บทที่ 132 การแก้แค้นของวรยา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

อย่างไรก็ตามยังไม่รอให้วารุณีตอบ วรยาก็โมโห เธอมาขวางตรงหน้าวารุณี จ้องสุภัทรด้วยความโมโห“คุณยังมีหน้าเอานัทธีมาเป็นข้ออ้างต่อหน้าฉันอีก?ไม่มีฉัน เธอพิชญาอยากจะเป็นคู่หมั้นของนัทธี ฝันไปเถอะ!”

สุภัทรถูกตะคอกใส่ขอบตาก็กระตุก“วรยา คุณใจเย็นหน่อยได้ไหม?”

“ไม่ได้!”วรยากำหมัดแล้วตอบกลับเสียงดัง“ทำไมฉันต้องใจเย็น นัทธีกำหนดหมั้นกับวารุณีของฉันชัดๆ จู่ๆกลับกลายเป็นพิชญา ตรงนี้ถ้าบอกว่าไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังให้ตายฉันก็ไม่เชื่อ และตอนนี้พวกคุณยังจะให้วารุณีให้อภัยคนที่แย่งคู่หมั้นของเธอไปอีก ชาติหน้าเถอะ!”

พูดจบ เธอก็ประคองวารุณีใหม่อีกครั้ง“วารุณี พวกเราไปกันเถอะ”

วารุณีพยักหน้า

สองคนแม่ลูกไม่สนใจสุภัทรกับขยานีต่อ ออกไปจากโรงพักอย่างโมโห

บนรถที่กลับไปโรงพยาบาล ความโมโหของวรยาก็ยังไม่ได้หายไป กลับกันยิ่งคิดก็ยิ่งรับไม่ได้

เพราะว่าเธอช่วยคุณท่านบรรพต เลยเกิดการหมั้นของวารุณีกับนัทธีสำเร็จ แต่สุดท้าย กลับถูกสองแม่ลูกขยานีแย่งไป

ที่จริงหลายปีมานี้ เธอคิดได้แล้ว และก็ยอมรับความจริงนี้ แต่ตาแก่อย่างสุภัทรมาพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเธอ ในเมื่อพูดถึงขึ้นมา งั้นก็ปล่อยไม่ได้แล้ว

นึกถึงตรงนี้ วรยาก็หรี่ตาลง“แม่ไม่มีทางเอานัทธีไปให้พิชญาฟรีๆแน่”

วารุณีได้ยินคำนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น“แม่ แม่คิดจะทำอะไร?”

วรยาทำเสียงฮึดฮัด“แม่จะให้คนทั้งประเทศ รู้ตัวตนที่แท้จริงของพิชญา”

“แม่จะแฉเธอที่ทำเรื่องพวกนี้เหรอ?”วารุณีอ้าปากเล็กๆกว้างขึ้นอย่างตกใจ

วรยาพยักหน้า“ถูกต้อง”

“แต่ว่าแบบนี้ จะกระทบต่อชื่อเสียงของประธานนัทธีกับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ไชยรัตน์และศรีสุขคําทั้งสองตระกูลนี้แต่งงานเพื่อการเกี่ยวดองกัน อำนาจของตระกูลไชยรัตน์นำตระกูลศรีสุขคําอีกเยอะ พิชญาสามารถทำเรื่องน่ารังเกียจได้อย่างหยิ่งผยองขนาดนี้ จะทำให้คนนอกเดากันได้ว่า เป็นเพราะตระกูลไชยรัตน์หรือประธานนัทธีรู้เห็นเป็นใจแน่”วารุณีกัดริมฝีปาก ไม่ค่อยเห็นด้วย

วรยาพยักหน้าของเธอ“ถึงตอนนี้แล้วลูกยังจะคิดแทนเขาอีก อย่าลืมล่ะ ลูกกับอารัณเหนื่อยกับเขาจนเกือบไม่มีชีวิต เขาก็ต้องชดใช้ให้ลูกสิ ลูกก็ถือว่านี่เป็นสิ่งที่เขาชดใช้กับลูกละกัน”

วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“นี่มันเหมือนกันที่ไหนล่ะคะ”

“ทำไมจะเหมือนกันไม่ได้ล่ะ อีกอย่าง ถ้าเขาไม่อยากให้ตัวเองกับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปได้รับผลกระทบ ก็ตัดขาดกับพิชญาสิ พอแล้ว แม่ตัดสินใจแล้ว ลูกอย่ามาโน้มน้าวแม่เลย”วรยาโบกมือ ไม่ให้โอกาสอธิบาย ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาสื่อแห่งหนึ่ง ต้องการเปิดเผยความชั่วบางอย่างที่พิชญาเคยทำ

เช่นลอกผลงาน กดขี่ความสามารถ ทำร้ายผู้คนเป็นต้น

เชื่อว่าถ้าเรื่องพวกนี้ประกาศออกไป พิชญาจะต้องกลายเป็นคนที่ถูกผู้คนรังเกียจแน่ๆ

วรยาวางสายอย่างเบิกบานใจ

วารุณีเห็นเธอดีใจแบบนี้ ก็ลูบขมับอย่างปวดหัว คิดว่าเดี๋ยวกลับไปที่โรงพยาบาลแล้ว เอาเรื่องนี้บอกนัทธีดีกว่า

ยังไงแม่ทำแบบนี้ ก็จะทำลายชื่อเสียงของนัทธีกับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป

ถ้าหากนัทธีระบายความโกรธมาที่แม่จะทำไง?

ดังนั้นพอถึงโรงพยาบาล วารุณีจึงหาข้ออ้างปลีกตัวจากวรยา โทรหานัทธี

หลังจากลาออก เธอก็ไม่ได้โทรหานัทธีอีกเลย

ตอนนี้โทรไป จู่ๆก็ตื่นตระหนกหน่อยๆ

“ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของนัทธีดังขึ้นมาจากปลายสาย

มือที่วารุณีถือโทรศัพท์ก็กำแน่น“ประธานนัทธี ฉันมีอะไรจะพูดกับคุณค่ะ”

“เรื่องอะไร?”นัทธีนั่งบนเก้าอี้ทำงาน จัดท่าทางเล็กน้อย

ริมฝีปากบางๆของวารุณีขยับ“คือแบบนี้ค่ะ แม่ฉันเธอ……”

เธอเอาเรื่องที่วันนี้ขยานีก่อเรื่อง จากนั้นก็เรื่องที่วรยาโทรหาสื่อ บอกไปทั้งหมด

นัทธีฟังเสร็จ คิ้วก็ขมวดขึ้นมา ความเยือกเย็นทั้งร่างกายก็แพร่ออกมาข้างนอกอย่างมากไม่หยุด

จู่ๆพวกพิชญายังจะกล้าไปสร้างปัญหาให้วารุณีอีก

เมื่อคืนเขาบอกตระกูลศรีสุขคําไปแล้วว่า ถ้าพวกเขาจงใจหาเรื่องวารุณีอีก เขาก็จะยกเลิกการหมั้น ดังนั้นตระกูลศรีสุขคําทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดของเขาเหรอ?

เห็นนัทธีไม่ตอบอยู่นาน วารุณีคิดว่าเขาโกรธวรยาแล้วจริงๆ เลยกำฝ่ามือไว้“ประธานนัทธี ขอโทษจริงๆค่ะ แม่แค่โมโหคนของตระกูลศรีสุขคํามากไป ก็เลย……”

“ไม่เป็นไร”นัทธีพูดเสียงหม่นตัดบทของเธอ

วารุณีตะลึงเล็กน้อย กะพริบตาอย่างตกใจ“ประธานนัทธี คุณไม่โทษฉันเหรอ?”

“ไม่โทษหรอก ผมควรจะขอบคุณคุณป้าด้วยซ้ำ”นัทธีลูบไล้นิ้วมือ

วารุณีไม่เข้าใจเล็กน้อย เอียงหัวหน่อยๆ “ขอบคุณ?”

“อือ คุณป้าให้โอกาสผมยกเลิกงานหมั้น”ริมฝีปากบางๆของนัทธีพูดอย่างแผ่วเบา

วารุณีเบิกตาโต“คุณจะยกเลิกการหมั้นกับพิชญา?”

“ใช่ ผมเหนื่อยแล้ว”เขาบีบคิ้วของตัวเอง

เขาหมั้นกับพิชญา สาเหตุสำคัญที่สุด ก็คือคืนนั้นเมื่อห้าปีก่อน

และห้าปีนี้ พิชญาก็ดื่มด่ำกับผลประโยชน์จากตัวเขามาไม่น้อยแล้ว และตระกูลศรีสุขคําก็ได้กำไรไปแล้วมากมาย เขาตอบแทนพระคุณของเธอไปหมดสิ้นแล้ว

วารุณีได้ยินความเหนื่อยล้าในน้ำเสียงของนัทธี ในใจก็เจ็บปวดหน่อยๆ คิดเล็กน้อยพูดไปว่า“ประธานนัทธี ในเมื่อคุณคิดเรื่องที่จะยกเลิกการหมั้นกับพิชญาแล้ว งั้นฉันก็จะไม่ปิดบังคุณ”

“หือ?”หางคิ้วนัทธีเลิกขึ้นเล็กน้อย

วารุณีสูดลมหายใจลึกๆ“คุณยังจำได้ไหมครั้งแรกที่คืนนั้นพวกเรากินข้าวกับกรรมการตัดสิน ครั้งนั้นฉันเข้าห้องน้ำเสร็จกลับมา สีหน้าดูไม่ค่อยดี คุณยังถามฉันว่าเป็นอะไร”

สายตานัทธีเปล่งประกายเล็กน้อย เงยคางขึ้น“จำได้”

“ที่จริงครั้งนั้น ฉันเห็นพิชญาอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง พวกเขามีความสัมพันธ์เกิดขึ้นจริง และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว”วารุณีลูบแก้ม

ในที่สุดเธอก็บอกความลับนี้ออกมา

พอพูดจบ ตัวเธอก็โล่งอกขึ้นเยอะ

นัทธีเงียบไปครู่หนึ่ง หรี่ตาลงถามด้วยสีหน้าเย็นชา“ทำไมตอนแรกคุณไม่บอกผม?”

วารุณีละสายตาลง“ขอโทษค่ะ ที่จริงฉันอยากจะค่อยๆเตือนคุณ ให้คุณจับได้เอง แต่หาโอกาสไม่ได้มาตลอด ก็เลย……”

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว”นัทธีหลับตาลง ตอนที่ลืมตามาอีกครั้ง ในดวงตาก็มีความเยือกเย็น“ผมวางสายก่อนนะ!”

พูดจบ เขาวางสายแล้วยืนขึ้นมา หยิบเสื้อคลุมพาดไว้ที่แขน ออกไปจากห้องทำงาน

มารุตถือเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจากห้องข้างๆ มองเห็นเขา ก็หยุดฝีเท้าทันที“ประธานครับ คุณจะไปไหน?”

“พิชญาอยู่ห้องคนไข้ห้องไหน?”นัทธีมองมารุต ถามด้วยใบหน้าราบเรียบ

มารุตติดตามเขามาหลายปี มองออกว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี จึงรับบอกเลขห้องของพิชญาออกมา

หลังจากนัทธีตอบอือไป ก็ก้าวเท้ายาวออกไปจากลิฟต์

หนึ่งชั่วโมงถัดมา เขาก็ถึงด้านนอกห้องคนไข้ของพิชญา กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตู ก็ได้ยินเสียงกระจกแตกจากด้านใน

จากนั้น ก็เป็นขยานีปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน“พิชญา ลูกอย่าอาละวาดสิ ของในห้องคนไข้ถูกลูกเขวี้ยงทิ้งหมดแล้วนะ”

“แม่อย่ามาสนฉันนักเลย”พิชญาตอบไปที่ขยานีด้วยใบหน้าน่ากลัว จากนั้นหยิบแก้วใบหนึ่งขึ้นมา“ถ้าไม่ใช่แม่วิ่งไปหาวารุณี ฉันจะถูกรับโทษนอกคุกแล้วแบกรับข้อหาติดคุกไหม?ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะแม่ ไสหัวไป แม่ไสหัวไปเลย ฉันไม่อยากเห็นแม่!”

พูดจบ เธอเอาแก้วโยนใส่หน้าของขยานี

ขยานีตกใจจนหน้าซีดขาว ลืมหลบไปชั่วขณะ ยังดีที่จู่ๆนัทธีก็เปิดประตูเข้ามา ตบแก้วออกไปอย่างรวดเร็ว จึงช่วยขยานีไว้ได้

ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยตอนนี้ขยานีก็จะเสียโฉม

“เกือบไปแล้ว!”ขยานีตบหน้าอกตัวเอง จากนั้นมองนัทธีอย่างรู้สึกขอบคุณ“นัทธี ขอบคุณนะ”

นัทธีไม่สนใจเธอสักนิด ขมวดคิ้วมองดูห้องคนไข้ที่เละเทะเหมือนกับบ้านหมา สายตามีความรังเกียจแวบเข้ามา

ความรังเกียจนี้ถูกพิชญาที่อยู่บนเตียงคนไข้เห็นเข้า ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความอับอาย มือไม้ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เปลี่ยนความสนใจของเขา ถามว่า“นัทธี คุณมาหาฉันเหรอ?”