ตอนที่ 174 ช่วยถอดให้นะ
ตอนที่ 174 ช่วยถอดให้นะ
หลินเซี่ยเกลี้ยกล่อมหู่จือให้รีบนอน ก่อนลุกขึ้นและออกไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่เธอปิดประตู ก็เห็นเฉินเจียเหอพิงประตูยืนมองเธออย่างมีเลศนัย
สายตาที่จ้องมองมาเหมือนหมาป่านั้นดูเหมือนกลืนกินเธอได้ทั้งตัว
ดวงตาของหลินเซี่ยวูบไหว พลางพูดว่า “คุณบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ อย่าเพิ่งคิดเรื่องแบบนั้นเลยค่ะ”
เฉินเจียเหอเดินเข้ามาใกล้เธอทีละก้าว ผลักเธอเข้ามุมผนัง แล้วขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น “ไม่ได้เจ็บอะไรมากแล้ว”
หลังพูดอย่างนั้น เขาก็จูบลงบนริมฝีปากเธอเบา ๆ
แขนขวาของเขาเริ่มอยู่ไม่สุข ดึงเธอเข้ามากอดไว้ด้วยมือข้างซ้าย แล้วดันหน้าอกตัวเองให้แนบชิดกับเรือนร่างของเธอ หญิงสาวไม่มีความลังเลเลย ยกแขนโอบรอบเอวแล้วเขย่งเท้าเพื่อจูบริมฝีปากเขา
เมื่อเขาสบตาอันชาญฉลาดของเธอ เขาก็รู้สึกประทับใจมากจนเข้ามาใกล้มากขึ้น และจูบเธออย่างหนักหน่วง
…
จนกระทั่งทั้งคู่หายใจไม่ออก เขาจึงละจากริมฝีปากของเธอ ก่อนซุกหน้าลงบนซอกคอของเธออย่างหลงใหล
“เซี่ยเซี่ย ช่วงที่ผมไม่อยู่ คุณคิดถึงผมบ้างไหม?” เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
หลินเซี่ยกอดเอวเขาและตอบเขาเบา ๆ “คิดถึงสิ”
เพียงเธอพูดแค่สองคำ ลมหายใจของเขาก็เริ่มไม่มั่นคง เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความรักใคร่ แล้วพูดว่า “ผมเองก็คิดถึงคุณเหมือนกัน”
เขาบอกว่า “ยกเว้นเวลาทำงานนะ ผมคิดถึงคุณตลอดเวลาเลย”
หลินเซี่ยหัวเราะเบา ๆ “ยกเว้นชั่วโมงทำงานเหรอ คุณมีเวลาเป็นของตัวเองเท่าไหร่กันเนี่ย?”
“ผมคิดถึงคุณตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนหลับ เมื่อผมรู้สึกเหนื่อย ๆ ผมจะรู้สึกมีพลังทุกครั้งเมื่อคิดถึงคุณกับหู่จือ”
เมื่อคิดว่ามีคนรอเขาอยู่ที่บ้าน เขาก็อดทนต่องานหนักได้ ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
พวกเขาเปรียบเสมือนเกราะทางจิตใจ ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดอ่อนของเขาด้วย
“เข้านอนกันเถอะ.”
หลังจากเข้าไปในห้องนอน เฉินเจียเหอก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย เขาสงบสติอารมณ์ลงครู่หนึ่ง จากนั้นแววร้อนรุ่มในดวงตาก็ค่อย ๆ หายไป ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “ขอบัตรประจำตัวคุณให้ผมหน่อยสิ”
“ผมจะเตรียมของทั้งหมดที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ไว้ให้พร้อม ตอนเช้าจะได้ไม่รีบร้อนมาก”
“ได้”
หลินเซี่ยจัดเสื้อผ้าและผมเผ้ายุ่งเหยิงของตัวเอง แล้วไปค้นหาเอกสารที่ว่า
ไม่น่าแปลกใจที่เขาหยุดรุกล้ำอย่างกะทันหัน ที่แท้ก็เป็นเพราะเขากลัวว่าธุระของวันพรุ่งนี้จะล่าช้า
ต้องบอกเลยว่า มันรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้อยู่กับผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่กว่า
อย่างน้อยเธอก็ผ่อนคลายความกังวลต่าง ๆ ไปได้มาก
หลินเซี่ยนำบัตรประจำตัวของตัวเองออกมา เฉินเจียเหอก็เตรียมเอกสารแนะนำตัวจากหัวหน้าหมู่บ้าน บัตรประจำตัวของทั้งสองคน สมุดทะเบียนบ้าน และเอกสารรับรองที่ออกโดยโรงงาน จากนั้นนำทุกอย่างใส่ซองหนังวัวแล้วนำไปใส่กระเป๋าเอกสาร
เมื่อของทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็ครุ่นคิดแล้วพูดว่า
“พรุ่งนี้เราต้องไปถ่ายรูปกัน งั้นต้องใส่เสื้อผ้าสีอ่อน แล้วควรเป็นสีเดียวกันด้วย”
เขาวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อผ้าสีอ่อน “เซี่ยเซี่ย ดูเหมือนคุณจะไม่มีเสื้อเชิ้ตสีขาวเลยใช่ไหม?”
“ฉันมีแค่เสื้อสเวตเตอร์คอกลมตัวบางสีเบจค่ะ ไม่เป็นไรหรอก ใส่เสื้อเชิ้ตแทนก็ได้”
หลินเซี่ยทนไม่ได้ที่จะเห็นเขายุ่งตลอดเวลาในฐานะคนไข้ที่มีอาการบาดเจ็บ
เธอเดินเข้ามาจับมือเขาแล้วบอกว่า “ไปนอนเถอะค่ะ จะทำตัวเป็นคุณแม่จอมจู้จี้ไปถึงไหน? พรุ่งนี้ฉันค่อยหาเสื้อผ้าเอง”
ชายคนนั้นดึงเธอขึ้นไปบนเตียง แล้วจ้องมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ พลางพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “ช่วยผมถอดเสื้อผ้าออกหน่อยสิ”
หลินเซี่ยไปต่อไม่ถูก “แล้วคุณถอดเสื้อผ้าเองตอนได้รับบาดเจ็บช่วงแรก ๆ ยังไงเนี่ย? เมื่อกี้ยังดูแข็งแรงขึ้นอยู่เลย แต่จู่ ๆ ก็ดูแลตัวเองไม่ได้ซะงั้น?”
เมื่อคืนเธอเป็นคนช่วยถอดเสื้อให้เขา หาคาร์ดิแกนและเสื้อสเวตเตอร์มาให้อย่างเอาใจใส่เป็นพิเศษ
พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดแปลกใจไม่ได้
เขาพูดว่า “ผมไม่ได้ถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าตลอดเวลาที่อยู่ข้างนอก ทุกวันต้องทำงานจนดึกดื่น ก็เลยนอนไปทั้งแบบนี้ จากนั้นก็ตื่นมาทำงานต่อหลังตื่นนอนตอนเช้า”
คำพูดของเขาทำให้หลินเซี่ยรู้สึกเป็นทุกข์และเห็นใจสงสาร
จินตนาการไม่ออกว่าเขาต้องอดทนต่อความเจ็บปวด และยังทำงานตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนได้อย่างไร?
เธอพลันรู้สึกแสบร้อนโพรงจมูก และกลายเป็นภรรยาตัวน้อยที่มีคุณธรรมทันที “ฉันจะช่วยถอดให้นะ”
เธอรู้ว่าเขาจงใจอ้อน กระนั้นก็เต็มใจยอมรับมัน ถอดเสื้อคาร์ดิแกนและเสื้อสเวตเตอร์ของเขาออก “อย่าถอดเสื้อสเวตเตอร์ออกนะ”
เขายิ้มอย่างคลุมเครือ “อืม คืนนี้เราไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกก็ได้ ไว้ไปถอดออกคืนพรุ่งนี้แทน”
หลังได้ยินคำพูดของเขา หลินเซี่ยก็พลันนึกถึงฉากวาบหวามที่ปรากฏขึ้นในใจอย่างอธิบายไม่ได้ เธอกลืนน้ำลาย ริมฝีปากแห้งผาก จนอยากจะผลักเขาลงจากเตียง
เมื่อเห็นเธออับอายและขวยเขินแบบนั้น เขาก็หัวเราะเบา ๆ “ว่าไง หรือจะให้ผมถอดให้”
หลินเซี่ยถอดเสื้อผ้าตัวนอกออกในไม่กี่นาที แล้วเตรียมเข้านอน
เฉินเจียเหอปิดไฟ วางแขนซ้ายโอบเธอไว้ แล้วจูบเธอเบา ๆ ที่แก้ม “นอนกันเถอะ”
…
วันรุ่งขึ้น เฉินเจียเหอตื่นนอนแต่เช้าเพื่อออกไปซื้อกับข้าว จากนั้นเขาก็ไปค้นตู้เพื่อหาเสื้อผ้าเตรียมไว้สำหรับสวมใส่
หลินเซี่ยได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็ฝืนลืมตาที่ง่วงงุนขึ้น
“ทำไมตื่นเช้าจัง? ไว้ฉันออกไปซื้ออาหารเช้าให้คุณก็ได้ ใครอนุญาตให้คุณออกไปข้างนอกทั้งที่ยังไม่หายดีกัน?”
“ผมอยู่บ้าน คุณไม่ต้องตื่นเช้าตามผมก็ได้ นอนต่อเถอะ”
เฉินเจียเหอสวมกางเกงขายาวสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว และชุดสูทบนไม้แขวนเสื้อ
เขานำเสื้อสเวตเตอร์สีขาวบางกับกางเกงยีนส์ตัวหนึ่งมาให้เธอ จัดแจงวางไว้ข้างเตียง “ผมหาเสื้อผ้าให้หมดแล้ว ลองใส่ตัวนี้สิ”
“เฉินเจียเหอ คุณนี่ช่างเป็นคนดีและมีน้ำใจจังเลยนะ”
หลินเซี่ยหาว ในที่สุดก็ลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มแต่งตัว
เฉินเจียเหอยืนอยู่ใกล้ ๆ พลางมองดูเธอจัดการตังเองอย่างเงียบ ๆ
หลินเซี่ยรู้สึกเขินอายกับท่าทางของเขา เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่นและพูดอย่างไม่สบายใจว่า “ทำไมคุณเอาแต่มองฉันตลอดเวลาล่ะ?”
เขาตอบไปตามตรง “ก็คุณดูดีนี่ เซี่ยเซี่ย คุณผูกเน็กไทเป็นไหม?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “เป็นสิ”
“ผูกเน็กไทให้ผมหน่อย”
เฉินเจียเหอหยิบเน็กไทสีแดงออกมาจากตู้เสื้อผ้า
หลินเซี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไมแต่งตัวเป็นทางการจัง?”
“ในวันสำคัญแบบนี้ แน่นอนว่าต้องแต่งตัวเป็นทางการหน่อย”
เขายื่นเน็กไทให้หลินเซี่ย และโน้มตัวเล็กน้อยเพื่อให้เสมอกับส่วนสูงของเธอ ขอให้เธอผูกเน็กไทให้
เมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดกับเขาแบบนี้ในตอนเช้าตรู่ หลินเซี่ยอดไม่ได้ที่จะแอบกลืนน้ำลายลงคอ ขณะที่มองดูลูกกระเดือกที่เลื่อนขึ้นลงไปมาของเขา รวมถึงใบหน้ามุมเสยที่หล่อเหลาได้รูป
เธอบังคับตัวเองไม่ให้ลุ่มหลงเมามาย พยายามลดสายตาลงและพยายามไม่มองเขา ขณะรีบผูกเน็กไทให้
“เสร็จแล้ว” หัวใจเธอกำลังเต้นรัว เธอถอยหลังหนึ่งก้าว และค่อย ๆ ถอยห่างจากเขา
เฉินเจียเหอคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจ หันไปเตรียมสวมชุดสูทต่อ
หลินเซี่ยมองไปยังชุดสูทตัวใหญ่เทอะทะที่เขาคิดจะใส่ มองเขาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างยากจะอธิบาย
เธอไม่เคยคิดว่าการแต่งตัวแบบนี้ดูแย่เลย แต่หลังจากกลับมาเกิดใหม่ สุนทรียศาสตร์ด้านแฟชั่นของเธอก็เปลี่ยนไป เธอไม่สามารถทำใจชื่นชมเสื้อผ้าสไตล์โบร่ำโบราณแบบนี้ได้จริง ๆ
โดยเฉพาะแผ่นรองไหล่นั้นที่ใหญ่เกินความพอดี ปกติไหล่ของผู้ชายกว้างและผึ่งผายตามธรรมชาติ ดังนั้นพอมีแผ่นรองไหล่นี้มาเสริม จึงดูเหมือนเขากำลังสวมชุดเกราะ นอกจากนี้เสื้อผ้ายังมีความยาวมากจนคลุมบั้นท้าย
ถ้าชุดนี้สวมใส่โดยคนอ้วน มันก็สามารถซ่อนข้อบกพร่องของผู้สวมใส่ได้ แต่เมื่อเป็นเฉินเจียเหอที่สวม มันกลับปิดบังรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลินเซี่ยค้นตู้เสื้อผ้าไปเรื่อย ๆ หยิบกางเกงยีนส์สีน้ำเงินตัวใหม่ และแจ็กเก็ตหนังสีดำออกมา จากนั้นพูดกับเฉินเจียเหอว่า “เปลี่ยนมาใส่ตัวนี้ดีกว่า”
เธออธิบายว่า “อากาศข้างนอกตอนเช้าค่อนข้างเย็นมาก ถ้าสวมชุดสูทแบบนั้นคงหนาวแย่เลย”
ตามคำร้องขอของภรรยา เฉินเจียเหอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปลี่ยนมาสวมเสื้อตัวใหม่
ทันทีที่ใส่ยีนส์ เขาก็สวมเข็มขัดหน้ากว้างสไตล์ปี 1987 ที่ดูทันสมัย และยังเป็นหนึ่งแฟชั่นในมาแรงที่สุดในยุคนี้ด้วย โดยเหน็บเสื้อไว้ที่ขอบกางเกง เผยให้เห็นเอวสอบที่กระชับแข็งแกร่งของเขา
หลังจากสวมแจ็กเก็ตหนังแล้ว หลินเซี่ยมองดูเขาและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ดูดีสุด ๆ ไปเลย”
เขาดูเด็กลงไปมากเลยนะเนี่ย
ตรงข้ามกับชุดแรกที่ดูอ้วนและเชยจะตายชัก
สงสัยจะต้องหาชุดสูทตัวใหม่ที่เหมาะกับเขาในภายหลังเสียแล้ว
และต้องเป็นแบบที่เน้นสัดส่วนของเขาด้วย
เดิมทีเขาไม่คุ้นเคยกับการแต่งตัวแบบนี้ แต่เมื่อภรรยาของเขาชื่นชม เฉินเจียเหอก็พลันมีความมั่นใจมากขึ้นทันที
หลินเซี่ยแต่งตัวและไปห้องน้ำ เขาเดินตามเธอไปและพูดว่า “เดี๋ยวผมจะบีบยาสีฟันให้คุณเอง”
“ไม่ต้องตามฉันมาก็ได้”
หลินเซี่ยเขินอายและพยายามผลักไส หลังพูดจบเธอก็ปิดประตูห้องน้ำทันที
เธอพิงประตูห้องน้ำพร้อมเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก
ช่างเป็นสุนัขรับใช้ที่หล่อเหลาและซื่อสัตย์จริง ๆ
เฉินเจียเหอถูกกันท่าอยู่นอกประตู ดังนั้นเขาจึงต้องไปปลุกหู่จือแทน
หู่จือใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินออกมา เมื่อเห็นเฉินเจียเหอ เขาก็อุทานว่า “พ่อครับ วันนี้ดูเด็กลงกว่าทุกวันอีก”
เฉินเจียเหอ “…”
เขาอดไม่ได้ที่จะลองก้มมองตัวเอง ชุดนี้ดูเท่กว่าชุดนายช่างสีปูนซีเมนต์ที่เขามักจะหยิบมาสวมเป็นประจำมาก
นอกจากนี้ ภรรยาของเขายังตัดผมให้ใหม่ด้วย ส่งเสริมให้เขาดูอ่อนกว่าวัย ดูเหมือนว่าเขาจะอายุน้อยลงหลายปีทีเดียว
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจรูปร่างหน้าตาตัวเองมากนัก แต่เนื่องจากเขาแต่งงานกับภรรยาที่อายุยังน้อย เขาจึงเริ่มกังวลคำพูดของคนอื่นที่บอกว่าเขาแก่กว่าหลินเซี่ย
เฉินเจียเหอมองไปยังหู่จือและเลิกคิ้ว “ลูกคิดว่าพ่อดูเด็กลงกว่าเมื่อก่อนเหรอ?”
หู่จือพยักหน้ารัว ๆ “อืม ดูเด็กลงมาก แถมยังหล่อพอ ๆ กับอาสามของผมเลย”
คำพูดของเด็กไม่มีการเสแสร้ง ลูกชายเขาไม่ได้โกหกแน่นอน
เฉินเจียเหออดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น แล้วลูบหัวหู่จือพลางพูดด้วยความชื่นชมว่า “ลูกรัก ดวงตามีแววตั้งแต่เด็กเลยจริง ๆ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แล้วกันสิ นึกว่าจะมีฉากร้อนแรงเกิดขึ้นเสียอีก
พี่เหอเปลี่ยนสไตล์แล้วนะ จะว่าพี่เหอแก่ไม่ได้แล้วล่ะ
ไหหม่า(海馬)