ตอนที่ 106 เพื่อนของเนี่ยนหนิวเอ้อร์

เมื่อมู่อี้เดินเข้าไปในป่าไผ่สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือยักษ์ตนนั้นที่กำลังนั่งเอนหลังพิงก้อนหินอยู่

เจ้ายักษ์ตนนั้นก็มองมาที่มู่อี้ด้วยเช่นกัน ในตอนที่เขาเห็นดวงตาของมันนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายขึ้นมาทันที ในเวลาเดียวกันร่างกายของมันก็ยืนขึ้นมาอย่างรวดเร็วและมีท่าทีเหมือนสัตว์ร้ายที่พร้อมจะโจมตีได้ตลอดเวลา

“ต้าหนิว อยู่นิ่งๆ” แต่ก่อนที่มันจะได้ทำอะไรนั้น เสียงของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ดังขึ้นมาทันทีและจากนั้นมู่อี้ก็ได้เห็นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ปรากฏขึ้นมาบนไหล่ของยักษ์ตนนั้นและมือเล็กๆของนางก็ตบไปที่ศีรษะของมัน

การกระทำของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ทำให้มู่อี้รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที เขากลัวว่าเจ้ายักษ์ตนนี้จะโกรธและหันไปทำร้ายเนี่ยนหนิวเอ้อร์ขึ้นมา

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็ทำให้มู่อี้ต้องประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ตบศีรษะของมัน เจ้ายักษ์ตนนั้นก็ไม่ได้ดูโกรธขึ้นมาเลยแต่กลับกันมันกลับมาสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่งราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นี่มัน …” สิ่งที่ได้เห็นทำให้มู่อี้ไม่รู้จะพูดเช่นไรดีเพราะมันเกินกว่าจินตนาการของเขาไปแล้ว

เขาไม่รู้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์จัดการกับเจ้ายักษ์ตนนี้ได้ยังไง เด็กสาวตัวเล็กกับยักษ์ตัวมหึมาช่างไม่เข้ากันจริงๆ? ยิ่งตอนที่นางอยู่บนร่างกายของมันก็ยิ่งเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

แล้วมันชื่ออะไรนะ ต้าหนิว? นี่คือชื่อของมันจริงๆหรอหรือว่านางเป็นคนตั้งชื่อให้มันเอง? แต่มู่อี้ก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะวิญญาณเด็กสาวนั้นมีชื่อว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์นางจึงเลือกคำว่า หนิว มาจากชื่อของตนเองมาตั้งชื่อให้กับยักษ์ตนนี้ ด้วยความรู้ที่มีอยู่จำกัดของนางคำที่ใช้ในการตั้งชื่อก็คงมีอยู่จำกัดด้วยเช่นกัน

“พี่ชาย” จากนั้นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็พุ่งเข้ามากอดมู่อี้ทันที ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมาสายเลือดของมู่อี้ก็กลับมาเป็นปกติแล้วดังนั้นมันจึงไม่ได้ทำให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์รู้สึกได้ถึงความกดดันอีกต่อไป

เด็กสาวคนนี้เมื่ออยู่กับเขาแล้วมักจะทำตัวเป็นเด็กขี้อ้อนเสมอ

มู่อี้ก็ย่อมรู้ดีว่าทำไมนางถึงเป็นเช่นนี้และเขาไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแต่อย่างใด เมื่อเห็นว่ายักษ์ตนนี้ไม่ได้ทำร้ายเนี่ยนหนิวเอ้อร์เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

ความจริงแล้วยักษ์ตนนี้รู้สึกเกลียดชังมู่อี้ไม่น้อยเลย ถ้าหากเขาเดาไม่ผิดยักษ์ตนนี้น่าจะถูกควบคุมโดยเงาดำคนนั้นก่อนหน้านี้ เพราะการควบคุมดวงวิญญาณนี้เมื่อมู่อี้ต่อสู้กับเงาดำตนนั้นก็เท่ากับว่าเขาได้ทำร้ายยักษ์ตนนี้ด้วยเช่นกัน

แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเขาเชื่อว่าเงาดำน่าจะปลดปล่อยดวงวิญญาณของยักษ์ตนนี้แล้วไม่อย่างนั้นมันคงไม่ทิ้งยักษ์ตนนี้ให้อยู่ที่นี่อย่างแน่นอน

ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายใดๆอีกแล้วและเจ้ายักษ์ต้าหนิวนี้ก็ดูเชื่อฟังคำสั่งเนี่ยนหนิวเอ้อร์เป็นอย่างดี เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะให้มันอยู่ที่นี่

เพราะไม่ว่ายังไงพลังป้องกันของเจ้ายักษ์ตนนี้ก็ถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง อาจเป็นเพราะสติปัญญาที่มีอยู่อย่างน้อยนิดของมันทำให้มันเลือกที่จะเชื่อฟังคำสั่งของเนี่ยนหนิวเอ้อร์อย่างไม่มีเงื่อนไข

น่าเสียดายที่เขาเกิดผิดเวลาไปหน่อยถ้าหากเขามียักษ์ตนนี้และสวมใส่อาวุธและชุดเกราะให้กับมัน ไม่ว่าศึกสงครามครั้งไหนเขาก็จะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน สนามรบคงกลายเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับเจ้ายักษ์ตนนี้

มู่อี้เชื่อว่าการที่เขาให้มันอยู่ที่นี่จะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะยังไงมู่อี้ก็ไม่อยากที่จะเข้าไปในสนามรบเพียงแค่ตัวคนเดียวอยู่แล้ว

“เจ้ายืนยันได้ไหมว่ามันจะฟังคำสั่งของเจ้าตลอดเวลา?” แต่ถึงอย่างนั้นมู่อี้ก็ยังถามขึ้นมาอย่างจริงจัง เขาไม่อาจเก็บอันตรายที่ใหญ่ขนาดนี้ไว้กับตัวเองได้

“อื้ม ข้าสัญญาได้เลย” เนี่ยนหนิวเอ้อร์พยักหน้าทันทีเมื่อนางได้ยินที่มู่อี้พูด แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของมู่อี้นางก็คิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดต่อไปว่า “พี่ชายข้าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลังจากข้าได้เห็นต้าหนิวข้าก็รู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างยิ่ง ข้าไม่คิดว่าเขาจะทำร้ายข้าและเขาต้องเชื่อฟังข้าแน่นอน”

แม้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะอยู่ในระดับวิญญาณอาฆาตแต่เพราะว่านางครอบครองสติปัญญามาตั้งแต่กำเนิดก็อาจจะมีความสามารถพิเศษอื่นๆที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของนางเองก็เป็นได้ อย่างน้อยมู่อี้ก็เชื่อในสัญชาตญาณของเนี่ยนหนิวเอ้อร์

ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์ให้คำตอบกับเขาได้อย่างจริงจัง เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาและตัดสินใจให้ยักษ์ตัวนี้อยู่ที่นี่ได้

สำหรับชื่อของมันนั้นมู่อี้ตัดสินใจเรียกตามเนี่ยนหนิวเอ้อร์และหลังจากนี้เขาก็จะเรียกมันว่าต้าหนิวด้วยเช่นกัน

เมื่อมู่อี้ลองตรวจสอบอาการบาดเจ็บของยักษ์ตนนี้ เขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าบาดแผลจากยันต์สายฟ้าก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นแผลเป็นไปแล้ว ความเร็วในการฟื้นฟูร่างกายของมันช่างน่าตกตะลึงอย่างยิ่ง ตอนนั้นร่างกายท่อนบนของมันมีรอยไหม้อยู่มากมาย มู่อี้ยังคิดเลยว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่ามันจะหายเป็นปกติ

ในตอนแรกดูเหมือนเจ้ายักษ์จะไม่ค่อยยอมรับในตัวมู่อี้และดูไม่ค่อยพอใจ แต่หลังจากเนี่ยนหนิวเอ้อร์ออกคำสั่งมันก็เชื่อฟังขึ้นมาทันที

อย่างน้อยที่สุดถ้าอยากให้มันเชื่อฟังคำสั่งของมู่อี้เหมือนที่มันเชื่อฟังเนี่ยนหนิวเอ้อร์ เขาก็ต้องพยายามอีกมากในเรื่องนี้

แต่มู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าไม่ว่าเขาจะพยายามใกล้ชิดกับมันมากเท่าไหร่ เขาก็ไม่อาจเทียบได้กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์อย่างแน่นอน

แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมากในเรื่องนี้และรู้สึกยินดีที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้มีเพื่อนใหม่ขนาดมหึมา

ปกติแล้วเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนจิตใจ ซึ่งนั่นอาจทำให้เขาละเลยเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไปบ้าง แต่การมีเจ้ายักษ์ตนนี้เข้ามาอยู่ด้วยอย่างน้อยมันก็ยังเป็นเพื่อนเล่นของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้

ตราบใดที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ชอบ เขาก็ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

ในตอนบ่ายกูเหยาเซินเดินทางขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้พร้อมกับลูกน้องของเขา หลังจากได้พบเจอกับมู่อี้เขาก็รีบขอบคุณมู่อี้ด้วยความรู้สึกผิดทันที ในตอนนี้พื้นที่ด้านหน้าวัดนั้นกลับมาเป็นปกติอีกครั้งและไม่มีร่องรอยของการต่อสู้หลงเหลืออยู่อีกแล้ว แต่กูเหยาเซินนั้นก็ทราบดีว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงมากแค่ไหนแม้แต่มู่อี้ที่เป็นเหมือนเทพเจ้าในใจของเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บจนหมดสติไปหลายวัน

เมื่อลัทธิเทพธิดาพันบุตรคุกคามเขาก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าศัตรูนั้นทรงพลังมากเพียงใดและแม้แต่คนในตระกูลของเขาก็บอกให้เขาทิ้งภรรยาคนนี้ไปซะเพื่อรักษาชีวิตของตนเอง

เมื่อได้ยินเช่นนั้นกูเหยาเซินรู้สึกโกรธมากแต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรลัทธิเทพธิดาพันบุตรได้ ความหวังเดียวของเขาคือมู่อี้เท่านั้นและเขาได้แต่หวังว่าภรรยาของตนเองจะปลอดภัยแม้ว่าตัวเขาจะต้องตายก็ตาม

หลังจากนั้นสิ่งต่างๆก็เริ่มพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ลัทธิเทพธิดาพันบุตรส่งคนออกไปตามหามู่อี้และแม้แต่ผู้พิทักษ์ของลัทธิก็ยังลงมือด้วยตนเอง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของเรื่องนี้นั้นเป็นอย่างไรแต่การยอมถอยกลับไปของลัทธิเทพธิดาพันบุตรก็ได้อธิบายเรื่องทุกอย่างแล้ว. .

ก่อนหน้าที่เขาจะขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้เขาก็รู้สึกพอใจอย่างยิ่งที่ได้รู้ว่าปัญหาทุกอย่างได้จบลงไปแล้ว

ในตอนนี้กูเหยาเซินรู้สึกโล่งใจขึ้นมาจริงๆ ความศรัทธาที่เขามีต่อมู่อี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะครั้งนี้มู่อี้สามารถช่วยเหลือครอบครัวของเขาเอาไว้ได้

คำขอบคุณของกูเหยาเซินนั้นมู่อี้ย่อมรับมาด้วยความเต็มใจ เพราะในตอนนี้เขาสามารถยกระดับเข้าสู่ความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจได้สำเร็จแล้วและมันถึงเวลาที่เขาต้องออกเดินทางจากภูเขาฟุเนียวแห่งนี้แล้วแม้แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน

แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่เขามีต่อตระกูลซู มู่อี้จึงได้บอกกล่าวเรื่องนี้ออกไป เขาเชื่อว่ากูเหยาเซินย่อมฉลาดมากพอที่จะเข้าใจคำพูดของเขาได้ ดังนั้นเขาหวังว่าช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ที่นี่นั้นปัญหาที่เกิดขึ้นกับตระกูลซูจะลดน้อยลงไปได้มากที่สุด