บทที่ 130 หลานรักฉันบอกไว้

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 130 หลานรักฉันบอกไว้
บทที่ 130 หลานรักฉันบอกไว้

ยายหวังร้องไห้ไปด้วยและตะโกนไปด้วยว่าลูกชายหลานชายคงตายกันหมดแล้ว ไม่ออกมาดูแม่เฒ่าถูกข่มเหงด้วยตัวเองเลย

แต่ต้องบอกว่าพวกลูกชายหลานชายโดนขังอยู่ในบ้านต่างหาก

ลูกสะใภ้สองคนนั้นที่เคยหัวอ่อนก็แข็งข้อขึ้นมาแล้ว เตือนสามีตัวว่าถ้าออกไปช่วยก็จะหย่า

กลับกันแล้วพวกสะใภ้ที่หย่าไปก็ยังหาคนดี ๆ แต่งงานใหม่ได้ ถึงจะเคยหย่าแต่ไม่กล้าคนหัวเราะเยาะ

แต่หวังเหล่าต้ากับหวังเหล่าซานกลับหวาดกลัว พอคิดถึงข้อดีแล้ว ในสายตาพวกเขา เรื่องนี้ไม่เห็นจะเป็นเรื่องดีเลย

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหย่ากันหลังจากนี้ก็น่าสงสารเหมือนไอ้หมาหวังแน่นอน

ถึงจะอยากช่วยแม่เฒ่า แต่มันก็จางหายไปเมื่อเผชิญกับความจริงเบื้องหน้า

ในตอนนี้มารดากำลังร้องไห้อย่างน่าสังเวช ส่วนเรื่องน่าสังเวชของพวกเขาสองคนยังมาไม่ถึง

ในคืนนั้น พี่ชายกับน้องชายต่างขอแยกบ้านกับไอ้หมาหวัง แล้วยังบอกว่าไอ้หมาหวังคือตัวล้างผลาญ ชีวิตแต่ละวันจึงพานยากลำบากไปด้วย

สิ่งที่ลูกชายทั้งสองพูด ยายหวังไม่เห็นด้วย เพราะตนเองทนไม่ได้ที่จะต้องแยกกับลูกคนรอง หลังจากนั้นก็จะไปอยู่กับเหล่าเอ้อร์

แน่นอนว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในภายหลัง ตอนนี้ขอไม่พูดถึงแล้วกัน

ตอนนี้คุณย่าซูมาถึงอำเภอแล้ว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นฉากพลุกพล่านในเมือง ถึงกระทั่งพูดว่าอยากใช้ชีวิตที่นี่ดีกว่าอะไรแบบนี้

“คุณย่าซูครับ ถ้าย่าคิดว่าในเมืองดีก็พักอยู่อีกสักระยะก็ได้นะครับ” คนขับอย่างเสี่ยวจูกล่าวเคล้ารอยยิ้ม

อย่างไรเสีย ไม่ใช่ว่าบ้านหัวหน้าเฉินไม่มีที่ให้พักหรอกนะ แต่ดูเหมือนว่าหัวหน้าจะเคารพนับถือบ้านซูมาก เขาคงไม่ติดขัดหากจะให้คุณย่าซูมาพักสักระยะ

“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ฉันเป็นชาวนาก็ควรกินข้าวในนาสิ นาน ๆ มาอำเภอทั้งทีให้อยู่ที่นี่ทุกวัน คิดว่าฉันไม่ทรมานตายหรือไง” คุณย่าซูพูดพร้อมโบกมือซ้ำ ๆ

ถึงในเมืองจะดี แต่อยู่บ้านเมืองเจริญ ๆ แบบนี้ไม่เท่าบ้านจน ๆ ของตัวเองหรอก!

“คุณย่า รออีกไม่กี่ปีหนูก็จะโตขึ้นแล้วซื้อบ้านในอำเภอให้นะคะ ย่าจะได้อยู่ในเมืองอย่างมีความสุข!” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างร่าเริง

ที่เธอพูดนั่นเป็นความจริงนะ ผ่านไปอีกสองสามปีบ้านเชิงพาณิชย์จะสามารถซื้อขายได้ พอถึงตอนนั้น การซื้อบ้านในเมืองไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก

เธอยังคิดว่าถ้าในอนาคตทำเงินได้ ไม่ใช่ซื้อบ้านแค่ในอำเภอด้วยซ้ำ แต่จะซื้อในเมืองหลวงด้วยเลย

พอถึงตอนที่พาครอบครัวมาอำเภอก็จะทำอะไรได้สะดวกมากขึ้น หาข้าวกินได้ง่ายกว่าชนบทอีก

แต่ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูดในตอนนี้

คนขับอย่างเสี่ยวจูไม่เชื่อ

คุณย่าซูยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่

เสี่ยวจูเป็นคนใจดี แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เด็กหญิงพูดก็ตาม แต่ก็ยังไหลไปตามน้ำเพื่อให้เธอมีความสุข

“คุณย่า โชคดีรอท่านอยู่ด้านหลังนู่นล่ะ สาวน้อยกตัญญูต่อท่านมากเลยนะ!”

ปากที่ยิ้มอย่างพอใจของหญิงชราแทบยกถึงหู

“เธอพูดถูก ฉันมีลูกชายหลานชายหลายคนแต่คนที่กตัญญูที่สุดดันเป็นหลานสาวของฉัน”

คำพูดจริงใจเสียจนชั่วขณะหนึ่งเสี่ยวจูคิดว่าคุณย่าพูดความจริง

แต่หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกพูดไม่ออกอีกครั้ง

แค่เด็กน้อยประสบกาณ์อายุเจ็ดแปดปีเท่านั้น แถมยังเป็นผู้หญิงด้วย ทำอย่างไรถึงได้กตัญญูที่สุดนะ?

เขามองกลับไปที่คุณย่าซูอย่างเงียบ ๆ แววตาเหมือนกำลังพูดว่า ‘แม่เฒ่า ถ้าลูกหลานได้ยินไม่หนาวสั่นแย่แล้วหรือ?’

แต่เสี่ยวจูไม่รู้ว่า หากบ้านซูได้ยินประโยคนี้ก็จะพยักหน้าเห็นด้วย แม้กระทั่งบอกว่าเสี่ยวเถียนเป็นเด็กกตัญญูที่สุดอีกต่างหาก

“ไอ๊หยา ที่นี่ไม่เหมือนตอนที่ฉันมาครั้งก่อนเลย เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นาน ทำไมเปลี่ยนไปมากขนาดนี้” จู่ ๆ คุณย่าซูก็เห็นบางอย่างจึงถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ใช่ว่าเป็นโรงงานขนมไข่หรือเนี่ย คุณย่าซู ท่านคงไม่รู้หรอกว่าในเมืองมีคนเพิ่มขึ้นมากเลย แล้วก็ความต้องการงานก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่อำเภอเลยพยายามแก้ปัญหาการว่างงานกันอยู่ครับ” เสี่ยวจูพูดแนะนำ

“โรงงานขนมไข่หรือเนี่ย ไม่เลวเลยนะ! แต่ขนมแพง ๆ สร้างโรงงานแบบนี้ต้องทำเงินได้แน่นอน”คุณย่าซูพูดด้วยความตื่นเต้น “อยู่ในเมืองก็ดี ได้ทำงานมีอาชีพที่มั่นคงนะ แต่ชีวิตชาวนาเราตรากตรำเสียจริง!”

“แม่เฒ่าไปบอกกับหัวหน้าได้นะ ให้เอาพวกหลานโต ๆ มาทำงานในโรงงาน มีอะไรต้องอิจฉาคนอื่นกัน” เสี่ยวจูก็แปลกใจมากในเรื่องนี้เช่นกัน

เดิมทีเขาคิดว่า ถ้าหัวหน้าแต่งงานกับลูกสาวบ้านซู คนบ้านนั้นจะต้องได้รับประโยชน์ไปด้วย และเหนือสิ่งอื่นใดคือ การหางานดี ๆ อย่างพนักงานในโรงงานย่อมไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย

อีกอย่างพวกเด็ก ๆ บ้านซูเหมือนจะเรียนหนังสือด้วย พวกเขามีความรู้ เวลาสมัครงานจะง่ายดาย

แต่บ้านซูดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องการใช้เส้นสายมากนัก จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมาขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าเฉินเลย

และหัวหน้าเฉินเองก็ไม่คิดที่จะใช้ประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่การงานเพื่อทำเรื่องแบบนี้ด้วย เขาดีกับคนบ้านซู และใช้เงินตัวเองในการสนับสนุนไม่ให้ใครมาข่มเหงได้ก็แค่นั้น

ไปดูหม่านซิ่วนู่นสิ ยังอยู่บ้านหลังนี้จนถึงทุกวันนี้เลย

ก่อนหน้านี้เป็นลูกจ้างชั่วคราว และไม่ได้ไปที่นั่นเลยตั้งแต่ตั้งครรภ์

พูดตามตรง เขาไม่เคยเห็นครอบครัวแบบนี้มาก่อน

ถ้าเป็นครอบครัวอื่นคงเกาะญาติอย่างหัวหน้าเฉินไปแล้ว กลัวแค่ว่าจะลงหลักปักฐานด้วยซ้ำ

“ไม่ได้หรอก หลานรักบอกว่าต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”

“หลานรักของท่านพูดอีกแล้วหรือ? คุณย่าซูได้ยินมาจากสาวน้อยจริงหรือครับ?” เสี่ยวจูถามอย่างขบขัน

ถ้าฟังคนเขาบอกว่าให้กินอยู่อย่างพอเพียงมันก็ดี แต่ได้ยินจากสาวน้อยคนนี้เนี่ย มันน่าสับสนจริง ๆ นะ

“เสี่ยวจูเอ้ย เธอจะบอกว่าต่อให้เราได้รับเกียรติจากจื่ออันก็ไม่สมควรเป็นลูกจ้างไม่ใช่หรือ?”

เสี่ยวจู้พูดไม่ออก ประโยคนี้ไม่ผิดเลยจริง ๆ บ้านหลักตระกูลซูซื่อสัตย์จริง ๆ

คุณย่าซูพูดพร้อมกับถอนหายใจ “เขาตัวคนเดียว มันไม่ง่ายเลยที่เด็กไม่มีพ่อแม่จะเดินมาถึงจุดนี้ได้ ในฐานะญาติ เราได้แต่หวังให้เขาโชคดี และไม่มีเหตุผลที่จะฉุดเขาลงมาด้วย”

“ลุงจู คุณย่าพูดถูกค่ะ ถ้าเราไปหาอาเขยเพื่อเรื่องแบบนี้จริง ๆ แล้วเขาช่วยเรา หนูก็รู้สึกไม่สบายใจ!” เสียงนุ่มของซูเสี่ยวเถียนดังขึ้นจากด้านข้างเสี่ยวจู

เสี่ยวจูไม่เคยคิดเลยว่า แม้แต่เด็กผู้หญิงบ้านซูอายุเท่านี้ก็ยังคิดเผื่อไปไกลได้

จู่ ๆ เขาก็เข้าใจว่า ทำไมหัวหน้าเฉินถึงปฏิเสธที่จะมองหาสาวบริสุทธิ์ และสุดท้ายก็ได้แต่งงานกับหม่านซิ่วที่เคยแต่งงานมาก่อนแล้ว

การสั่งสองของบ้านหลักซูทำให้เขาพูดไม่ออกเลย

มีผู้นำกี่คนกันที่เครือญาติข้างกายตอนนี้เริ่มสร้างปัญหา พอเกิดปัญหาก็ต้องเข้าไปพัวพันด้วย

เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับหัวหน้าเฉินจริง ๆ ที่มีญาติเช่นนี้