ตอนที่ 107 ถึงเวลาออกเดินทาง

ต่อจากนั้นมู่อี้ก็ไม่ได้เร่งรีบมากนักแม้ว่าเขาจะกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะออกเดินทางตามหาสิ่งที่ท่านปู่ทิ้งเอาไว้ แต่ถ้าหากเขาเร่งรีบจนเกินไปมันจะเป็นการกดดันตัวเองเสียเปล่าๆ

คู่หูลุงหลานตระกูลเซี่ยได้เดินทางไปยังเมืองฉางโจวแล้วและในตอนนี้พวกเขาก็น่าจะกำลังอยู่ระหว่างทาง เพราะการเดินทางครั้งนี้มีระยะทางที่ไกลมากไม่มีทางที่พวกเขาจะไปถึงในเวลาที่รวดเร็ว

สำหรับเซี่ยเจิ้งและเซี่ยเหมี่ยวมู่อี้เชื่อมั่นในตัวพวกเขามาก แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะไม่ได้มากนักแต่พวกเขาน่าจะตามหาตัวหลี่เฉียจื่อเจอแน่นอนและมู่อี้ก็มั่นใจในความสามารถด้านการตรวจสอบและแกะรอยของพวกเขา

ตราบใดที่เจี่ยเหรินไม่ได้โกหกเขา เขาคิดว่าตนเองจะได้รับข่าวดีในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน ถ้าหากเรื่องนี้มีความก้าวหน้าไปบ้างก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเขาไม่อยากรู้สึกย่ำอยู่กับที่เหมือนกับการพายเรือในอ่าง

และก่อนจะไปที่เมืองฉางโจวนั้น มู่อี้ตัดสินใจไปที่ชวี่ยี่จวงหรือพื้นที่สุสานของตระกูลชวี่ก่อนเพราะจากที่เจี่ยเหรินเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าศัตรูคู่แค้นของหลี่เฉียจื่อจะเป็นเจ้าของชวี่ยี่จวงแห่งนี้และเขายังเป็นคนที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งอีกด้วย ก่อนจะไปพบหน้ากับผู้ทรงอิทธิพลที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยเขาจะต้องเตรียมตัวให้ดี

อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องส่งสายสืบ 2-3 คนไปตรวจสอบการเคลื่อนไหวของชวี่ยี่จวงเสียก่อน ถ้าหากหลี่เฉียจื่อกลับไปแก้แค้นที่นั่น แม้ว่ามู่อี้จะยังไปไม่ถึงที่นั่นแต่เขาก็ต้องการทราบการเคลื่อนไหวต่างๆโดยเร็วที่สุด

สำหรับเมืองฉางโจว มู่อี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเซี่ยเจิ้งและเซี่ยเหมี่ยวไปก่อน ทั้งสองคนนี้ย่อมเป็นคนที่เขาเชื่อใจได้แน่นอน หลังจากเสร็จเรื่องราวที่ชวี่ยี่จวงแล้วเขาจะตรงไปที่เมืองฉางโจวทันที เขาเชื่อว่าเมื่อไปถึงที่นั่นเซี่ยเจิ้งและเซี่ยเหมี่ยวจะต้องมีข่าวดีให้กับเขาอย่างแน่นอน

มู่อี้หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้และถ้าหากว่าเขาสามารถหาตัวหลี่เฉียจื่อได้พบก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำไมเขาไม่รีบออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้นั่นก็เพราะว่าเขาเพิ่งจะยกระดับเข้าสู่ความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจ เขายังต้องการเวลาเพื่อฝึกควบคุมพลังของตนเองให้ชำนาญ นี่ไม่ใช่เพราะว่ามู่อี้เห็นแก่ตัวแต่การเดินทางไกลครั้งนี้ย่อมมีอันตรายมากมายแน่นอนและชีวิตของเขาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ถ้าหากมู่อี้ไม่ทำเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะได้พบกับสิ่งที่ท่านปู่ทิ้งเอาไว้แต่เขาก็อาจจะใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้เลย

ในตอนนี้มู่อี้เริ่มคาดเดาได้แล้วว่าตอนที่เขายกระดับขึ้นมานั้นเสียงในหัวของเขามันเกิดจากตะเกียงทองแดงที่อยู่ในมือของเขาแต่ไม่รู้ว่าท่านปู่ทำอะไรไปกับตะเกียงทองแดงนี้ เพราะก่อนหน้านี้มันปกติดีทุกอย่างแต่เมื่อเขายกระดับขึ้นมานั้นตะเกียงทองแดงก็เริ่มส่งเสียงเข้ามาในหัวของเขาทันที

ด้วยเหตุนี้มู่อี้จึงรู้สึกสนใจตะเกียงทองแดงของเขามากยิ่งขึ้น เขาอยากรู้ความลับของมันให้มากกว่านี้

ในอดีตมู่อี้คิดว่าตะเกียงทองแดงนี้เป็นแค่ของใช้ธรรมดาๆเท่านั้น แต่ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองคิดผิดไปมาก

เมื่อมู่อี้ยกระดับขึ้นมาได้สำเร็จพลังแห่งจิตใจของเขาก็เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 6 เท่าแต่เขาก็ยังไม่สามารถตรวจสอบตะเกียงทองแดงนี้ได้อย่างชัดเจนและทำได้เพียงส่งพลังแห่งจิตใจเข้าไปเหมือนกับก่อนหน้านี้เท่านั้น จิตใจของเขาค่อยๆเชื่อมต่อเข้ากับตะเกียงทองแดงช้าๆ

ด้วยเหตุนี้มู่อี้จึงตัดสินใจขอธงราชันย์แห่งวิญญาณที่ชำรุดคืนจากเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก่อนและเมื่อเทียบกับไม้เท้าที่เขายึดมาได้จากผู้พิทักษ์วิญญาณในตอนนั้น มู่อี้รู้สึกได้ว่าตะเกียงทองแดงของเขาทรงพลังกว่าทั้งสองอย่างนี้มากและอาวุธวิญญาณทั้งสองอย่างนั้นก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

แม้ว่าทั้งสองอย่างจะเป็นอาวุธวิญญาณขั้นแรกเริ่มเหมือนกัน แต่มู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าแม้ว่ามันจะยกระดับขึ้นมาก็ยังเทียบกับตะเกียงทองแดงของเขาไม่ได้

นอกเหนือจากการฝึกฝนพลังแห่งจิตใจของตนเองและการตรวจสอบตะเกียงทองแดงแล้วเวลาที่เหลือส่วนใหญ่ของมู่อี้ก็ใช้ไปกับการฝึกฝนวิชาหมัดของเขา เขาคิดว่าวิชาหมัดนี้อย่างน้อยก็ยังเป็นประโยชน์กับตนเองบ้าง

ความจริงแล้วในตอนที่เขายังอยู่ที่ความยากระดับที่ 1 ของการฝึกฝนจิตใจนั้น มู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าเคล็ดวิชาหมัดที่เขาฝึกฝนอยู่นั้นย่อมไม่ใช่วิชาหมัดธรรมดาอย่างแน่นอน เหตุผลที่เขาสามารถยกระดับขึ้นมาได้นั้นเคล็ดวิชาหมัดก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกันและเขายังรู้อีกว่าที่ท่านปู่ให้เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดก็เพื่อทำให้พื้นฐานร่างกายของเขาดียิ่งขึ้น

หลังจากยกระดับขึ้นมาแล้วมู่อี้ก็รู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของเคล็ดวิชาหมัดนี้มากยิ่งขึ้น ในตอนที่เขาฝึกฝนวิชาหมัดในทุกๆเช้านั้น เขารู้สึกได้ว่าตำแหน่งจักระในร่างกายของเขาก็มีการเคลื่อนไหวไปด้วยเช่นกัน ร่างกายของเขากำลังดูดซับพลังอันบริสุทธิ์จากโลกใบนี้

มู่อี้ไม่รู้ว่าผู้คนในสมัยโบราณนั้นบ่มเพาะพลังปราณในตำแหน่งจักระภายในร่างกายได้อย่างไรแต่น่าจะเป็นการดูดซับพลังอันบริสุทธิ์จากโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน

พลังปราณที่เขาดูดซับเข้าไปนั้นไม่ได้มาจากสวรรค์และโลกแต่มาจากดวงอาทิตย์และพระจันทร์

แม้ว่าพลังปราณที่ดูดซับมาได้นั้นจะเพิ่มขึ้นเพียงน้อยนิดในแต่ละครั้งแต่ถ้าหากสะสมไปทุกๆวันมู่อี้เชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อร่างกายของเขาแน่นอน

และท่วงท่าในเคล็ดวิชาหมัดที่เขาฝึกฝนนั้นมู่อี้ก็ร่ายรำจนคุ้นเคยในทุกๆวัน

เรื่องสุดท้ายนั้นคือการเขียนยันต์ เพราะพลังครึ่งหนึ่งของมู่อี้นั้นขึ้นอยู่กับยันต์ที่เขามี ก่อนหน้านี้แม้ว่ายันต์ปราบปีศาจของเขาจะได้ผลกับศัตรูเป็นอย่างดีแต่ถ้าหากเจอศัตรูที่เหนือกว่ายันต์ปราบปีศาจจะไร้ค่าไปในทันที ยกตัวอย่างเช่นเงาดำตนนั้นที่เป็นศัตรูตัวล่าสุดของเขา

แต่ด้วยการยกระดับขึ้นในครั้งนี้มู่อี้รู้สึกได้ว่ายันต์ปราบปีศาจที่เขาเขียนนั้นทรงพลังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มู่อี้ได้ทดลองดูแล้วแม้ว่ามันจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับการที่เขาใส่พลังแห่งจิตใจเข้าไปมากขึ้น แต่อย่างน้อยพลังของยันต์เพียงอย่างเดียวนั้นก็เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า . .

ในตอนนี้มู่อี้ยังไม่สามารถควบคุมพลังแห่งจิตใจของเขาได้อย่างสมบูรณ์ เขาเชื่อว่าถ้าหากเขาสามารถควบคุมพลังแห่งจิตใจของตนเองได้แล้วไม่ว่ายันต์ปราบปีศาจหรือยันต์สะกดวิญญาณ พลังของพวกมันจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน

แม้ว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับชิวเยวี่ยถงอีกครั้งในอนาคต นางจะไม่มีทางทำให้เขาบาดเจ็บได้เลย

ส่วนยันต์สายฟ้านั้น หลังจากที่มู่อี้ได้ยกระดับขึ้นมาเขาก็รู้สึกได้ว่าอัตราความสำเร็จในการวาดยันต์สายฟ้านั้นเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ยังห่างไกลกันมากถ้าหากเทียบกับความสำเร็จของการวาดยันต์ปราบปีศาจ พลังของยันต์สายฟ้านั้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าด้วยเช่นกัน เมื่อใช้งานยันต์สายฟ้าออกไปแล้วสายฟ้าที่ผ่าลงมานั้นก็ทรงพลังยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่เขาก็ยังไม่สามารถเก็บยันต์สายฟ้าเอาไว้กับตัวเกิน 5 แผ่นได้ แม้ว่าจะรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อยแต่มู่อี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก สำหรับเขาแล้วยันต์สายฟ้า 5 แผ่นก็ถือว่ามากเกินพอ

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆและมู่อี้ก็คงฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งบนภูเขาแห่งนี้ เขาสามารถควบคุมพลังทั่วร่างกายของตนเองได้อย่างชำนาญ ซึ่งทำให้มู่อี้รู้สึกมั่นใจขึ้นมาก

แต่มู่อี้ก็รู้ว่าถึงเวลาที่เขาต้องออกเดินทางแล้ว

ตอนนี้ผ่านมากว่าหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่พลังของเขาได้ยกระดับขึ้นมาและอากาศอบอุ่นขึ้นมาแล้วแต่จิตใจของมู่อี้กลับรู้สึกได้ถึงความเร่าร้อน

การเสียเวลาไปถึงหนึ่งเดือนนั้นถือว่าเป็นขีดจำกัดสำหรับเขาแล้ว

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้นยังมีปัญหาอีกเรื่องหนึ่งที่รบกวนจิตใจของมู่อี้ นั่นคือเรื่องอาหารของต้าหนิว แม้ว่าต้าหนิวจะไม่เคยเลือกกินแต่มันก็กินอาหารจำนวนมหาศาล ในตอนนี้มู่อี้ไม่มีอาหารสำรองหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

เจ้าต้าหนิวนั้นทานอาหารประมาณ 6 เท่าของคนปกติ โชคดีที่พื้นที่แห่งนี้คือภูเขา ถ้าหากอาหาร 1 หม้อไม่ เพียงพอเช่นนั้นก็เพิ่มเป็น 2 หม้อ แต่ในตอนที่เขาออกเดินทางไปนั้นการกินและการนอนย่อมแตกต่างจากตอนนี้อย่างแน่นอน ถ้าหากมีแค่เขาคนเดียวเรื่องอาหารคงไม่มีปัญหาแต่ในตอนนี้กลับมีต้าหนิวเพิ่มขึ้นมาด้วย …

มู่อี้อดคิดไม่ได้ว่าการที่เขายอมให้ต้าหนิวอยู่ที่นี่ด้วยนั้นคือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่

แต่ทุกๆครั้งที่เขาได้เห็นเนี่ยนหนิวเอ้อร์เล่นกับต้าหนิวอย่างมีความสุขนั้น ความกังวลใจของมู่อี้ก็หายไปทันที ตราบใดที่เด็กสาวมีความสุขเขาก็ย่อมมีความสุขด้วยเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าต้าหนิวจะกินเยอะแต่มันก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อยร่างกายของมันก็เต็มไปด้วยพละกำลัง ช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมานี้ดูเหมือนมันจะเริ่มคุ้นเคยกับมู่อี้บ้างแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของเขาเหมือนคำพูดของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มองมู่อี้เป็นศัตรูอีกต่อไป มู่อี้คิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับการที่เขาทำอาหารให้มันกินในทุกๆวันแน่นอน

หลังจากสังเกตอยู่หลายครั้งมู่อี้ก็พบว่า แม้ว่าต้าหนิวจะมีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตและพละกำลังอันมหาศาลแต่สติปัญญาของมันก็เทียบได้กับเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้นมู่อี้ไม่เคยได้ยินมันพูดออกมาเลย

ทุกๆครั้งที่คิดเรื่องนี้มู่อี้ก็จะคิดในใจอยู่เสมอว่ามันคงมองเขาเป็นแค่คนให้อาหารคนหนึ่งเท่านั้น