บทที่ 159 คนเก่าและคนใหม่

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 159 คนเก่าและคนใหม่

บทที่ 159 คนเก่าและคนใหม่

ลู่หยวนผู้อยู่บนยอดเขายังคงสนทนากับเฉิงไท่ ผ่านไปสักพัก เสียงสองสาวก็ดังมาจากนอกประตู

บทสนทนาระหว่างทั้งสองหยุดลงทันที เสียงของคนที่อยู่นอกประตูคุ้นเคยยิ่ง เป็นฉินอี่หานกับไป๋ชิวเอ๋อร์นั่นเอง

เฉิงไท่ชำเลืองมองอีกฝ่าย หลังจากได้ยินเสียงสองสาว ลู่หยวนก็กล่าวทันทีว่า “เข้ามา”

เสียงนี้เป็นธรรมชาติยิ่ง ราวกับเขาเป็นผู้นำของยอดเขานี้ก็ไม่ปาน

เมื่อเจ้าสำนักเห็นศิษย์สองคนเดินเข้ามาอย่างเร็วรี่ เขาพลันสัมผัสได้ว่าตนอาจจะติดกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าให้แล้ว

ทั้งสองสาวถูกเจ้าหนุ่มคนนี้ส่งมาอุทิศตนเพื่อลู่หยวนอย่างสมบูรณ์

เฉิงไท่ฝึกสองคนนี้ เกรงว่าจะเป็นการลับมีดในมือของคุณชายลู่ในอนาคต

คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็อดที่จะกุมหน้าผากตัวเองไม่ได้

ถึงแม้สองสาวจะไม่ได้พบนายท่านมาหลายวัน แต่พวกนางยังคงอยู่ตรงหน้าเฉิงไท่ จึงต้องรู้สึกยับยั้งชั่งใจ ไม่กล้าถามไถ่แต่อย่างใด

เฉิงไท่ยังคงวางท่าเป็นอาจารย์สำนัก เขายืนเอามือไพล่หลัง แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา “วันนี้พวกเจ้าฝึกฝนกันเรียบร้อยแล้วหรือ?”

สองสาวตอบตามความจริง เฉิงไท่พยักหน้า กล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้ามีอะไรจะพูดกับลู่หยวน ก็ไปพูดที่ตำหนักริมสวนด้านหลังเถอะ”

ทั้งสองคำนับอาจารย์ทันที จากนั้นจึงเดินนำชายหนุ่มไปที่ตำหนักด้านหลัง

ที่นี่ไม่ได้โอ่อ่าเท่ากับห้องโถงหลัก ห้อมล้อมไปด้วยสะพานขนาดเล็กและสายน้ำไหลเอื่อย นกกระเรียนและวิหคหายากเดินไปมา ดูสวยงามยิ่งนัก

ชายหนุ่มหาที่นั่งลง เริ่มสอบถามคำถามทั่วไป จากนั้นจึงเข้าประเด็นหลัก

เขามองไป๋ชิวเอ๋อร์ “ยันต์ที่ข้าส่งไป เจ้าได้รับหรือไม่?”

นางพยักหน้า พลางหยิบยันต์ออกมาจากแหวนเก็บของ มันมีลายมือของลู่หยวนเขียนเอาไว้

ยันต์ใบนี้เขาส่งให้ไป๋ชิวเอ๋อร์ตอนอยู่ที่ยอดเขาศิษย์

โดยเป้าหมายหลักคือขอให้คุณหนูไป๋ใช้ประโยชน์จากยอดเขาที่นางสังกัดเพื่อสืบข่าวคราวเกี่ยวกับกลุ่มอวิ๋น

“นายท่านไม่ต้องห่วง ข้าได้สอบถามหลายคนแล้ว อีกประมาณหนึ่งวัน ข้าจะทำการคัดลอกแล้วส่งให้กับนายท่าน”

ลู่หยวนพยักหน้า ถึงแม้กลุ่มอวิ๋นในสายตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์แทบจะไม่ใช่ภัยคุกคามแต่อย่างใด

แต่ถึงอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก็ประกอบไปด้วยศิษย์ใหม่บางส่วน

นอกจากนี้ยังต้องเทียบความมีหน้ามีตาของผู้นำกลุ่ม กับเหตุผลการก่อตั้งของกลุ่มนี้ด้วย

หลังจากที่ศิษย์ใหม่ของปีนี้ถูกผู้อื่นกลั่นแกล้ง พวกเขาจะเข้าร่วมกับกลุ่มอวิ๋น ทำให้อำนาจที่หนุนหลังหยางอวิ๋นแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

ถึงแม้ลู่หยวนจะเพิ่งเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์มาได้ไม่นาน ทำให้มีบางสิ่งบางอย่างที่เขายังข้องใจ

สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เป็นสังคมที่มีทั้งตัวตนที่อ่อนแอที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดอยู่รวมกัน อย่างเช่นกลุ่มนี้ มันเป็นเพียงแค่กลุ่มคนที่กอดกันกลมเกลียวเพื่อให้ความอบอุ่นเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นจากศิษย์เก่าเพื่อรังแกศิษย์ใหม่ก็ดี หรือกลุ่มอวิ๋นที่ก่อตั้งโดยหยางอวิ๋นเพื่อให้ศิษย์ใหม่ต่อต้านศิษย์เก่าก็ดี

สุดท้ายแล้ว มันก็ทำเพื่อคำคำเดียวคือ ‘ผลประโยชน์’

หากเป็นคำว่า ‘ผลประโยชน์’ เช่นนั้นก็สามารถใช้งานได้หลากหลาย!

แน่นอนว่าหยางอวิ๋นใช้ไม่ได้ แต่อำนาจที่หนุนหลังเขา พวกหนุ่มสาวโง่เขลาเลือดร้อนเหล่านั้นที่ติดสอยห้อยตามมาต่างเป็นเมล็ดพันธุ์ดีทั้งสิ้น

หากสามารถหาลูกน้องมาเป็นของตัวเองได้ ลู่หยวนในตอนนี้คงมีลูกน้องมากมายจนสามารถพัฒนาไปได้ไกลอย่างแน่นอน

แต่ถ้าตั้งขึ้นมาเพื่อหาปัญหา จะไม่เท่ากับทำให้กลุ่มศิษย์เก่าตกเป็นเหยื่อด้วยหรอกหรือ?

บุตรศักดิ์สิทธิ์มีโชคชะตาที่จะเป็นวายร้ายอยู่แล้ว ไม่ต่างจากพายุที่พัดผ่านไปทีไรก็ต้องสร้างความเสียหายโกลาหล ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่สร้างพายุลูกใหญ่ขึ้นมา จนทุกคนไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลยล่ะ!

ผู้ยอมจำนนจะรอด!

ผู้ที่แข็งขืนจะต้องตาย!

ทุกสิ่งอย่าง เริ่มขึ้นจากกลุ่มอวิ๋นของหยางอวิ๋น

ลู่หยวนถอนสายตากลับ จากนั้นถามอีกฝ่ายว่า “ช่วงนี้หลี่เจียงหนานได้ติดต่อเจ้าบ้างหรือไม่?”

ฉินอี่หานพยักหน้า “ไม่นานหลังจากท่านเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เขาถามอะไร ข้าก็ทำเป็นนิ่งเฉย”

ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก จากนั้นมองผู้ฝึกกระบี่หญิงด้วยแววตาฉายรอยยิ้มออกมา “ศิษย์พี่ฉิน ตอนนี้เราอยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งความขัดแย้งระหว่างคนเก่ากับคนใหม่ค่อนข้างร้ายแรง เดาสิว่าคนอย่างหลี่เจียงหนานจะเข้ากับกลุ่มไหน?”

นางครุ่นคิด

ก่อนหน้าที่พวกเขาจะเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ไป๋ชิวเอ๋อร์มอบข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์ที่เข้าสำนักมาพร้อมกับพวกเขา

ปีนี้ตระกูลหลี่ส่งเพียงหลี่เจียงหนานมาเท่านั้น แต่ได้ยินมาว่าเมื่อหลายปีก่อน มีสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลี่เข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ร่ำลือกันว่ารากฐานการบ่มเพาะของคนผู้นี้ดียิ่ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้นำตระกูลหลี่ไม่สู้ดีนัก จึงไม่ได้กลับไปเป็นเวลาหลายปี และแทบไม่เคยให้การช่วยเหลืออะไรเลยด้วยซ้ำ

แต่คนผู้นี้ยังคงมีสายเลือดตระกูลหลี่อยู่ ตอนนี้หลี่เจียงหนานเข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์แล้ว หากเขาขอให้ตระกูลหลี่ปกป้องตัวเอง คนผู้นั้นก็ควรทำตามที่ขอ

ถึงตอนนั้น หลี่เจียงหนานก็จะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ‘คนเก่า!’

แต่ถ้าเขาไม่ยอม หรือถ้าหลี่เจียงหนานไม่อยากไปกับคนผู้นั้น เขาก็จะมีสองทาง คืออยู่กลุ่ม ‘คนใหม่’ หรือไม่อยู่กลุ่มใดเลย

ทว่าจากการฝึกฝนของหลี่เจียงหนาน หากเขาไม่ยืนหยัดอยู่กลุ่มใด เขาอาจจะมีชีวิตน่าสังเวชอยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ แต่หลี่เจียงหนานเป็นคนที่ฉลาดมาโดยตลอด ย่อมต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามแน่นอน

หากก้าวเข้าสู่สถานที่หนึ่ง แล้วสามารถแสวงหาที่หลบภัยได้ สุดท้ายก็ต้องไปอย่างไม่ลังเล

แต่ว่า เขาจะเลือกฝั่งไหนกันล่ะ?

หลังจากครุ่นคิดสักพัก คิ้วขมวดของฉินอี่หานก็ผ่อนคลายลง ไป๋ชิวเอ๋อร์รินชาให้ลู่หยวน ก่อนที่เขาจะยกขึ้นจิบ

หลังจากฉินอี่หานครุ่นคิดสักพัก สายตาของนางก็หนักแน่นขึ้นมา “ข้าเกรงว่าทั้งคนเก่าและคนใหม่จะไม่แยกกลุ่มกัน แต่ทั้งคนเก่าและคนใหม่จะเป็นกลุ่มเดียวกัน!”

ลู่หยวนมองนางพลางยิ้มออกมา เมื่อสายตาสบกัน พวกเขาต่างรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

ไป๋ชิวเอ๋อร์มองท่าทางของทั้งสอง นางไม่เข้าใจจริง ๆ จึงทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วชงชาให้บุตรศักดิ์สิทธิ์

ลู่หยวนและฉินอี่หานมีความคิดเหมือนกัน

จากสถานการณ์ตอนนี้ ‘กลุ่มใหม่’ ได้รับขวัญกำลังใจ แถมยังมีคนมากพรสวรรค์บางส่วนให้การสนับสนุน

แต่เทียบกับกลุ่มศิษย์เก่าเหล่านั้นแล้ว ความหยิ่งทะนงมันยังทำให้เจตนาสู้รบหนักหน่วงยิ่งกว่า

หากพัฒนาไปสักระยะ เป็นไปได้ว่าจะได้เห็นการต่อสู้ชี้ขาดระหว่างสองกองกำลังนี้

แต่กาลเวลาไม่ยอมให้หลี่เจียงหนานรอ… เขาต้องเลือก!

ด้วยนิสัยของชายผู้นั้น ไม่มีทางเข้าข้างใครอย่างแน่นอน

หากเป็นไปได้ เขาน่าจะใช้ความช่วยเหลือของสมาชิกตระกูลหลี่ เพื่อให้ได้รับตัวตนจากศิษย์เก่า ส่งผลให้ศิษย์เก่าได้ไม่รังเกียจ จนทำการขโมยของอย่างโจ่งแจ้ง

หลังจากนั้น เขาจะไม่เข้าร่วมกับศิษย์ใหม่ อาศัยเพียงการพัวพันด้านความสัมพันธ์เท่านั้น

พยายามอย่างสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้น ขอเพียงมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เขาก็สามารถเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งได้

ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะเลือกฝั่งไหน ก็ยังได้รับผลประโยชน์อยู่ดี

หากเป็นคนธรรมดา เกรงว่าถ้ายังติดต่อกับสองกองกำลังต่อ ย่อมเป็นที่รังเกียจของทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน

แต่นี่คือความสามารถของหลี่เจียงหนาน

ลิ้นสองแฉกมักพูดไม่น่าฟัง สร้างมิตรสหายได้ไม่เกี่ยงฝ่ายท่ามกลางสงครามนั้นย่อมเป็นการดีที่สุด!