ตอนที่ 41 หน้าแดง
ร่างเล็กๆ ของวั่งซูอุ่นขึ้นในพริบตา นางมองดูบุรุษที่อุ้มนางอยู่ด้วยความสงสัย “เอ๋”
ดวงตาของนางกลมโตเหมือนลูกองุ่นชุ่มฉ่ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
ระหว่างเดินทางนางสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นมาตลอดทาง หลังจากมาพักอยู่ที่นี่ นางตื่นขึ้นมาก็พบแต่เพียงสือชี นางไม่รู้สักนิดว่าบุรุษที่จู่ๆ โผล่มาคนนี้เป็นผู้ใด
แต่ท่านแม่บอกว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้า อย่าให้คนแปลกหน้าอุ้ม
นางต้องเชื่อฟังท่านแม่
วั่งซูบิดตัวต้องการจะลงมา
จีหมิงซิวยกมือลูบศีรษะนางแล้วถามเสียงอ่อนโยน “ทำไมเจ้าวิ่งออกมาเล่า”
มือของเขาอบอุ่นและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย นาง นางค่อยเชื่อฟังคำพูดของท่านแม่คราวหน้าก็แล้วกัน
“ข้าปวดฉี่เจ้าค่ะ” วั่งซูผู้ถูกห่ออยู่ในผ้าคลุมเอามือปิดก้นน้อยๆ เอาไว้
จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้นนิดๆ เขาอุ้มนางเลาะทางเดินเข้าไปในห้องสุขา
วั่งซูมอง ‘ห้องส้วม’ ที่ใหญ่โตและสวยงามกว่าห้องนอนของนางบนเขา นางอ้าปากกว้างพลางส่งเสียงอุทานอย่างตื่นเต้น
จีหมิงซิวรู้สึกขบขันกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของนาง เขาแกะผ้าคลุมออกแล้วค่อยๆ วางนางลงบนพื้น “เจ้าทำเองได้หรือไม่”
วั่งซูพยักหน้า
จีหมิงซิวลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง “ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไป
วั่งซูปัสสาวะเสร็จก็ล้างมืออย่างรู้ความแล้วเดินเท้าเปล่าออกมา
จีหมิงซิวถอดผ้าคลุมออกแล้ว เมื่อเห็นนางออกมา เขาก็รีบห่อนางเอาไว้ทั้งตัวแล้วอุ้มพากลับไปเรือนตะวันออก
วั่งซูนอนอยู่บนเตียงแต่ไม่ยอมหลับ ดวงตาดำขลับกะพริบปริบๆ มองจีหมิงซิวอยู่ตลอดเวลา
น้อยครั้งนักที่จีหมิงซิวจะถูกใคร ‘ชมดู’ เช่นนี้ สิ่งที่แปลกก็คือเขากลับไม่รู้สึกขุ่นเคือง
เขามองเด็กน้อยช่างสงสัยบนเตียง เด็กน้อยผู้อยากรู้อยากเห็นก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน นางยิ้มหวานให้เขา หัวใจเขาเหมือนกำลังจะละลาย
หน้าตาของนางคล้ายผู้เป็นมารดา จมูกเอย ดวงตาเอย แทบจะเหมือนกันทุกประการ
จีหมิงซิวหันไปมองเด็กชายตัวน้อยที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง เนื่องจากผื่นขึ้น ทำให้เห็นหน้าตาไม่ชัด แต่โดยทั่วไปแฝดชายหญิงมักหน้าตาไม่เหมือนกัน ลูกสาวจะเหมือนแม่ ส่วนลูกชาย…น่าจะเหมือนพ่อ
จีหมิงซิวถอนสายตาออกจากใบหน้าของจิ่งอวิ๋น หันกลับไปมองวั่งซูน้อยที่จ้องเขาอยู่ แล้วพูดขึ้นว่า “เอาแต่มองข้า คิดถึงท่านพ่อของเจ้าแล้วใช่หรือไม่”
วั่งซูส่ายศีรษะ
“ไม่คิดถึงหรือ”
“ข้าไม่มีท่านพ่อ”
จีหมิงซิวตกตะลึงไปชั่วขณะ
ไม่รอให้เขาหายจากอาการตกตะลึง วั่งซูก็ชี้ใบหน้าของเขา “ที่ท่านใส่คือสิ่งใดหรือ”
“หน้ากาก” จีหมิงซิวกล่าวตอบ
วั่งซูกะพริบตาดวงตาสุกใสแวววาว แล้วถามด้วยความสงสัย “ทำไมท่านจึงสวมหน้ากาก ข้าขอสวมบ้างได้หรือไม่”
จีหมิงซิวชะงัก นิ้วมือเรียวดั่งหยกบรรจงถอดหน้ากากออกอย่างช้าๆ
วั่งซูมองหน้าเขาและอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“ฮูหยิน ทางนี้เจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นเสียงของลี่ว์จูก็ดังแว่วมาจากนอกห้อง
จีหมิงซิวยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปาก ส่งสัญญาณบอกให้นางเงียบไว้
ตอนแรกวั่งซูมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาจึงพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
จีหมิงซิวสวมหน้ากากกลับไปอีกครั้ง
เฉียวเวยปล่อยเรือนผมยาวสลวยถึงบั้นเอวเดินเข้ามาในห้อง นางถอดเสื้อสีม่วงเฉิ่มเชยอ้วนฉุตัวก่อนออกแล้ว เปลี่ยนมาเป็นเสื้อกันหนาวคอจีนกระดุมผ่าหน้าสีเหลืองอ่อน ด้านในสวมกระโปรงคาดเอวลายบุปผาสีขาว แลเห็นเอวบางอ้อนแอ้น หลังจากได้อาบน้ำผิวพรรณที่ขาวผ่องอยู่แล้วก็มีเลือดฝาด ดวงตาชุ่มฉ่ำดั่งหยาดน้ำค้างยามเช้า เรือนผมดำขลับนุ่มสลวยเงางามดุจผืนผ้าไหม งามสะคราญชวนตราตรึง
แต่บนศีรษะเหมือนขาดบางสิ่ง
“เหตุใดไม่ติดปิ่นเล่มนั้นมา” จีหมิงซิวถาม
“ปิ่นอันใด” เฉียวเวยงุนงงครู่หนึ่งก็นึกออกอย่างรวดเร็วว่าเขาหมายถึงปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งมูลค่าร้อยตำลึงเล่มนั้น จึงรีบอธิบายว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะได้มาเมืองหลวง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้พบท่าน จึงไม่ได้ติดมาด้วย”
จีหมิงซิวเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าตั้งใจจะติดมาให้ข้าดูหรือ”
เฉียวเวยตอบโดยไม่ทันได้หยุดคิด “ไม่ให้ท่านแล้วจะให้ผู้ใด…”
ประเดี๋ยวก่อน ติดมาให้เขา ‘ดู’ หรือ
เฉียวเวยอึ้งอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ตระหนักว่าทั้งสองคนคุยกันคนละเรื่องอยู่นานสองนาน คำว่า ‘ติด’ ที่พวกเขาพูดเหมือนจะคนละความหมายกัน
เฉียวเวยโคลงศีรษะอย่างขบขัน “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะพกมาคืนให้ท่านต่างหาก”
“คืนให้ข้า?” จีหมิงซิวเหลือบมองนาง “เจ้าคิดว่าข้าบังเอิญทำหล่นใส่ห่อผ้าของเจ้าเช่นนั้นหรือ”
เฉียวเวยถามอย่างไม่ทันคิด “ไม่ใช่หรือ”
เมื่อเขาถามเช่นนั้น แน่นอนว่าคำตอบย่อมคือไม่ใช่
ประโยคถัดมาของจีหมิงซิวยืนยันการคาดเดาของเฉียวเวย
“ข้ามิได้เลินเล่อปานนั้น” จีหมิงซิวตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “เป็นของขวัญตอบแทนที่เจ้าช่วยข้าเลือกเครื่องประดับ ท่านย่าของข้าชอบมันมาก”
เฉียวเวยจ้องเขา “แต่ที่ข้าช่วยท่านเลือกของขวัญ เพราะอยากตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยเหลือก่อนหน้านั้น”
จีหมิงซิวมองนาง “ข้าเคยบอกแล้ว เรื่องก่อนหน้านั้นไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ข้าเพียงไม่ชอบถูกผู้อื่นชน เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าติดค้างบุญคุณข้า”
เฉียวเวยเม้มริมฝีปาก “ถ้าเช่นนั้นหนนี้ก็สมควรติดค้างบุญคุณจริงๆ แล้ว”
จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เจ้าก็ไม่ได้กินเปล่าอยู่เปล่าเสียหน่อย สินค้าไปเงินมาถือเป็นการแลกเปลี่ยน”
แล้วเฉียวเวยจะพูดอะไรได้อีก เขายกเหตุผลประการแล้วประการเล่าขึ้นมาอ้างจนฝีปากอันร้ายกาจของนางใช้การไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่านางเข้าใจการกระทำของเขา แม้กระทั่งบุตรีของจวนเอินปั๋วยังพยายามเอาอกเอาใจเขา ฐานะของเขาจะสูงส่งเพียงใด ตัวนางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านไร้ศักดิ์ฐานะ สิ่งที่เขาทำให้นางไม่ต่างจากนางยื่นมือช่วยแมวจรตัวหนึ่งระหว่างทางกลับหมู่บ้าน นางจะให้แมวจรตัวนั้นมาตอบแทนบุญคุณของนางหรือ จะเป็นไปได้เช่นไร
“เย็นย่ำ ข้าสมควรกลับจวนแล้ว”
จีหมิงซิวลุกขึ้นกล่าวลา
วั่งซูมองเขาตาปริบๆ เขาลูบศีรษะเล็กจ้อยของวั่งซูแล้วหันหลังเดินออกจากห้อง
เฉียวเวยมองส่งเขา จนกระทั่งเขารับของขวัญวันตรุษสองห่อใหญ่จากลี่ว์จู แล้วก้าวเท้าออกนอกประตูเรือน หายลับไปท่ามกลางหิมะ
เฉียวเวยกลับมาที่เตียง เห็นผ้าคลุมสีเงินตรงหัวเตียงก็เดาได้ทันทีว่าเขาลืมไว้ นางรีบหยิบขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป
“คุณชาย!”
จีหมิงซิวกำลังยืนอยู่ที่ประตู รอหมิงอันนำรถม้าออกมา เมื่อได้ยินเสียงเรียกจึงหันหลังกลับไปช้าๆ
เฉียวเวยวิ่งฝ่าเกล็ดหิมะที่โปรยปราย กระหืดกระหอบมาถึงตรงหน้าเขาแล้วส่งผ้าคลุมให้ เรียวคิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย “มิเลินเล่อปานนั้น หรือเจ้าคะ”
จีหมิงซิวหัวเราะอย่างเสียมิได้ เขาแกว่งห่อผ้าขนาดใหญ่สองห่อในมือ บอกเฉียวเวยเป็นนัยๆ ว่ามือไม่ว่าง
เฉียวเวยพาดผ้าคลุมบนหัวไหล่ของเขา
เขามองผ้าคลุม แล้วมองเฉียวเวย ประหนึ่งกำลังต่อว่า…
จริงสินะ คุณชายผู้ถูกปรนนิบัติจนคุ้นชิน จะลงมือสวมใส่อาภรณ์เองได้เช่นไร
เฉียวเวยสูดหายใจ หยิบผ้าคลุมขึ้นมาใหม่จากนั้นสวมลงบนร่างของเขา
เขาตัวสูงมากจนนางต้องเขย่งปลายเท้าจึงสวมหมวกของผ้าคลุมให้เขาได้
ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดเรือนผมของนาง เป็นความอบอุ่นที่ชวนให้หัวใจคันยุบยิบ ลมหนาวพัดมาจากด้านหลังเขา ชั่วพริบตานั้นกลิ่นอายบุรุษเพศและกลิ่นหอมสดชื่นเฉพาะตัวของเขาพลันโอบล้อมเฉียวเวย
มือของเฉียวเวยหยุดชะงัก
“หมิงซิว” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา
“หือ?” เฉียวเวยจับเชือกผูกของผ้าคลุม
“นามของข้า” เขาอธิบาย
เฉียวเวยจดจ่ออยู่กับการผูกเชือกให้เขา สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง “ข้าแซ่เฉียว”
เขาพยามยามห้ามมุมปากที่กำลังจะยกขึ้น จากนั้นก้มศีรษะลงมากระซิบข้างหูนาง “แม่นางเฉียว เจ้าหน้าแดงแล้ว”