จ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ด้านข้างดูเรื่องตลกนี้ เดิมทีเขาจะเข้าไปยุ่งเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงหัว แต่สีหน้าเขาขรึมลงทันทีเมื่อเขาได้ยินว่านางเรียกตัวเองว่าข้ากับท่าทางน่าเอ็นดู
เฟิ่งชิงหัวพับกระดาษเก็บไว้ในอ้อมอก เดินไปหาจ้านเป่ยเซียวพร้อมเงิน “เรามีเงินแล้ว ต้องการซื้ออะไร ข้าเลี้ยงเอง”
แต่จ้านเป่ยเซียวกลับมองนางอย่างเย็นชา หันหลังจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“นี่ ทำไมเจ้าไปทางนั้นล่ะ” เฟิ่งชิงหัวรีบตามไป แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เวลาสั้น ๆ เขาก็เดินไปไกลในพริบตา
เฟิ่งชิงหัวเท้าสะเอวแล้วตะโกน “เจ้าเป็นอะไรกัน อยู่ ๆก็โกรธอีกแล้ว แปลกจริงๆ เจ้าไม่เที่ยวก็ช่าง ข้าเที่ยวคนเดียวเอง”
ว่าแล้วเฟิ่งชิงหัวก็ไม่สนใจชายที่จากไปจน “ฝุ่นตลบ” และเริ่มเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ ซุ้มค้าขายเพียงลำพัง เมื่อนางเห็นโคมไฟที่ชอบและกำลังจะจ่ายเงิน เงินที่อยู่ในมือถูกแย่งไปทันที
เฟิ่งชิงหัวตกใจ มีคนกล้าแย่งเงินของนางด้วย นางมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าโกรธทันที แต่กลับเห็นจ้านเป่ยเซียวที่เคร่งขรึม ทั่วทั้งร่างได้ส่งสัญญาณว่า “ตายถ้าทำให้ข้าขุ่นเคือง”
“เหตุใดเจ้าถึงกลับมาล่ะ?” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว
จ้านเป่ยเซียวไม่ตอบ
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออก “คืนเงินให้ข้า”
จ้านเป่ยเซียวไม่แม้แต่จะมองนาง
เฟิ่งชิงหัวหยิบเงินออกจากร่างอีกครั้ง ครั้งนี้แม้แต่กระเป๋าเงินก็ถูกชายหนุ่มเอาไป ครั้งนี้แม้แต่ผู้ขายก็ยังรู้สึกอายเล็กน้อย
“เอ่อ แม่นาง เจ้าจะซื้อหรือไม่ซื้อ? โคมไฟของข้านี้เป็นสมบัติของร้านข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นความจริงใจของเจ้า ข้าคงไม่ยอมขาย”
เฟิ่งชิงหัวถาม “รับธนบัตรหรือไม่”
“เท่าไหร่?”
“หนึ่งพันตำลึง”
“ไป ไป ไป อย่ามารบกวนการค้าของข้า ร้านข้าเล็ก กำไรก็น้อย ไม่มีเงินทอน” พ่อค้าก็ไม่พอใจเช่นกัน รู้สึกว่าสองคนนี้แกล้งเขาเพื่อความสนุก
เฟิ่งชิงหัวมองโคมไฟนั้น หัวใจของนางรู้สึกคัน นางทำได้เพียงจ้องจ้านเป่ยเซียวอย่างโมโห คว้าแขนของชายหนุ่มแล้วเดินไปด้านข้าง จากนั้นยื่นมือออกมา “คืนเงินให้ข้า!”
จ้านเป่ยเซียวฮึ่มเสียงเย็น ส่งถุงเงินให้เฟิ่งชิงหัว เฟิ่งชิงหัวรับมาดู เศษเงินข้างในถูก บดขยี้ จน แตก หมด แล้ว
แตกแล้ว!
ไม่ต่างจากผงแป้งเท่าไหร่เลย ใช้ไม่ได้แล้ว
เฟิ่งชิงหัวโกรธมาก ขว้างถุงเงินไปยังจ้านเป่ยเซียว และผงก็หกออกมาปกคลุมจ้านเป่ยเซียวไปทั่ว
“จ้านเป่ยเซียว ข้ามีความแค้นกับเจ้าหรือ? ถ้าเจ้าไม่พอใจก็พูดออกมา เอาเงินของข้าไประบายความโกรธของเจ้าทำไม!”
“เงินของเจ้า? นี่เป็นเงินที่ได้มาอย่างไม่เหมาะสม” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างเย็นชา “ธนบัตร เอามา”
เฟิ่งชิงหัวถอยหลังไปสองสามก้าวทันที มองดูชายหนุ่มอย่างระแวดระวัง “เจ้าจะทำอะไร? ข้าด้ารับสิ่งนี้ด้วยความสามารถของข้า”
สายตาจ้านเป่ยเซียวมองเฟิ่งชิงหัว ทั่วทั้งร่างเขาเปล่งออร่าอันเยือกเย็นออกมา โดยปกติแล้ว เฟิ่งชิงหัวจะไม่กลัวเลย อย่างมากก็แค่ต่อสู้กับเขานางก็ไม่ได้เสียเปรียบมากนัก
แต่ตอนนี้ นางเป็นคนที่สูญเสียพลังภายในทั้งหมด ถ้าจ้านเป่ยเซียวต้องการสิ่งที่อยู่บนตัวนางก็เป็นเรื่องง่ายมาก
“เอามา” จ้านเป่ยเซียวกล่าวต่อ
เฟิ่งชิงหัวกัดฟัน “เอาล่ะ เราสองคนแบ่งกัน ได้ไหม? เจ้าไม่ได้ออกมาด้วยซ้ำ เมื่อเงินถูกส่งถึงจวนอ๋อง ข้าจะให้เงินเจ้าห้าพันตำลึง ได้ไหม?”
“เจ้าคิดว่าข้าสนใจเงินเล็กน้อยของเจ้าหรือ?” จ้านเป่ยเซียวเย้ยหยัน
เฟิ่งชิงหัวอยากจะตอบตกลงมาด แต่คิดว่าหอจุยหยุนขนาดใหญ่นั้นเป็นของเขา เขาสามารถมอบต้นปะการังให้นางได้อย่างง่ายๆ
“แล้วเพราะอะไร? ข้าอยากจะซื้อของบางอย่าง แต่เจ้าไม่ได้พกเงินมา และข้าก็ไม่มีเงิน ตอนนี้มีเงินแล้ว เจ้าก็บดขยี้ เจ้าทำไมถึงเข้าใจยากจัง”
“เจ้าอยากได้อะไรก็บอกข้า ไม่จำเป็นต้องไปหลอกไปโกงผู้อื่น!”
เฟิ่งชิงหัวกัดฟัน “คนๆ นั้นไม่ใช่คนดี ข้าแค่สอนบทเรียนให้เขาเท่านั้น”
“งั้นเจ้าก็ทุบตีเขาได้โดยตรง ทำร้ายเขา หรือแม้แต่ฆ่าเขา เหตุใดถึงใช้วิธีหลอกลวงนี้”
เฟิ่งชิงหัวหยุดพูด รู้สึกเสียใจมาก
นางไม่คิดว่าตัวเองผิด ผิดไหมที่ปล้นคนรวยไปช่วยเหลือคนจน? นอกจากนี้ มองก็รู้ว่าคนๆ นั้นไม่ใช่คนดี ส่วนนี้เป็นเงินที่ได้มาอย่างไม่เหมาะสม นางหลอกลวงมาแล้วไงล่ะ? ไม่ขโมยหรือปล้นนี่
“เจ้าเป็นถึงพระชายาอ๋อง มีฐานะสูงส่ง จะสนใจคนธรรมดาพวกนี้ไปทำไม การเสียสถานะเป็นเรื่องเล็กน้อย หากคนรอบข้างจำเจ้าได้ เจ้าจะจัดการกับตนเองอย่างไรต่อไป เจ้าคิดว่าชื่อเสียงของเจ้าไม่ดีพอหรือน่าละอายไม่พอ?” จ้านเป่ยเซียวพูดกับความไม่ถ่านของนาง มองเฟิ่งชิงหัวก็เหมือนการมองเด็กที่สร้างปัญหาตลอดทั้งวัน
เฟิ่งชิงหัวก้มหน้าลง ในตอนนั้นนางไม่ได้คิดอะไรมาก หนึ่งคิดว่าพวกเขาสองคนไม่ได้พกเงินมา และสองเป็นเพราะตัวตนของนางเป็นของปลอมตั้งแต่แรก นางจึงไม่สนใจ
แต่ลองคิดดู ถ้าถูกจำได้จริงๆ พระชายาอ๋องของท่านอ๋องเจ็ดแสร้งทำตัวน่าเอ็นดูบนถนน ดูเหมือนจะมีอิทธิพลในทางลบต่อเขามาก ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะโกรธมาก
เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าขึ้นมองชายที่ยังคงดูไม่พอใจ และพูดเบะปาก “เรื่องวันนี้เป็นเพราะข้าไม่ได้คิดให้รอบคอบ”
จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างเย็นชา “เจ้ารู้ว่าเจ้าผิดแล้ว?”
“ข้าผิดไปแล้ว”
“เจ้ายังกล้าทำเช่นนี้อีกหรือไม่?”
“ไม่กล้าแล้ว” อย่างมากนางก็แค่เปลี่ยนหน้าใหม่ก็ได้ เรื่องใหญ่อะไร
จ้านเป่ยเซียวชำเลืองมองนาง “นำธนบัตรมา”
เฟิ่งชิงหัวส่ายหัวทันทีและใช้มือทั้งสองข้างปกป้องหน้าอก “ข้ารู้แล้วว่าข้าผิด เก็บธนบัตรนี้ไว้ไม่ได้หรือ?”
“เจ้าบอกว่าเจ้าผิดไปแล้วไม่ใช่หรือ? งั้นตอนนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะแสดงความมุ่งมั่นของเจ้าโดยเริ่มจากธนบัตรใบนี้” จ้านเป่ยเซียวกล่าว
เฟิ่งชิงหัวไม่ขยับ จ้านเป่ยเซียวหรี่ตาและพูดว่า “เจ้าต้องการให้ข้าลงมือเอง?”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกโมโหมากแต่ทำอะไรไม่ได้ หยิบธนบัตรออกจากอก และก่อนที่จ้านเป่ยเซียวจะทำอะไรได้ นางก็ฉีกมันออกเป็นสองชิ้น บีบมันให้เป็นลูกบอลแล้วโยนใส่จ้านเป่ยเซียว “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วใช่ไหม!”
นางเดินไปทางจวนอ๋องด้วยความโกรธ คืนนี้บอกว่าออกมาดูโคมไฟเป็นความผิดพลาด นอนอยู่ในห้องไม่ดีกว่าหรือไง หาเรื่องใส่ตัว!
หากนางไม่สามารถบอกให้คนเหล่านั้นรู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ นางจะมีชีวิตที่น่าสังเวชเช่นนี้หรือ?
ยิ่งเฟิ่งชิงหัวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น หากนางรู้ว่าเงินเหล่านั้นมองได้แต่ใช้ไม่ได้ นางควรจะทุบตี หวางฟาไฉและทำให้เขาพิการดีกว่า
ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องอุทานจากข้างหลังว่า “ว้าว โคมไฟอันนั้นใหญ่จังแล้วสวยมากด้วย”
“ใช่ สีทองที่แขวนอยู่บนนั้นคืออะไร? ไม่มีเทียนโคมไฟนั่นส่องแสงได้อย่างไร? ดูสวยงามมาก”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกคันใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง และเห็นโคมไฟแก้วหลากสีดวงหนึ่ง กำลังเปล่งแสงหลากสี เมื่อเทียบกับโคมไฟที่อยู่รอบๆ เมื่อเปรียบเทียบกันก็ดูด้อยลงไป
เมื่อเห็นว่าโคมไฟถูกส่งมาให้นาง เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าขึ้น “โม่เหลิง?”
“นี่คือโคมไฟของฉีเป่าเจสำหรับปีนี้ มอบให้ท่าน”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกประหลาดใจ “ให้ข้า? นี่ราคาไม่ถูกเลย”