เล่ม 1 ตอนที่ 40 โอบอุ้มสู่อ้อมแขน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 40 โอบอุ้มสู่อ้อมแขน
สุดท้ายเฉียวอวี้ซีจึงจากไปด้วยความสิ้นหวัง

จีหมิงซิวถือห่อยาเข้าไปในเรือน เขาเดินตรงไปห้องครัวเป็นลำดับแรกและอธิบายวิธีการต้มยาทั้งสองชนิดให้พ่อครัวทราบโดยละเอียด

พ่อครัวรับใช้จีหมิงซิวมาหลายปี เขาเป็นคนทำงานเก่ง หลังจากรับห่อยามาก็ตอบว่า “ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าน้อยจำได้แล้วขอรับ”

จีหมิงซิวพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องครัว เขาเหลือบมองเรือนตะวันออกซึ่งอยู่ไม่ไกล ลังเลอยู่นานก็ไม่เดินเข้าไป แต่เรียกหมิงอันมาที่ห้องหนังสือของตน

ตั้งแต่ตอนที่สือชีโยนเฉียวอวี้ซีกับบ่าวออกจากเรือนสี่ประสาน หมิงอันก็รู้ตัวทันทีว่าตัวเองตกอยู่ในหายนะครั้งใหญ่

เขาเป็นคนขับรถม้าของใต้เท้าและยังเป็นบ่าวที่คอยติดตามรับใช้ใต้เท้า เนื่องจากใต้เท้าชอบความสงบจึงมีบ่าวรับใช้ไม่มาก มากกว่าครึ่งของงานจิปาถะยามออกไปข้างนอก เขาล้วนเป็นคนจัดการ

ตัวอย่างเช่นครั้งนี้ใต้เท้าไปรับบัวหิมะที่หอหลิงจือให้เหล่าฮูหยินไม่ได้ เขาก็เป็นคนไปแจ้งข่าว

“วันตรุษแต่ยังใช้เจ้าออกไปทำงาน ลำบากเจ้าแล้ว” จีหมิงซิวนั่งอยู่บนเก้าอี้เกือกม้า[1]ที่ทำจากไม้หวงหลี พลางเอ่ยขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย

ได้ยินคำพูดเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ หมิงอันพลันขนหัวลุกในทันใด “ใต้เท้า ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าไม่กล้าปากโป้งอีกแล้วขอรับ”

ความจริงแล้วเขาจะไม่ทราบเชียวหรือว่ามิอาจเปิดเผยเรือนลับของใต้เท้าตามใจ แน่นอนว่าเขาทราบดี เพียงแต่คุณหนูเฉียวไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นว่าที่นายหญิงของจวนอัครเสนาบดี ตนทำให้นางติดค้างน้ำใจได้หนหนึ่ง ย่อมมีประโยชน์ในภายหน้า

ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือผลประโยชน์อันเลือนรางเลื่อนลอยนั้นยังไม่ทันมาถึง กลับทำให้ใต้เท้าขุ่นเคืองเสียก่อน

“ใต้เท้า! ครั้งนี้ท่านยกโทษให้ข้าสักครั้งเถิด ข้าไม่กล้าแล้วจริงๆ เพราะคุณหนูเฉียวบอกว่าจะมาเยี่ยมสหายของสือชี ทั้งยังบอกว่าจะนำบัวหิมะมามอบให้ท่านด้วยตัวเอง…ข้าจึงเลอะเลือนชั่วขณะ บอกที่อยู่ให้นางทราบ”

จีหมิงซิวสีหน้าเฉยชา “เข้าข้างนางขนาดนี้ ยกเจ้าให้นางดีหรือไม่”

“ไม่นะใต้เท้า!” หมิงอันใกล้จะร้องไห้แล้ว “ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ข้าจะไม่ประจบสอพลอผู้ใดอีกแล้ว! ปากใหญ่ๆ ของข้านี่ก็จะไม่พูดส่งเดชอีก! ไม่กล้าแล้วจริงๆ ขอรับ”

ถึงให้ความกล้าหาญแก่เขาเพิ่มสักร้อยเท่า เขาก็ไม่กล้าอีกแล้ว!

จีหมิงซิวเหลือบมองประตู “ไปรับโทษเอง”

“ขอรับ!”

วันตรุษผู้อื่นได้กินเนื้อ แต่เขาต้องมาถูกโบย ฮือๆ…

หมิงอันจากไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก

จีหมิงซิวมาที่เรือนตะวันออก เฉียวเวยกับสือชีเฝ้าอยู่ข้างเตียง ส่วนหลัวหย่งเนียนฟุบหน้าหลับอยู่บนโต๊ะด้านข้าง

เฉียวเวยสวมเสื้อนวมสีม่วงอ่อน วัสดุและฝีมือการตัดเย็บย่ำแย่อย่างยิ่ง ปุยฝ้ายไม่แน่นแล้วยังหนาเตอะ สวมแล้วดูอ้วนฉุ แต่ยามนางก้มศีรษะ ลำคอขาวผ่องที่โผล่ออกมาวับแวมกลับระหงประดุจลำคอของหงส์ขาว

นางคงเป็นหญิงสาวเรือนร่างสะโอดสะองคนหนึ่ง

แววตาของจีหมิงซิวไหววูบขณะที่ย่างเท้าเข้าไป “นำยาไปต้มแล้ว อีกไม่นานคงเสร็จ”

เฉียวเวยลุกขึ้นยืน “ขอบคุณคุณชายยิ่งนัก”

จีหมิงซิวพยักหน้า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อนสักระยะ รอให้เด็กๆ ไข้ลดแล้วค่อยกลับ พรุ่งนี้ท่านหมอจะมาตรวจอีก”

อาการไข้สูงอันตรายเกินไป อาจเกิดภาวะฉุกเฉินได้มากมาย หากจะให้ปลอดภัยไว้ก่อนก็สมควรอยู่เมืองหลวงต่อจริงๆ แต่พวกเขาเพียงพบพานโดยบังเอิญ เท่านี้นางก็ติดหนี้บุญคุณไม่น้อยแล้ว นางรู้สึกเกรงใจจริงๆ หากต้องรบกวนอีก

เฉียวเวยรีบปฏิเสธ “ไม่รบกวนคุณชายแล้ว ประเดี๋ยวพวกเราจะไปพักโรงเตี๊ยม”

เมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง หาโรงเตี๊ยมที่เปิดอยู่สักแห่งสองแห่งไม่ใช่ปัญหา

“ต้มยาในโรงเตี๊ยมไม่สะดวก” จีหมิงซิวเหลือบมองนาง เห็นนางบีบนิ้วมือท่าทางไม่สบายใจจึงกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องเกรงใจ คิดเสียว่าที่นี่เป็นโรงเตี๊ยม ค่ากิน ค่าอยู่หรือค่ารักษาเจ้าก็ให้ตามที่เจ้าเห็นว่าสมควร ต้องส่งข่าวให้ครอบครัวเจ้าหรือไม่”

เฉียวเวยครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “ไม่ต้อง ก่อนออกจากเมือง ข้าฝากต้าเตานำจดหมายไปให้ที่บ้านแล้ว พวกเขารู้ว่าเรามาเมืองหลวง”

จีหมิงซิวมองนาง “ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงจะอยู่ต่อ”

เฉียวเวยตกตะลึง นางพูดเช่นนั้นหรือ

“เมื่อครู่เจ้ามิได้ค้าน”

นางยังไม่ทันเอ่ยค้านต่างหาก

จีหมิงซิวมองไปทางประตู แล้วสั่งว่า “ลี่ว์จู ไปเตรียมห้อง”

สาวใช้ผู้สวมเสื้อกั๊กตัวยาวสีเขียวขานรับคำสั่งเสียงเบา “เจ้าค่ะ”

ปัญหาเรื่องที่พักจึงถูกจัดการอย่างงงๆ เช่นนี้ เฉียวเวยและเด็กๆ พักอยู่เรือนตะวันออก หลัวหย่งเหนียนพักอยู่เรือนตะวันตกฝั่งตรงข้าม

แม้เฉียวเวยจะปฏิเสธในใจ แต่นางก็ต้องยอมรับว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่เหมาะสำหรับการพักฟื้นของเด็กๆ มากกว่าโรงเตี๊ยม ในโรงเตี๊ยมไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ประสงค์ดีหรือประสงค์ร้าย นางเป็นสตรีตัวคนเดียวพาลูกๆ ไปด้วย เกิดตกเป็นเป้าหมายขึ้นมาคงไม่ดีแน่

จีหมิงซิวไปห้องครัวเพื่อดูว่าต้มยาเรียบร้อยแล้วหรือยัง เมื่อเดินไปถึงประตู จู่ๆ ก็หยุด “เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ต้องเรียกบิดาของเด็กๆ มา”

เฉียวเวยส่ายหน้า

นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ใดเป็นพ่อของเด็ก จะไปเรียกได้อย่างไร จะไปเรียกจากที่ใด นางไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว

“จริงสิ คุณชาย ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน” นางมองจีหมิงซิว

จีหมิงซิวกล่าวขึ้นมาว่า “หากเป็นเรื่องบุตรีจวนเอินปั๋ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูด ข้าทราบแล้ว”

เฉียวเวยมองเขานิ่งๆ “ข้าทำให้ท่านลำบากหรือไม่”

จีหมิงซิวมองนางเบิ่งดวงตากลมโตใสแป๋ว ท่าทางประหนึ่งลูกกวางสับสน จากนั้นหวนนึกถึงท่วงท่าอันห้าวหาญยามนางเล่นงานอันธพาลชั่วในตัวเมืองเมื่อครั้งก่อน ทันใดนั้นก็เหมือนจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ไม่ถือว่าลำบาก”

ใบหน้าส่วนใหญ่ของเขาถูกหน้ากากปิดบังไว้ ทว่าดวงตาที่โค้งขึ้นเล็กน้อยกับริมฝีปากที่ยกขึ้นจางๆ ทำให้คนรู้สึกได้ว่าเขากำลังหัวเราะ

เขาไม่ได้หัวเราะมากมายอย่างใด เพียงยกริมฝีปากเป็นเส้นโค้งเล็กน้อย ไม่มีเสียงลอดออกมาสักนิด แต่กลับทำให้คนรู้สึกสดใส โลกทั้งใบพลันสว่างไสวตามไปด้วย

เฉียวเวยไม่เข้าใจว่าเขากำลังหัวเราะอะไร แต่รู้สึกว่าเมื่อเขายิ้ม ช่างดูดีมากจริงๆ

เรื่องของบุตรีจวนเอินปั๋วจึงผ่านพ้นไปด้วยประการฉะนี้ เฉียวเวยไม่ได้ตั้งใจจะสืบความสัมพันธ์ระหว่างอีกฝ่ายกับสือชี บ่าวรับใช้ในเรือนก็ไม่มีผู้ใดมาปากมากต่อหน้านาง แต่สังเกตจากท่าทีเกรงอกเกรงใจที่นางปฏิบัติต่อสือชี ดูเหมือนว่านางต้องการประจบเอาใจสือชีอย่างมาก

สือชีมีอันใดควรค่าให้บุตรีจวนเอินปั๋วมาประจบ ผู้ที่นางอยากเอาใจจริงๆ น่าจะเป็นคุณชายท่านนี้เสียมากกว่า

ฐานะของคุณชายท่านนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็น่าจะเหนือกว่าจวนเอินปั๋ว

เทียบยาของหมอหลวงจังได้ผลชะงัดนัก หลังจากที่เด็กๆ ดื่มยาก็เหงื่อออกทันที ไข้สูงลดลง ตอนนี้เริ่มทานอาหารได้บ้างแล้ว

ขณะที่ต้มยาพ่อครัวก็ตุ๋นข้าวฟ่างต้มน้ำตาลทรายมาด้วย เฉียวเวยป้อนให้เด็กๆ เล็กน้อย จิ่งอวิ๋นไม่สบายหนักกว่า หลังจากกินอิ่มแล้วก็ผล็อยหลับ ส่วนวั่งซูกลอกดวงตาดำขลับสอดส่ายสายตามองซ้ายทีขวาทีไปทั่วห้อง

ลี่ว์จูเดินถือเสื้อผ้าเข้ามา “ฮูหยิน ข้าเห็นว่าท่านไม่ได้นำเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยน หากท่านไม่รังเกียจก็ใส่เสื้อผ้าของบ่าวเถิดเจ้าค่ะ นี่เป็นชุดใหม่ บ่าวยังไม่เคยใส่มาก่อน”

เฉียวเวยมาอย่างเร่งรีบจึงเตรียมมาเพียงเสื้อผ้าของเด็กๆ เท่านั้น ส่วนของตัวเองกลับไม่ได้พกมา นางไม่ได้บอกลี่ว์จู คิดไม่ถึงว่าลี่ว์จูจะรอบคอบจนสังเกตเห็นเอง

หลังจากตรากตรำมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ตัวนางก็มีแต่เหงื่อเปียกโชกตั้งแต่ด้านในจรดด้านนอก นางจำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าจริงๆ

“ขอบใจมากลี่ว์จู” นางรับเสื้อผ้ามา

ลี่ว์จูกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “นายท่านไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่นักจึงไม่ได้ตระเตรียมสิ่งใดไว้ บ่ายนี้เพิ่งได้ไปซื้อผัก ประเดี๋ยวข้าจะรีบปรุงอาหาร ฮูหยินต้องการอาบน้ำก่อนหรือไม่เจ้าคะ”

“ได้” เฉียวเวยกำชับวั่งซูสองสามคำ ไม่ให้นางวิ่งเล่นมั่วซั่ว หลังจากนั้นจึงเดินตามลี่ว์จูไปยังห้องอาบน้ำด้านหลังเรือน

วั่งซูนอนอยู่บนเตียง กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย “พี่สือชี”

สือชีฝ่าหิมะออกไปซื้อขนมถังหูลู่ให้นาง

“ท่านน้า”

ท่านน้าไปช่วยงานในห้องครัว

วั่งซูตลบผ้าห่มออกแล้วค่อยๆ ปีนลงจากเตียง นางหารองเท้าของตัวเองไม่เจอ โชคดีที่พื้นถูกทำให้อุ่นอยู่ตลอดจึงไม่รู้สึกหนาวเย็นแม้แต่น้อย

นางเดินมาถึงประตูด้วยเท้าเปล่า แล้วเขย่งเท้าเปิดประตู

จีหมิงซิวกำลังจะกลับไปจวนอัครมหาเสนาบดี เมื่อเดินผ่านประตูก็เห็นเจ้าก้อนซาลาเปาเดินออกมาจากห้อง นางตัวเล็กนิดเดียว แก้มแดงปลั่ง ดวงตากลมโตสดใสเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่บรรจงปั้นอย่างประณีต

เจ้าซาลาเปาน้อยเหยียบพื้นด้านนอกประตู แต่พื้นข้างนอกไม่ได้ฝังท่อกระจายความร้อนไว้ นางจึงรู้สึกเย็นจนต้องรีบชักเท้ากลับ

นางสวมเพียงเสื้อตัวในบางๆ ลมหนาวพัดเกล็ดหิมะร่วงหล่นบนศีรษะกับใบหน้าของนาง

“ฮัดชิ่ว!”

นางหนาวจนจามออกมา

หน้าตาที่ดูน่ารักอยู่แล้ว เมื่อจามก็ยิ่งน่ารักขึ้นอีก

จีหมิงซิวมองเจ้าตัวจ้อยที่กำลังหนาวจนตัวสั่น ทันใดนั้นหัวใจก็ราวกับถูกบางสิ่งสะกิด เขายื่นมือออกไปประหนึ่งถูกเทพยดาดลใจ โอบอุ้มนางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนจากนั้นห่มด้วยผ้าคลุมของเขา

[1] เก้าอี้เกือกม้า เก้าอี้รูปแบบหนึ่งซึ่งที่เท้าแขนเชื่อมกับพนักพิงเป็นวงโค้งคล้ายทรงเกือกม้า