกถึงแมวเปอร์เซีย เพราะเขามีท่าทีที่ดูสูงส่ง เรียบเฉย และมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล

เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่รู้สึกเคลือบแคลงใจอีกต่อไป แน่นอนว่าเมื่อครู่นี้ นางเพียงแค่คิดมากเกินไปเท่านั้น

องค์ชายสามยังคงเป็นคนที่ไม่ควรเข้าใกล้ กล่าวคือพวกเขาทั้งสองคนสนิทกันมากขึ้นกว่าตอนแรกเล็กน้อย และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าเขามักจะโจมตีนางด้วยลิ้นอันร้ายกาจของเขาเป็นครั้งคราว เพียงเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น

ใครบอกให้นางเป็นคนเดียวที่นั่งรถม้าคันเดียวกันกับเขาเล่า

แต่อย่าหวังว่าเขาจะทำตัวอ่อนโยนเลย

นี่คือวิธีที่องค์ชายสามปฏิบัติกับนางที่เป็นคู่หมั้นของเขา และเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องอยู่ในจุดสูงสุด เขาก็จะทำตัวห่างเหินเหมือนกับแต่ก่อน

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเงาทมิฬดังขึ้นมาจากด้านนอก ปนกับเสียงลม “พวกเรากำลังจะเข้าสู่ตัวเมืองแล้ว ควรจะกลับไปที่วังเลย หรือจะไปที่สำนักไท่ไป๋ดีพ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมือขึ้นและจัดแขนเสื้อที่ไม่เรียบร้อยของตนเองอย่างไม่รีบร้อน หน้ากากสีเงินของเขาราวกับถูกปกคลุมด้วยแสงจันทร์ดูสูงส่ง ตัดกับใบหน้าด้านข้างที่เย็นชาของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ เขามีท่าทีที่สูงส่งและสง่างาม “ไปที่สำนักไท่ไป๋”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอไม่กลับไปกับองค์ชายก็แล้วกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าอันงดงามมา “อีกสักครู่ องค์ชายสามารถส่งข้าไว้ตรงเชิงเขาได้เลย ไม่เป็นไร” ก่อนหน้านี้ นางเพิ่งชนะการประลองเจ้ายุทธ์ แล้วเพิ่งจะตัดสินใจเรื่องการแต่งงาน พวกเขารักษาระยะห่างกันเอาไว้คงจะดีกว่า

แม้ว่านางและองค์ชายสามจะลงนามในสัญญากันแล้ว แต่ในช่วงเวลาที่อยู่นอกเงื่อนไขนั้น หากมีคนในสำนักไท่ไป๋เห็นว่านางกลับมาพร้อมกับองค์ชายสาม คนเหล่านั้นก็อาจจะมีความคิดชั่วร้ายที่ทำให้นางต้องเดือดร้อนก็เป็นได้

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาที่ซ่อนเร้นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็จมดิ่งอยู่ในความคิด แต่ท่าทีของเขายังคงเรียบเฉย เขาขบริมฝีปากบางเล็กน้อย และความเยือกเย็นก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ “เจ้ากำลังรักษาระยะห่างกับข้าอยู่เช่นนั้นหรือ”

เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดชะงัก แต่ไม่ได้ปิดบังเขา “องค์ชายเป็นที่ชื่นชอบมากเกินไป ข้าเกรงว่าคนอื่นจะมองว่าข้าเป็นเสี้ยนหนามของคนที่ชื่นชอบองค์ชายในสำนักไท่ไป๋”

“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างที่เจ้าคิด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยความเยือกเย็นไม่น้อย

เฮ่อเหลียนเวยเวยเก็บสัมภาระของตนเอง และไม่ลืมที่จะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นเพราะว่าองค์ชายไม่เข้าใจความหึงหวงของเหล่าหญิงสาวต่างหาก”

อย่างเช่นครั้งที่แล้ว นางมีโอกาสได้อยู่กับองค์ชายสามในป่าวิญญาณเพียงไม่นาน แต่หลังจากที่พวกเขากลับมา ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วทุกหนแห่ง เหล่าศิษย์ใหม่ทุกคนในสำนักไท่ไป๋ต่างก็อยากจะบีบคอนางให้ตายด้วยมือของตัวเอง

แผนการต่างๆ ของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ร้ายกาจมากขึ้น เพราะต้องการจะทำให้นางหายตัวไปจากสำนักไท่ไป๋อย่างไม่มีวันกลับเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม บางครั้ง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็อยากรู้ยิ่งนักว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ที่สามารถทำให้นางกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้โดยไม่เกรงกลัว

หากมีแค่การคุ้มครองจากตระกูลซู นางก็ไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนี้

ตระกูลซู ดวงตาทั้งสองของเฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ลง เผยให้เห็นถึงความเกลียดชัง ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องถึงวันที่นางได้เอาคืน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ปัญหาที่นางต้องจัดการคือต้องไปเข้าพบเจ้าสำนักและจัดการปัญหาเรื่องการขาดเรียนของนางก่อน

ท่านอาจารย์ได้ช่วยขอวันหยุดให้นางสามวันแล้ว แต่นางกลับใช้เวลาอยู่กับองค์ชายสามไปถึงหนึ่งวันครึ่ง ตอนนี้ก็เป็นวันที่ห้าแล้ว และท่านอาจารย์ก็ไม่ได้อยู่ที่สำนักไท่ไป๋ นางจึงไม่รู้ว่าเจ้าสำนักจะลงโทษนางอย่างไร

ดังนั้น หลังจากที่นางแยกกับองค์ชายสามแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้กลับไปที่หอสามัญทันที แต่นางกลับมุ่งหน้าไปที่ห้องหนังสือของตู๋ซูเฟิงแทน

แต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ เมื่อนางเข้าไปในห้องหนังสือของเขา เพื่อนร่วมโต๊ะของนางก็อยู่ที่นั่นด้วย

เขายืนอยู่อย่างสุขุมตรงมุมไกลๆ ของห้อง เขาสวมชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์เต็มตัว ทับด้วยเสื้อคลุมบางด้านนอกสีดำ รูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเขาสูงตระหง่านราวกับเป็นกระบี่ เมื่อมองไกลๆ จะเห็นรูปร่างของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่ารูปลักษณ์เช่นนี้ช่างดูคุ้นเคยอย่างมาก

ดูเหมือนว่าเขาเองก็มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะคุยกับเจ้าสำนักเช่นกัน

เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินไม่ชัดว่าพวกเขากำลังพูดอะไร แต่เมื่อมองดูจากตรงนี้ ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นดูสุขุมและสงบอย่างยิ่ง มันช่างดูลึกลับเป็นพิเศษ

เพื่อนร่วมโต๊ะของนางกลายเป็นรูปวาดบนภาพเขียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะมองดูอย่างตั้งใจมากขึ้น เมื่อนางเห็นว่าอีกฝ่ายหมุนตัวกลับมาและเอื้อมมือเข้าไปสอดในเสื้อคลุม ราวกับเป็นขุนนางชั้นสูงจากโลกการ์ตูน นัยน์ตาคู่นั้นช่างดูสง่างามและชั่วร้ายเหมือนกับทุกครั้ง ขณะเดียวกัน มุมปากของเขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มทรงโค้งที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มนัก มันช่างดูหยิ่งยโสโอหัง รวมถึงดูมีเสน่ห์และน่าหลงใหล เขายิ้มให้นางอย่างมีเสน่ห์ร้ายกาจ “ในที่สุด ผู้สนับสนุนทางการเงินของข้าก็กลับมาแล้ว”

เฮ่อเหลียนเวยเวยกุมขมับที่เริ่มรู้สึกปวดตุบๆ ของตนเองอย่างเงียบๆ ทำไมคำพูดของชายหนุ่มคนนี้ทำให้นึกถึงอีกคนกันนะ “ทำไมเจ้าก็มาอยู่ที่นี่เหมือนกันล่ะ”

“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับตระกูลของข้า ทำให้ข้าต้องกลับไปสองสามวัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยแม้แต่น้อย

ในทางตรงกันข้าม เด็กชายหัวโล้นที่นั่งกินซาลาเปาอยู่ข้างๆ หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ขณะที่ใบหน้าเล็กๆ อันน่ารักของเขาที่ดูเหมือนซาลาเปานั้นก็มีรอยย่นปรากฏขึ้นมาทันที

แม้จะเคยชินกับความสามารถในการเสแสร้งเล่นละครของพี่สามดี แต่เมื่อเขาเห็นเช่นนี้แล้ว มันก็ยังส่งผลให้เขาไม่อยากอาหาร

องค์ชายเจ็ดเริ่มลังเลแล้วว่าเขาควรจะปิดประตูไปฝึกฝน และรอจนกว่าพี่สามจะกลับมาเป็นตัวของเขาเองเหมือนกับแต่ก่อน แล้วเขาค่อยกลับมาอีกครั้งจะดีหรือไม่

มิเช่นนั้น เขาก็จะต้องรู้สึกเหนื่อยใจอย่างมากแบบนี้

เขาต้องตั้งใจฟังทุกคำพูด และไม่สามารถเข้าใกล้พี่สามมากเกินไปได้ ทั้งหมดเป็นเพราะว่าผู้คนจากหอชั้นเลิศ ต้องการจะสร้างปัญหาให้กับพี่สามตลอดทั้งวัน ถึงกับวางแผนจะจัดกิจกรรมทดสอบในสำนักไท่ไป๋ เพียงเพื่อต้องการจะใช้โอกาสนี้กลั่นแกล้งพี่สามเท่านั้น

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เด็กชายหัวโล้นก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับถือซาลาเปา และเริ่มสังเกตความเงียบงันของผู้คน

ตู๋ซูเฟิงไม่ได้ตอบความสงสัยของเขาเลย แม้ในตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามา เขาก็ยกริมฝีปากบางของเขา พร้อมกับใช้นิ้วดันแว่นตาของตนเองที่เลื่อนลงมาเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “หอสามัญจะต้องหาคนสามคนมาเข้าร่วมการทดสอบในสำนักไท่ไป๋ ทำไมเจ้าสองคนไม่แนะนำใครอีกคนให้ข้าเล่า”

เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเรียวยาวของตน หากนางจำไม่ผิด นางมาที่นี่เพื่อจะจัดการเรื่องการขาดเรียนของตนเองเท่านั้น แล้วเรื่องการทดสอบในสำนักไท่ไป๋นี่คืออะไรกัน

“มันคือประเพณีของสำนักไท่ไป๋ที่จัดขึ้นทุกปี” น้ำเสียงครุ่นคิดของหยวนหมิงดังขึ้นมาจากมิติสวรรค์ “แต่ละหอจะต้องส่งตัวแทนมาสามคนเพื่อเข้าทดสอบ แต่ศิษย์จากหอสามัญไม่เคยชนะมาก่อน และมักจะพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชทุกครั้ง พวกเจ้าจะกล่าวโทษใครได้เล่าที่เป็นพวกหอสามัญ หากศิษย์ที่มีความสามารถน้อยที่สุดไม่ใช่ผู้พ่ายแพ้ ก็คงจะเป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดี”

เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากบางของนาง พร้อมกับพูดว่า ‘อ้อ’ เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจ

ตู๋ซูเฟิงก็รับรู้ถึงการแสดงออกของนางด้วยเช่นกัน ดวงตาของเขามองดูลายมือบนกระดาษชั้นดีที่เขียนเกี่ยวกับการแนะนำคนไร้ค่าที่โด่งดังที่สุดของตระกูลเฮ่อเหลียน มือทั้งสองของเขาวางอยู่บนโต๊ะขณะที่พูดอย่างไม่รีบร้อน “หอที่ได้คะแนนการทดสอบสูงที่สุดจะได้รับเงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึงทอง และวันหยุดสิบวัน คิดว่าอย่างไรเล่า พวกเจ้าสองคนยังรู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจเช่นนั้นหรือ”