ตอนที่ 173 พ่อนักล่าแต้ม
ตอนที่ 173 พ่อนักล่าแต้ม
“พี่สาวหวัง คุณไม่รังเกียจที่รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงอายุมากกว่าเหรอคะ?”
หวังซิ่วฟางส่ายหน้าโดยไม่คิดอะไรแล้วตอบว่า “ฉันไม่รังเกียจหรอก”
หลินเซี่ยเตือนอย่างมีชั้นเชิงว่า “บางที… อีกฝ่ายเขาอาจจะไม่คิดแบบคุณก็ได้นะคะ?”
“อย่างน้อยการหาภรรยาที่อายุน้อยกว่าก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ? ทำไมฉันต้องรังเกียจเขาด้วย? ไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนชอบผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าหรอกเหรอ?”
หวังซิ่วฟางมองหลินเซี่ยด้วยสายตาแฝงความหมายบางอย่าง “เฉินกงยังชอบเธอที่อายุแค่ยี่สิบเลย? ฉันแก่กว่าเขาแค่ปีเดียวเท่านั้นเอง เขากลับไม่ยอมมองฉันเลยด้วยซ้ำ”
หลินเซี่ย “…”
“ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรองผู้อำนวยการโรงงานเจียงมากนักหรอกค่ะ คุณลองถามด้วยตัวเองดูสิ”
หลินเซี่ยคิดหาทางหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่หวังซิ่วฟางรั้งเธอไว้และถามต่อว่า “จริงสิ รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงเขารู้จักกับแม่เธอเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยสะดุ้ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ พวกเขาเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน หลังฉันกับอวี่เฟยรู้จักกันมาได้สักพัก”
“นั่นไง ฉันเองก็เดาไม่ผิดว่าพวกเขาเพิ่งจะเคยเจอหน้ากันแท้ ๆ แต่ทำไมเขาถึงดูกระตือรือร้นอยากรู้จักกับแม่เธอขนาดนั้น? หรือว่าเขาสนใจแม่เธอกัน?”
หวังซิ่วฟางมองหน้าหลินเซี่ย และถามในสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ
หลินเซี่ย “!!!”
เมื่อหวังซิ่วฟางมองเธอแบบนี้ เหงื่อเย็น ๆ ก็ไหลลงมาจากหน้าผากของหลินเซี่ย
ผู้หญิงคนนี้มีงานอดิเรกเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มส์หรือไงเนี่ย?
ช่างสังเกตอะไรขนาดนั้น?
หวังซิ่วฟางถามอีกครั้ง “เสี่ยวหลิน พ่อของเธอเสียแล้วใช่ไหม?”
“ค่ะ”
เมื่อหวังซิ่วฟางได้ยินแบบนั้น เสียงระฆังเตือนใจก็ดังขึ้นบราวนี่ออนไลน์
หลินเซี่ยรีบอธิบาย “พี่สาวหวัง แม่ของฉันไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งงานใหม่ คุณอย่าคิดมากไปเลย ไม่ว่ารองผู้อำนวยการโรงงานเจียงจะคิดยังไงกับคุณ เขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแม่ฉันทั้งนั้น”
หวังซิ่วฟางพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ “เขาไม่ได้ชอบแม่เธอสินะ? ฉันเข้าใจแล้วล่ะ”
ขณะหลินเซี่ยกำลังจะออกจากบ้านของหวังซิ่วฟาง เธอก็บังเอิญพบเฉินเจียเหอที่เดินตรงมาหา
เฉินเจียเหอถาม “ทำไมคุณหายไปนานจังล่ะ?”
หลินเซี่ยตอบกลับ “ฉันออกไปโทรบอกอวี่เฟยอดีตเพื่อนร่วมชั้นของฉันมาค่ะ พอกลับมาก็แจ้งให้พี่สาวจางและคนอื่น ๆ ทราบ”
ท่ามกลางทางเดินยามค่ำ เฉินเจียเหอจับมือเธอแล้วเดินกลับบ้านด้วยกัน
คืนนี้หู่จือกินข้าวเยอะมาก เขาเดินไปรอบ ๆ พลางเคี้ยวอาหารไปด้วย หลินเซี่ยจึงถามเขาว่า “หู่จือ ยังไม่ง่วงเหรอ?”
“ไม่ง่วงครับ วันนี้ที่โรงเรียนให้การบ้านด้วย พ่อกับแม่ต้องช่วยสอนท่องกลอนโบราณ ผมกำลังรอให้แม่กลับมาสอนการบ้านก่อนนอนอยู่พอดี”
หู่จือวิ่งเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว ก่อนหยิบหนังสือเรียนออกมาจากกระเป๋า
หลินเซี่ยหยิบขึ้นมาแล้วพูดว่า “ขอดูหน่อยนะ”
“มาเถอะ เรามาท่องกลอนด้วยกัน”
หลินเซี่ยเดินไปปิดทีวี ดึงหู่จือให้นั่งลง แล้วเรียกเฉินเจียเหอ “เจียเหอ คุณก็มาสอนการบ้านลูกด้วยกันสิคะ”
“ทีแรกเขาไม่ยอมให้ผมสอนอ่านนี่”
เฉินเจียเหอมองหู่จือและพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา เด็กตัวแสบคนนี้ เมื่อก่อนมีเขาเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไป เอาแต่พึ่งพาแม่เลี้ยงคนใหม่แทนคนเป็นพ่ออย่างเขาไปเสียแล้ว
ต้องยอมรับว่าเหตุผลของหู่จือนั้นดีมาก “พ่อเคยสอนผมท่องหลายครั้งแล้ว คราวนี้ผมอยากให้แม่เป็นคนสอนบ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นมาอ่านด้วยกันหมดนี่แหละ”
จากนั้นหลินเซี่ยก็ดึงเฉินเจียเหอมานั่งด้วยกัน
คู่รักหนุ่มสาวนั่งขนาบข้างหู่จือคนละฝั่ง ผลัดกันสอนเขาถึงวิธีท่องกลอนโบราณ
หู่จือมองซ้ายทีขวาทีอย่างมีความสุข หัวเราะคิกคักด้วยท่าทางสบายใจ
เฉินเจียเหอจ้องมองเขาอย่างจริงจัง “เด็กดื้อคนนี้ ตั้งใจหน่อยสิ”
หลินเซี่ยสอนเขาฝึกอ่านกลอนหลายครั้ง จนกระทั่งเขาสามารถอ่านด้วยตัวคนเดียวขณะดูหนังสือไปด้วย
“หู่จือเก่งมาก แถมเรียนรู้ไวด้วย แปบเดียวก็อ่านกลอนได้คล่องแล้ว”
เมื่อได้รับคำชมจากหลินเซี่ย ใบหน้าเล็ก ๆ ของหู่จือก็แสดงความภูมิใจและมีความสุข
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองหลินเซี่ยด้วยดวงตาสดใส แล้วถามว่า “แม่ครับ ถ้าในอนาคตแม่มีน้องชายหรือน้องสาว แม่จะยังใจดีกับผมแบบนี้อยู่ไหม?”
หลังจากได้ฟังคำถามของหู่จือ หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอต่างมองหน้ากัน สีหน้าพวกเขาตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“โธ่เอ๊ย เจ้าตัวแสบ นี่คิดกังวลเรื่องนั้นตั้งแต่อายุยังน้อยเลยเหรอ?”
หู่จือพูดด้วยน้ำเสียงน่าเบื่อ “วันนี้ตงตงบอกว่าผมควรระวังเรื่องนี้ไว้ให้ดี ถ้าในอนาคตแม่มีลูกเป็นของตัวเอง แม่ก็จะทำร้ายผม”
“อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเด็กนั่นเลย ลูกจะเป็นลูกชายคนโตของแม่ตลอดไป ถ้าในอนาคตแม่มีน้องชายหรือน้องสาว พวกเขาก็จะรักลูกมากเหมือนกัน ลูกเองก็ต้องรักน้องให้มาก ๆ ด้วย และแน่นอนว่าแม่ยังคงรักลูกเหมือนเดิม เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยน”
หลังจากหลินเซี่ยอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา ใบหน้าบูดบึ้งของหู่จือก็ผ่อนคลายลง “ผมรู้อยู่แล้วว่าตงตงแค่พูดให้ผมกลัวเฉย ๆ”
เมื่อได้ยินชื่อตงตง หลินเซี่ยก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอีกครั้ง “ตงตงคนนี้อีกแล้ว ไม่ได้ล่ะ แม่ของเขาควรสั่งสอนลูกตัวเองเรื่องนี้ซะบ้าง เด็กเล็กแบบเขาจะรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงถ้าไม่ได้ฟังมาจากปากผู้ใหญ่? รอแม่ไปรับลูกที่โรงเรียนวันถัดไปก่อนเถอะ แม่จะไปเอาเรื่องทั้งตงตงและแม่ของเขาเลย”
เฉินเจียเหอมองดูหญิงสาวที่โกรธเกรี้ยว และพูดกับเธอเบา ๆ ว่า “อย่าไปหาเรื่องหล่อนเลย แม่ของตงตงเป็นคนรุนแรงมากนะ คุณเอาชนะหล่อนไม่ได้หรอก”
หลินเซี่ยเอียงศีรษะพลางหันมามองเขา พยายามพูดอย่างดีที่สุดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง “ทำไมฉันจะเอาชนะหล่อนไม่ได้? ลองถามหู่จือดูสิว่าวันนั้นฉันจัดการกับหล่อนยังไงบ้าง?”
“แม่เอาชนะหล่อนได้จริง ๆ ครับ! คราวก่อนแม่กระชากผมแม่ตงตงแล้วดึงให้หล่อนล้มไปกองอยู่กับพื้น แม่ทรงพลังมากเลยครับพ่อ” หู่จืออธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ และยังแสดงท่าทางสมมุติเป็นพัลวันว่าหลินเซี่ยสั่งสอนแม่ของตงตงในวันนั้นอย่างไรบ้าง
เฉินเจียเหอมองไปยังภรรยาและลูกชาย แม้ว่าเขาจะชื่นชมในความกล้าหาญของเธอ แต่เขาก็ไม่สนับสนุนการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง “วันหลังอย่าไปทะเลาะกับคนแบบนั้นเลย คุณเองจะเสียหายเอาเปล่า ๆ ไว้ผมจะไปหาอาจารย์เพื่อคุยเรื่องนี้เอง”
“จะว่าไป ฉันยังไม่ได้ถามคุณเลย ได้ยินมาว่า… แม่ของตงตงชอบส่งสายตาให้คุณอยู่บ่อย ๆ แถมยังพยายามเข้ามาคุยกับคุณด้วย คุณนี่มีเสน่ห์เหลือล้นจริง ๆ เลยนะ” หลินเซี่ยหรี่ตามองเฉินเจียเหออย่างแปลก ๆ
“ไปฟังพี่สาวหวังพูดมาอีกแล้วเหรอ?”
เฉินเจียเหอปวดกบาลจนต้องยกมือก่ายหน้าผาก หวังซิ่วฟางคนนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาเสียเลย
“แล้วมันเป็นความจริงหรือเปล่าล่ะ?” หลินเซี่ยถามกดดัน
“ผมไม่รู้!” เฉินเจียเหอเลี่ยงสายตาอันแหลมคมของเธอที่แฝงด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ผมไม่ได้สนใจมองหล่อนเลยด้วยซ้ำ จะรู้ได้ไงว่าหล่อนชอบส่งสายตาให้ผม?”
เขาเก็บกระเป๋านักเรียนของหู่จือ แล้วพูดต่อว่า “ไปล้างหน้าเร็ว ถึงเวลาเข้านอนแล้ว”
“โอ้”
ทันทีที่หู่จือเข้าห้องน้ำ เฉินเจียเหอก็เขยิบเข้ามาใกล้เธออย่างรวดเร็ว ก่อนหอมแก้มเธอและอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ผมไม่รู้จริง ๆ นะว่าแม่ของตงตงพยายามทำอย่างนั้น แล้วผมก็ไม่เคยสนใจหล่อนเลยด้วย”
หลินเซี่ยพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา แล้วผลักเขาออก “ฉันไม่เชื่อหรอก พ่อนักล่าแต้ม!”
เฉินเจียเหอ “???”
ขณะที่เขากำลังจะขยับเข้าไปใกล้ ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกมาเสียงดัง เขายืดตัวตรงทันทีพลางกระแอมไอเล็กน้อย และแสดงสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง
หู่จือเดินออกมาจากห้องน้ำ มองเฉินเจียเหอพลางแสดงท่าทางอ้อนวอน “พ่อครับ ผมอยากนอนกับพ่อแม่ เราไม่ได้นอนด้วยกันสามคนมานานมากแล้ว ผมคิดถึงสมัยพวกเราได้นอนด้วยกัน”
ใบหน้าของเฉินเจียเหอตึงขึ้นทันที เขารีบปฏิเสธอย่างเข้มงวด “ไม่ได้ เตียงเล็กเกินไป คนตั้งสามคนนอนบนเตียงเดียวกันคงไม่พอหรอก”
“ทำไมเราจะเบียดกันไม่ได้ล่ะ? ลุงเซี่ยกับลุงจวิ้นเฟิงดื่มที่บ้านเราจนเมาหนัก เมื่อก่อนผมยังนอนกับพวกลุง ๆ บนเตียงเดียวกันได้เลย แถมไม่รู้สึกอึดอัดด้วย”
เฉินเจียเหอก้มลงมองหน้าเขาอย่างอดทน ให้เหตุผลกับเขาว่า “ลูกเป็นผู้ชาย ควรเรียนรู้ที่จะอยู่ตามลำพังนะ”
“หู่จือ ลูกอายุห้าขวบครึ่งแล้ว นอนกับพ่อแม่ไม่ได้หรอก ตามมาเร็ว เดี๋ยวแม่จะพาลูกเข้านอนและเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนดีไหม ลูกหลับเมื่อไหร่แม่ค่อยไปนอนบ้าง” หลินเซี่ยเดินเข้าไปจับมือหู่จื่อ
เมื่อก่อนตอนที่เธอยังอยู่ในบ้านเกิด เธอกับเฉินเจียเหอต่างก็ยังใหม่ต่อกัน ทั้ง ๆ ที่นอนด้วยกันบนเตียงเตาตัวใหญ่ตัวนั้น กลับไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวกันเลย
แต่วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว เฉินเจียเหอจะยอมนอนนิ่ง ๆ เหมือนไก่ตายอยู่คนละฝั่งของเตียงแบบนั้นได้อย่างไร?
ถ้าเขาคิดทำอะไรละก็ ลูกอาจตื่นมาเห็นเข้า แล้วจะสร้างจิตสำนักที่ไม่ดีต่อลูก
หลินเซี่ยมีประสบการณ์มากมายในการเลี้ยงลูก เธอดึงหู่จือเข้าไปในห้องนอนห้องเล็ก รอให้เขานอนลงและดึงผ้าห่มให้ จากนั้นนั่งบนขอบเตียง พลางตบขาเขาเบา ๆ และเล่านิทานให้เขาฟังอย่างนุ่มนวลด้วยน้ำเสียงดังกำลังดี
เฉินเจียเหอพิงประตูห้องนอน มองใบหน้าอันบอบบางของหญิงสาวภายใต้แสงสลัว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหลงใหล
สายตาที่เธอมองหู่จือนั้นอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก
ไม่สอดคล้องกับอายุของเธอเอาเสียเลย
เธออายุแค่ยี่สิบปีเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมีราศีความเป็นแม่ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งเธอไม่สามารถเสแสร้งสร้างความรู้สึกนั้นได้ถ้ามันไม่ออกมาจากใจจริง
ร่างของเธอเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมลึกลับที่ชวนให้ค้นหา
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นั่นแน่ หาทางปรับความเข้าใจกันสองต่อสองไม่ให้ลูกรู้ล่ะสิ
ไหหม่า(海馬)