บทที่ 129 เอะอะโวยวาย
บทที่ 129 เอะอะโวยวาย

ความคิดไอ้หมาหวังคือคนต่อยเดินไปไกลแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดที่เขาจะต้องกลัวอีกต่อไป

แล้วหัวหน้าหลี่จะสามารถจะคืนอาหารให้พวกเขาได้อย่างไร?

หากคืนให้พวกเขาแล้วจริง ๆ คงไม่ทำให้คนบ้านหลักตระกูลซูเคืองใจหรอกหรือ?

ตอนนี้ต้องรักษาความสัมพันธ์ของตัวเองกับบ้านหลักตระกูลเอาไว้ ตัดสินใจไม่ทำลายความสัมพันธ์กับทางหงซิน โดยเฉพาะคนบ้านซูเพียงเพราะพวกบ้านหวัง

ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวมีความสัมพันธ์กับคนในอำเภอแล้ว!

“นี่ไม่ใช่อาหารของครอบครัวคุณแล้วหวังเจี่ยฟ่าง ระวังสิ่งที่คุณพูดด้วย” หัวหน้าหลี่จงใจใช้น้ำเสียงตำหนิ

ยายหวังตระหนักได้แล้วว่าตอนที่หยิบอาหารออกมา หัวใจเจ็บปวดราวกับโดนทิ่มแทง

ยากมากที่เทพแห่งโรคระบาดจะไม่ได้เอาอาหารไป ตอนนี้เลยคิดจะเอาของ ๆ บ้านเรากลับคืนไป

อาหารถุงหนึ่งกินกันได้ทั้งครอบครัว แล้วก็กินได้หลายวันด้วย!

เดิมทีมันเป็นอาหารของบ้านเรา หากจะเอาคืนมาก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

“หัวหน้าหลี่ ทำไมคุณพูดแบบนั้นล่ะ?”

“ทำไม? ฉันพูดอะไรผิดหรือ?” หัวหน้าหลี่พูดด้วยใบหน้าเย็นชา

เขาว่าเขาก็พูดดีแล้วนะ สองคนนี้คิดจะข่มเหงเขาหรือไง?

“นี่คืออาหารบ้านหวังนะ คนมองกันตั้งเยอะตั้งแยะจะมาโลภมากไม่ได้นะ!”

ยายหวังจ้องมองหัวหน้าหลี่อย่างไม่เชื่อสายตา เธอพยายามอย่างเต็มที่ให้จริงใจที่สุด แต่ดันไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำมันเสแสร้งเพียงใด

กัปตันหลี่อยากจะพ่นน้ำลายใส่หญิงชราตรงหน้าเสียเหลือเกิน ทำไมพูดจาไร้ความผิดชอบและใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้?

สมาชิกที่อยู่ข้าง ๆ ทนดูไม่ไหวจึงเอ่ยปาก “ยายหวัง งั้นแล้วเมื่อกี้ทำไมคุณไม่พูดเล่า? รอคนเขาไปก็เลยไม่ขี้ขลาดขึ้นมาหรือ?”

ยายหวังที่ท่าทางดูใจกว้างตอบ “พวกเธอกำลังพูดอะไรกัน? คนบ้านซูมันไร้เหตุผล พวกเธอไม่รู้หรือไง?”

หลังจากพูดจบก็รู้สึกว่ามันยังไม่มีพลังมากพอ จึงกล่าวอีกว่า “ไม่อย่างนั้นตอนแรกที่พวกเราไปขอความช่วยเหลือ ทำไมพวกหงซินไม่ส่งคนมาช่วยล่ะ? ก็เพราะว่าพวกเขาไม่มีมโนธรรมอย่างไรเล่า!”

ยายหวังรู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดอาจทำให้สมาชิกคนอื่น ๆ เกลียดชังพวกบ้านซูเหมือนกับพวกเธอ

แต่เธอกลับไม่รู้จักคนในชุมชนเอาเสียเลย เพราะคนส่วนใหญ่ตำหนิพวกบ้านหวังที่ทำให้พวกหงซินไม่เต็มใจช่วยเซี่ยงหยางของพวกเราต่างหาก

ถ้าไม่เอ่ยถึงก็แค่นั้น แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายหยิบขึ้นมาพูดด้วยตัวเองเสียได้

หาเหาใส่หัวเข้าเสียแล้ว ฝูงชนที่เดิมทีกะดูเอาสนุกพลันโกรธขึ้นมากับคำพูดของเธอ “ทำไมคนหงซินไม่ช่วยพวกเรา เป็นคนอื่นคงไม่รู้ แต่แกที่เป็นคนทำผิดดันไม่รู้เนี่ยนะ?”

“มันเป็นเพราะยายหวังไร้ยางอายแบบแกไง ถ้าเธอไม่เอาแต่ทารุณซูหม่านซิ่วมาโดยตลอด คนเขาจะไม่พอใจแกขนาดนี้หรือ?”

“ถ้าซูหม่านซิ่วไม่ดีถึงขนาดนั้น เธอจะทารุณหล่อนพวกเราก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่หญิงคนนั้นดีขนาดนี้ กลับโดนเธอใส่ร้ายเสีย ๆ หายๆ จนกลายเป็นแบบนี้อย่างไรเล่า”

“ทำไมพวกเธอยังพูดอย่างไม่รักษาจรรยาบรรณของสตรีเพศแบบนั้นด้วย” ยายหวังถามด้วยความประหลาดใจ

ครั้งนี้แปลกใจมากกว่าเดิม ทำไมมันถึงต่างจากสิ่งที่ตนเองคิดไว้ล่ะ?

“ลองดูสิ หม่านซิ่วก็จากบ้านนี้ไปตั้งนานแล้ว ชีวิตบ้านหวังมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม? ตระกูลหวังมันก็ตัวหายนะกันทั้งหมด! ฉันคิดว่าตระกูลผู้เฒ่าหวังของแกสมควรแล้วที่ยังอุตส่าห์เดินมาไกลถึงขนาดนี้!”

“ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่เลย สมควรแล้วที่ไม่ได้กินข้าว สมควรแล้วด้วยที่ไอ้หมาหวังตอนนี้มันกลายเป็นชายชู้เลี้ยงลูกให้คนอื่น!”

“ยายหวัง ถ้าไม่พูดเรื่องนี้แต่แรกเรื่องก็จบแล้ว แต่คุณดันพูดขึ้นมา อดใจใช้ขวานสับคุณไม่ได้เลย!”

……

ยายหวังไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกกลุ่มคนโจมตีเพียงเพราะประโยคเมื่อครู่!

แต่ยายหวังเป็นคนอย่างไรล่ะ?

เธอเป็นคนไม่มีหนังหน้า ไม่มีความอาย ไม่มีความละอาย ไม่มียางอายสักนิด

“เจ้าข้าเอ้ย ทำไมคนเซี่ยงหยางมันถึงไร้ประโยชน์แบบนี้ คนในชุมชนตัวเองถูกรังแกแท้ ๆ ไม่ช่วยก็คงไม่เท่าไร แต่ดันไปช่วยคนอื่นมารังแกบ้านหวังเราอีก คงไม่ได้เห็นว่าบ้านหวังเป็นครอบครัวอิสระไม่มีใครให้พึ่งพาใช่ไหม? ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ฉันเป็นแม่ม่ายไร้การงานมาตั้งหลายปี ยังถูกคนรังแกแบบนี้อีก ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว!”

ยายหวังทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ทั้งร้องไห้ทั้งสาปแช่ง แสร้งร้องไห้สร้างปัญหา

ยายหวังเป็นเหมือนคนหัวรั้นของชุมชนการผลิตเซี่ยงหยาง คนส่วนใหญ่จึงคุ้นกับนิสัยเธอดี เช่นนั้นคนจึงไม่ได้ให้ความสนใจเธอมากนัก เอะอะโวยวายไปเถอะ พวกเขาไม่สนใจก็จบแล้ว!

หัวหน้าหลี่บุ้ยปาก หมุนกายกลับหมายจะเดินไปพร้อมกับถุงอาหาร

“เหล่าซื่อ เหล่าอู่เอ้ย เอาอาหารพวกนี้ไปแจกจ่ายให้บ้านเต๋อเสิ้ง เต๋อช่าง กับบ้านหกของผู้เฒ่าซ่งหน่อย” หัวหน้าหลี่ตะโกนเสียงดัง

พอยายหวังได้ยินก็ไม่ใส่ใจจะสร้างปัญหาต่อไป ถ้าอาหารถูกแจกจ่ายให้บ้านอื่นจริง คงจบสิ้นแล้ว

เธอคลานตะเกียกตะกายเข้าข้างเท้าหัวหน้าหลี่ จับขากางเกงเขาเอาไว้ ให้ตายก็จะไม่ปล่อยเด็ดขาด แต่น่าจะตื่นเต้นจึงไม่ได้พูดอะไร

“ยายหวัง ลูกชายคุณเป็นพวกรองเท้าขาด นี่ยังคิดจะปีนขึ้นเตียงเตาบ้านคนอื่นเขาอีกหรือ?”ใครบางคนพูดจาปากไม่มีหูรูดไม่น่าฟัง

“เฟ่ยอวี้หมิง แกกำลังพูดอะไร?” ยายหวังจ้องมองอย่างเดือดดาล แต่ไม่มีใครหวั่นเกรง

“ไม่ได้คิดจะปีนเตียงเตาบ้านใคร แล้วแกทำอะไรกับกางเกงหัวหน้า?” เฟ่ยอวี้หมิงกับยายหวังไม่ลงรอยกันมาหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้จึงตัดสินใจซ้ำเติมเข้าไปอีก!

ยายหวังหันกลับไป ไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเฟ่ยอวี้หมิง

“หัวหน้าหลี่ คุณจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ไม่ได้นะ นี่เป็นอาหารบ้านเรา ทำไมต้องเอาไปแจกจ่ายให้บ้านอื่นด้วย? เอาไปให้เขาแล้วเราจะกินอะไรล่ะ?” ยายหวังครวญครางเจ็บปวดใจ

“ทุกคนในชุมชนก็เห็นหมดแล้ว นี่คืออาหารบ้านซู ก่อนหน้านี้พวกเขาก็บอกแล้วนี่ว่าให้เอาไปแจกจ่ายบ้านที่ยากจนในชุมชนเรา นี่คือความใจดีของบ้านหลักตระกูลซู ฉันคิดว่าไม่มีใครไม่รู้ที่บ้านไหนในชุมชนเรายากจกหรอก!”

สำหรับคนบ้านนี้ หัวหน้าหลี่มีทางเลือกให้ ยายหวังเป็นคนไม่มีเหตุผล คนที่บ้านเลยยิ่งไม่มีเหตุผล ต่อให้เอาอาหารไปแจก พวกเขาก็ไม่เสียเปรียบอยู่ดี

“ใช่แล้วครับหัวหน้า พวกเราทุกคนรู้ว่ามีสามบ้านที่ยากจน” มีคนเห็นด้วยทันที

ถึงอาหารพวกนี้ไม่ได้ตกไปอยู่ในชามข้าวตัวเอง แต่ก็มีความสุขที่มันไม่ได้ตกไปในชามของบ้านหวัง

ยายหวังคิดจะสร้างเรื่องวุ่นวายต่อ แต่โดนหญิงร่างหนาหลายคนลากออกไปด้านข้าง

“ออกไปยืนข้าง ๆ อย่างเชื่อฟังซะ ถ้าจับกางเกงหัวหน้าแบบนี้จะถือเป็นการลวนลามนะ พวกเราควรพาหล่อนไปเดินประจานด้วย นังคนชั่ว!” ผู้หญิงคนหนึ่งสาปแช่ง

หัวหน้าหลี่ไม่ได้เอะอะให้อับอาย ถือโอกาสตอนที่ยายหวังไม่ทันได้โวยวายรับอาหารแล้วเดินไป

พอเห็นหัวหน้าเดินออกไป คนที่คอยช่วยก็ตามออกไปด้วย

หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ออกไปกันหมด

ทิ้งสองแม่ลูกไว้ข้างหลัง พอเห็นร่างคนเหล่านี้เดินออกไปก็ร้องไห้อย่างน่าสมเพช