ตอนที่ 175 ขอเป็นพ่อบุญธรรม
ตอนที่ 175 ขอเป็นพ่อบุญธรรม
เมื่อหลินเซี่ยออกมาจากห้องน้ำ หู่จือก็รีบวิ่งไปหาเธอ แล้วชมเธอว่า “วันนี้แม่สวยมากเลยครับ”
หลินเซี่ยรวบผมหางม้าสูง สวมเสื้อสเวตเตอร์คอกลมสีเบจ และกางเกงยีนส์ ให้อารมณ์เหมือนเด็กนักเรียนมัธยมปลาย
ดวงตาของเฉินเจียเหอเหม่อลอยไปชั่วขณะ
รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็วสุดขีดอีกครั้ง ขณะมีลูกชายอยู่ข้าง ๆ เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมอารมณ์ และบังคับตัวเองไม่ให้ออกอาการเขินชัดจนเกินไป
หลินเซี่ยพูดกับหู่จือว่า “หู่จือ พอดีวันนี้พ่อแม่จะไปจดทะเบียนสมรสที่สำนักกิจการพลเรือนนะ”
“ทะเบียนสมรสคืออะไรเหรอ?” หู่จือถาม
หลินเซี่ยอธิบาย “หลังจากแม่ไปจดทะเบียนสมรสแล้ว แม่ก็จะเป็นแม่ตามกฎหมายของลูกจริง ๆ ไง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หู่จือก็เร่งเร้าเธออย่างรวดเร็ว “โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเลย”
“ได้ มากินข้าวเช้ากันก่อนเถอะ”
เฉินเจียเหอหยิบนมถั่วเหลืองและปาท่องโก๋มาวางบนโต๊ะ
หลังอาหารเช้า หลินเซี่ยสวมเสื้อกันลม มือข้างหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนของหู่จือ
เฉินเจียเหอถือซองหนังวัวที่บรรจุเอกสารสำคัญไว้ในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง จากนั้นคนทั้งสามก็เดินออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเดินมาถึงลานกว้างของอาคารที่มีเพื่อนบ้านลงมารวมตัวกัน พวกเขาก็หยุดพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานนิดหน่อย ส่วนลุงหลี่และคนอื่นกำลังเต้นแอโรบิกออกกำลังกายอยู่ตรงลานบ้าน
วันนี้ไม่ว่าเฉินเจียเหอเดินผ่านใคร เขามักจะกล่าวทักทายทุกคนที่พบหน้า
เมื่อคนอื่นถามเขาว่ากำลังจะไปไหน เขาก็ตอบด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ไปจดทะเบียนสมรส”บราวนี่ออนไลน์
มีคนหัวเราะคิกคักและพูดติดตลกว่า “เฉินกง ที่แท้คุณก็ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตมาโดยตลอดเลยเหรอเนี่ย”
“ฮ่าๆๆๆ”
“เห็นไหม หลังจากเฉินกงแต่งงานกับภรรยาคนนี้ เขาก็กลายเป็นชายหนุ่มที่มีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ ฉันไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าเฉินกงหล่อขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แน่นอนอยู่แล้วเสี่ยวหวัง ไว้คุณจะรู้เองเมื่อเจอใครสักคน”
หลินเซี่ยดึงแขนเสื้อของเขาอย่างเชื่องช้า และเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา “ไปได้แล้วค่ะ”
หลังออกจากละแวกบ้าน รถซานทาน่าคันงามของเซี่ยไห่ก็มาจอดรออยู่ริมถนน วันนี้เซี่ยไห่แต่งตัวค่อนข้างตระการตา สวมชุดสูทสีน้ำเงิน เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเน็กไทสีแดง รองเท้าหนังขัดเป็นมันเงา ผมใส่มูสจนเงางาม
ในมือเขายังถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วย ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งเงินตรา บ่งบอกนิสัยภายในสู่ภายนอก
เฉินเจียเหอมองไปยังเซี่ยไห่ แล้วมองดูตัวเองที่แต่งตัวเรียบร้อย สีหน้าเข้มคล้ำขึ้นทันที พูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ต้องแต่งตัวเป็นทางการขนาดนั้นเลยเหรอ?”
สำหรับคนที่ไม่รู้ คงคิดว่าเซี่ยไห่กำลังจะไปขอใครสักคนแต่งงาน
เซี่ยไห่ลูบผมตัวเอง แล้วอธิบายอย่างสมเหตุสมผล
“ร้านตัดผมของหลินเซี่ยเปิดอย่างเป็นทางการวันนี้ไม่ใช่เหรอ? สำหรับโอกาสที่เป็นทางการแบบนี้ แน่นอนว่าต้องแต่งกายให้เป็นทางการอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้ใส่ใจการแต่งตัวมากนักหรอก แค่ปรับลุคเสื้อผ้านิดหน่อยเอง”
เฉินเจียเหอถึงกับพูดไม่ออก
จริงอยู่ที่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้แต่งตัวฉูดฉาดขนาดนี้มานาน
นับตั้งแต่เขาทำเงินได้มหาศาล เขาก็เริ่มพิถีพิถันมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
เครื่องแต่งกายมักจะมีสไตล์เด่นชัดอยู่เสมอ
เซี่ยไห่มองข้ามเฉินเจียเหอไป มองไปทางหญิงสาวร่างสูงที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยแววตาสดใส ยิ้มฟันขาว ซึ่งดวงตาของเขาเองก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน “หลินเซี่ย วันนี้เธอสวยมากเลย”
หลินเซี่ยเผยรอยยิ้มที่สุภาพรับกับใบหน้าอ่อนเยาว์ แล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ”
เธอเป็นคนสงบและใจกว้าง ไม่ถ่อมตัวหรือเขินอายเมื่อได้รับคำชม ทำให้เซี่ยไห่มองเธอด้วยความชื่นชม “ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจมากทีเดียว”
หลินเซี่ยจับตามองเซี่ยไห่ และยืนอย่างสงบอยู่ด้านหลังเฉินเจียเหอ
เซี่ยไห่และเฉินเจียเหอเป็นเพื่อนสนิทแบบชนิดเพื่อนตาย เธอไม่ต้องการที่จะหักล้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของพวกเขา แต่ชายคนนี้มักจะมองเธอแบบมีเลศนัย ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
เฉินเจียเหอพูดว่า “รีบไปขับรถได้แล้ว”
เขาเปิดประตูเบาะหลังให้หลินเซี่ยนั่งข้างใน จากนั้นนั่งข้างเธอแล้วปิดประตูรถ
เซี่ยไห่สตาร์ทรถอยู่ที่ตำแหน่งคนขับ ยังคงหาเรื่องคุยกับหลินเซี่ยอีกครั้ง
“หลินเซี่ย เธออายุเท่าไหร่นะ?”
หลินเซี่ยตอบ “ยี่สิบกว่าแล้วค่ะ”
“ปีนี้ฉันอายุสามสิบแปด แก่กว่าเธอสักสิบแปดปีได้ ในแง่ของอายุฉันสามารถเป็นพี่ชายเธอได้เลย แต่ฉันสามารถยอมรับเธอเป็นลูกบุญธรรมได้นะ” เซี่ยไห่มองกลับไปและพูดพร้อมเผยรอยยิ้ม
หลินเซี่ยดูคล้ายกับพี่สาวของเขามากอย่างกับคนเดียวกัน แม้พวกเธอจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่มันก็เป็นโชคชะตาที่พระเจ้ามอบให้พวกเขา เพราะพวกเธอดูคล้ายกันมากจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาพวกเขาสามพี่น้องไม่มีใครเลยที่แต่งงาน และไม่มีใครมีลูกด้วย
ถ้าเขารับหญิงสาวที่ดูเหมือนพี่สาวตัวเองมาเป็นลูกบุญธรรม แม่ของเขาจะต้องมีความสุขมากอย่างแน่นอน ถ้ารู้จักและได้เห็นเธอ
หลินเซี่ย “!!!”
เธอไม่พูดอะไร แต่มองไปยังเฉินเจียเหอเพื่อขอความช่วยเหลือ
เฉินเจียเหอจ้องมองไปยังคนขับที่อยู่ข้างหน้า กัดฟันพูด “นายป่วยหรือเปล่าเนี่ย?”
เซี่ยไห่ตอบกลับอย่างไม่จริงจัง “ฉันจริงจังนะ”
หลินเซี่ยปฏิเสธด้วยน้ำเสียงแฝงความห่างเหิน “ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่มีแผนที่จะหาพ่อบุญธรรมเร็ว ๆ นี้”
เธอไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องแปลก ๆ อย่างเช่นการยอมรับพี่ชายประเภทนี้มาเป็นพ่อบุญธรรมอะไรเทือกนั้นได้
เฉินเจียเหอรู้ว่าเซี่ยไห่ไม่มีเจตนาร้าย เขาแค่อยากเข้าใกล้หลินเซี่ย เพราะรูปร่างหน้าตาเธอดันไปคล้ายพี่สาวของเขา
แต่คำขอนี้ดูมากเกินไปหน่อย เฉินเจียเหอบีบมือเธอแน่น เป็นการส่งสัญญาณให้เธออย่าไปถือสาเพื่อนของเขา .
จากนั้นเฉินเจียเหอก็เตือนอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “ตั้งใจขับรถไปเถอะ ถ้านายมีความคิดแปลก ๆ อีกละก็ ฉันจะเลิกเป็นเพื่อนกับนายซะเดี๋ยวนี้”
เซี่ยไห่ถอนหายใจอย่างเสียใจ “แต่ฉันรวยมากนะ มีเด็กมากมายอยากให้ฉันเป็นพ่อบุญธรรมของพวกเขาด้วย ทำไมพวกนายไม่ต้องการล่ะ?”
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเธอก็หมองคล้ำยิ่งขึ้น
เซี่ยไห่นึกอยากพูดอะไรก็พูด เพราะเขาขับรถอยู่ และเฉินเจียเหอก็เอาชนะเขาไม่ได้ ทำได้แค่ขยับเข้าไปใกล้หลินเซี่ย และอธิบายเบา ๆ ว่า “อย่าไปถือสาเขาเลย เขามีนิสัยแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่อยากมีเมียแต่อยากมีลูกบุญธรรมใจจะขาด เมื่อก่อนเขาเคยบอกให้หู่จือเรียกเขาว่าพ่อด้วย”
ขณะอธิบายจนจบ เสียงจากด้านหน้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเธอไม่รังเกียจฉันที่แก่กว่า เธอจะถือว่าฉันเป็นเพื่อนฉันก็ไม่ได้ถือสาอะไรหรอกนะ ฉันรู้สึกจริง ๆ ว่ามีชะตากรรมบางอย่างร้อยรัดระหว่างเรา บางทีพระเจ้าอาจนำพาให้เรามาพบเจอกัน ฉันเปล่าพูดไร้สาระนะ พวกนายคงไม่ถือสาอะไรใช่ไหมล่ะ ต้องโทษในเจตนาดีของพระเจ้าต่างหาก”
หลินเซี่ยรู้สึกสับสนเมื่อฟังจบ มุมปากของเธอกระตุกอย่างรุนแรง
“ปกติเขาคุยกับผู้หญิงคนอื่นแบบนี้เหมือนกันเหรอคะ?” หลินเซี่ยหันไปมองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้ามึนงง
“ก็ไม่นะ” เฉินเจียเหอจับมือเธอแล้วพูดเบา ๆ “ไว้ผมจะอธิบายพฤติกรรมบ้า ๆ ของเขาให้ฟังหลังจากเรากลับถึงบ้านแล้ว”
เฉินเจียเหอเตะที่นั่งตรงหน้าเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “นายน่ะ ช่วยหุบปากไปสักพักได้ไหม?”
“โอเค หุบก็หุบ ไว้ฉันขุดรูปเก่า ๆ ของพี่สาวได้เมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยกันใหม่ทีหลัง”
เซี่ยไห่หยุดพูดและเร่งความเร็ว จนขับมาถึงประตูของอาคารสำนักกิจการพลเรือนภายในไม่กี่นาที
เฉินเจียเหอพูดกับเซี่ยไห่ “ไม่ต้องลงจากรถหรอก รออยู่ในรถนี่แหละ”
“โอเค ตามสบายครับท่านชาย”
เฉินเจียเหอจับมือหลินเซี่ยแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ”
พวกเขามาถึงเร็ว จึงไม่มีคิวก่อนหน้า พวกเขาพูดคุยกับนายทะเบียน ถ่ายรูป เซ็นชื่อลงนามและประทับตรา ขั้นตอนต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากได้รับเอกสารรับรองทางกฎหมายอันเป็นที่ปรารถนาได้สำเร็จ เฉินเจียเหอก็ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นไว้ได้ รอยยิ้มบนใบหน้าอันหล่อเหลานั้นกว้างกว่าที่เคยเป็น
หลังเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนแล้ว เขาก็กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่พลางมองหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ ยื่นมือออกไปจับมือเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึกและน่าฟัง “ไปกันเถอะ คุณภรรยาของเฉินเจียเหอ”
คำพูดของเขาทำให้หลินเซี่ยรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก
จากนี้ไป เธอถือเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายของเฉินเจียเหอแล้ว
พวกเขาเป็นคู่รักที่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย
เซี่ยไห่เอนตัวพิงประตูรถ มองเฉินเจียเหอจับมือหลินเซี่ยเดินมาจากระยะไกล ยิ้มร่าราวกับเป็นคนสติฟั่นเฟือน ทันใดนั้นเขาก็อดยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้
เมื่อพวกเขาเข้าเดินมาใกล้ จึงถามออกไปว่า “เป็นไงบ้าง?”
“เรียบร้อยดี”
เฉินเจียเหอโบกเล่มทะเบียนสมรสต่อหน้าเขา “นายอิจฉารึไง?”
เซี่ยไห่กลอกตามองเขา “มีอะไรให้อิจฉาล่ะ? นายรู้ไหมว่ากำลังเอาโซ่ตรวนหนักอึ้งคล้องคอตัวเองจนไม่มีอิสรภาพอยู่น่ะ?”
“คนไม่เคยกินองุ่นก็ว่าองุ่นเปรี้ยวกันทั้งนั้น”
“ไปกันเถอะ”
เซี่ยไห่ไม่รีบเปิดประตู แต่ทันใดนั้นก็เลิกแสดงสีหน้าหยอกล้อเหมือนก่อนหน้า มองหน้าเฉินเจียเหอและสวมกอดเขาทันที “เหล่าเฉิน ยินดีด้วย”
“ขอบใจ”
เซี่ยไห่กลัวว่าตัวเองจะเผลอกอดโดนแผลอีกฝ่าย จึงตบหลังเขาเบา ๆ แล้วปล่อยมือ
การแสดงออกของเขานั้นเป็นความจริงใจที่หาได้ยาก “ฉันดีใจมากที่เห็นว่าในที่สุดนายก็มีความรักสักที เชื่อเลยว่าจากนี้นายจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ การเลี้ยงหู่จือตัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้บัญชาการกองร้อยมองลงมาเห็นนายจากบนฟ้า ถ้าเขาเห็นว่าในที่สุดนายก็มีคนเคียงข้าง เขาคงพอใจไม่น้อยไปกว่าฉันแน่ ๆ”
ทันใดนั้นเซี่ยไห่ก็รู้สึกสะเทือนใจมากจนอยากจะร้องไห้
หลังจากผ่านมาห้าปี ในที่สุดเฉินเจียเหอคนนี้ก็ได้มีชีวิตใหม่
ในที่สุดเขาก็ไม่ใช่พ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ด้านชากับทุกสิ่งอีกต่อไปแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่ไห่จริงๆ แล้วก็น่ารักอยู่นะคะ แม้ว่าจะแปกไปบ้างก็เถอะ
ทีนี้ยิ้มไม่หุบเลยล่ะสิพี่เหอ
ไหหม่า(海馬)