บทที่ 160 ไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่?
บทที่ 160 ไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่?
หลี่เจียงหนานย่อมยืนอยู่ระหว่างสองกองกำลัง จึงไม่เป็นที่เกลียดชังของทั้งสองฝั่ง
คนอย่างเขาคือคนกลางระหว่างสองกองกำลัง นับได้ว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ล้ำค่า หากใช้ดี ๆ จะพลิกสถานการณ์ได้ด้วยตัวคนเดียว เหมือนหนึ่งหมากพลิกได้ทั้งกระดาน!
ลู่หยวนพิงเก้าอี้หิน มองฉินอี่หานแล้วยิ้มออกมา อีกฝ่ายเข้าใจความหมายจึงพยักหน้า “นายท่านไม่ต้องห่วง ทุกการเคลื่อนไหวของหลี่เจียงหนานจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์”
“อย่าจับตาดูใกล้เกินไป ขอเพียงรู้คร่าว ๆ ว่าเขาทำอะไรอยู่ก็พอแล้ว”
ลู่หยวนพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้บอกเจ้าหรือยังว่าครั้งนี้เขามีของดีอะไรมา ถึงได้ซุ่มซ่อนในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้?”
ฉินอี่หานพยักหน้า “บอกแล้ว บางคนที่อยู่ใต้อาณัติของเขามาที่ฉวนจงด้วย แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะทำการตรวจสอบให้”
นางกำลังจะตอบรับ แต่เห็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แสยะยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบหรอก มีใครบางคนสามารถค้นหาได้รวดเร็ว โดยไม่เป็นที่สังเกตเห็นด้วยซ้ำ!”
ถึงแม้จะพูดจากับฉินอี่หานอย่างยำเกรง แต่เจ้านั่นยังคงสามารถดึงชิ้นส่วนข้อมูลออกมาได้ ถึงอย่างไรหลี่เจียงหนานก็ไม่ใช่คนโง่ หากข้อมูลทั้งหมดมาจากศิษย์พี่ฉินเพียงอย่างเดียว ไม่ช้าก็เร็วหลี่เจียงหนานจะต้องสงสัยนางอย่างแน่นอน
นอกจากนี้… ถ้าทรัพยากรอย่างอวี๋ฉู่ไม่ถูกใช้งาน มันก็ออกจะเสียของไปหน่อย
อวี๋ฉู่ยังคงเป็นอดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เครือข่ายที่เขามีย่อมมหาศาลอย่างแน่นอน!
ตรวจสอบไม่กี่คน สำหรับเขา มันเป็นเรื่องง่าย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลู่หยวนก็เขียนยันต์เต๋าขึ้นมาส่งให้ผู้ฝึกกระบี่หญิง ก่อนจะนั่งสนทนากับสองสาวอีกสักพักค่อยลุกขึ้นจากไป
ส่วนเรื่องการแข่งขันภายในครั้งนี้ เขายังมีบางสิ่งที่ต้องเตรียมตัวอยู่
หลังออกจากยอดเขา บุตรศักดิ์สิทธิ์มุ่งหน้าตรงไปที่ยอดเขาหอก
เขาสำรวจห้องโถงหลักที่หลิงอวิ๋นอยู่ แต่ไม่พบใครจึงกลับที่ห้องของตัวเอง
ชายหนุ่มยังคงนั่งขัดสมาธิ เข้าสู่การบ่มเพาะ
หลังจากหลับตาแล้ว กลิ่นอายทั่วร่างกายยังคงโคจรไปมา
ไม่ทราบได้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ค่ายกลรอบห้องโถงหลักนอกประตูพลันสั่นไหว
เสียง ‘ตูม ๆๆ’ ที่กำลังทำลายจากข้างนอกดังอย่างต่อเนื่อง
ลู่หยวนพลันลืมตาขึ้น จิตสังหารฉายผ่านนัยน์ตา
มีใครบางคนทะลวงค่ายกลบุกเข้ามา!
ชายหนุ่มยืนขึ้น เดินเปิดประตูห้องอย่างไม่ลังเล สายตากวาดมองพบว่าใจกลางของค่ายกลที่ส่องแสงเรืองรอง ปรากฏร่างหลิงอวิ๋นถือหอกกวัดแกว่งไปมา เจตจำนงหอกพลันแผ่ออกไปโดยรอบ จนค่ายกลทั้งหมดแตกสลาย
คิ้วและดวงตาของบรรพชนหอกในครั้งนี้เย็นชา ดูเย็นยะเยือก ไม่ว่าจะเป็นใคร เพียงแค่มองดูก็รับรู้ได้ว่าหลิงอวิ๋นเต็มไปด้วยโทสะ
ลู่หยวนยืนพิงประตู มองหลิงอวิ๋นผู้กำลังทำลายค่ายกลด้วยเจตจำนงหอกอันทรงพลังด้วยสีหน้าดูเกรี้ยวกราดยิ่งนัก แต่เขากลับถามอย่างเกียจคร้านว่า “เป็นอะไรหรืออาจารย์ ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน ทำไมถึงเกรี้ยวกราดขนาดนี้?”
หลิงอวิ๋นเบือนหน้าหนี “ลู่หยวน …เจ้า”
คำพูดยังไม่ทันกล่าวจบ หางตาของหลิงอวิ๋นพลันชำเลืองไปเห็นบุตรแห่งโชคชะตาหยางผู้เพิ่งเข้ามาจากด้านข้าง
นางกลืนคำพูดกลับไป พลางถอนหายใจออกมา ก่อนจะพาบุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในห้อง
ประตูห้องปิดลง ค่ายกลปรากฏขึ้น แบ่งแยกภายในและภายนอกของห้องราวกับสองดินแดนที่ไม่เชื่อมต่อกัน บุรุษด้านนอกไม่อาจได้ยินเสียงสนทนาของทั้งสองอีกต่อไป
หยางอวิ๋นมองอาจารย์พาศิษย์อีกคนเข้าไปในห้องนั้น เขาชะงักงันยาวนานด้วยหัวใจปวดร้าว จนกระทั่งค่ายกลกลับมาทำงานได้
อาจารย์สำนักกำลังปกป้องมันงั้นหรือ?!
ในอดีต แม้แต่ตอนที่อาจารย์สำนักกำลังสนทนากับอาจารย์สำนักคนอื่น นางก็ไม่ทำเช่นนี้
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ เป็นเพราะเจ้าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!
หยางอวิ๋นชิงชังอีกฝ่ายยิ่งนัก เขาสูดหายใจเข้าพร้อมตัดสินใจบางอย่าง ก่อนจะหันหลังจากไป
ลู่หยวนเอ๋ย… ลู่หยวน ไม่ต้องห่วง เมื่อเจ้าเข้าสู่การแข่งขันภายในแล้ว ข้าจะให้เจ้าอยู่คุกเข่าร้องขอความเมตตาต่อหน้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์!
หลังจากหลิงอวิ๋นเข้าไปในห้องโถงแล้ว นางก็หันหลังให้ชายหนุ่มพลางสูดหายใจเข้าหลายครั้ง พยายามทำให้ตัวเองอารมณ์เย็นลง
บุตรศักดิ์สิทธิ์อาจคาดเดาไว้แล้วว่าทำไมหลิงอวิ๋นถึงเรียกเขามาที่นี่ ชายหนุ่มเหมือนกับตาลุง เดินไปด้านข้างแล้วเอนกายพิงเก้าอี้ไม้ชั้นดี
เมื่อหลิงอวิ๋นหันศีรษะมา แล้วเห็นท่าทีเกียจคร้านของลู่หยวน เปลวเพลิงที่เพิ่งดับมอดไปพลันถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าบอกให้เจ้านั่งลงเมื่อไหร่?!”
คำพูดเย็นชาลอดไรฟันออกมา
ลู่หยวนส่ายหน้า พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารินชาที่อยู่บนโต๊ะแล้วส่งให้กับอาจารย์ “ข้าพอจะรู้อยู่แล้วว่าทำไมท่านถึงมาที่นี่หลังเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน อาจารย์สำนักไม่ต้องห่วง มันก็แค่การแข่งขันภายใน ข้าจะต้องเอาอันดับหนึ่งมาให้ยอดเขาหอกอย่างแน่นอน”
หลิงอวิ๋นสะบัดมือจนถ้วยชากระเด็นออกไปตกแตกกระจาย นางก้าวมาข้างหน้า พุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ก่อนยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ “ลู่หยวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าการแข่งขันภายในนี้ต้องลงนามประกาศิตแห่งความเป็นความตายด้วย!”
ลู่หยวนเงยหน้าขึ้น จ้องมองมาที่คู่สนทนา “ข้ารู้อยู่แล้ว”
“เจ้ารู้งั้นหรือ? เจ้ารู้อะไรกันแน่?! การแข่งขันภายในครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการแข่งขันภายในครั้งนี้ จักรพรรดินีฉวนจงจะมาด้วยตัวเอง?”
“เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเคยพูดเอาไว้ ว่าจะเลือกหนึ่งในศิษย์ของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์มาเป็นสวามี!”
“การที่จักรพรรดินีมาที่นี่ด้วยตัวเอง เหล่ายอดฝีมือที่เคยเก็บตัวบ่มเพาะมาช้านาน ล้วนพากันออกมาจากการเก็บตัว!”
หลิงอวิ๋นโยนยันต์ลงนามลงบนเก้าอี้ ชื่อบนนั้นอัดแน่นจนเต็มยันต์ไปหมดแล้ว
บุตรศักดิ์สิทธิ์ชำเลืองมอง ชื่อบนยันต์ถูกสลัก มุมขวาบนที่เดิมสลักชื่อเขาเอาไว้ มาตอนนี้กลับถูกปกคลุมด้วยชื่อมากมาย
คำว่า ‘ลู่หยวน’ ถูกฝังไปนานแล้ว
หลิงอวิ๋นแค่นเสียงเคร่งขรึม “การแข่งขันภายในครั้งนี้ สามทำเนียบรายชื่อจากทั้งสวรรค์ ปฐพีและมนุษย์ล้วนมารวมตัว หากเป็นช่วงปกติก็แล้วไป คนที่มาสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ต่างมาจากตระกูลยิ่งใหญ่ พวกเขาส่วนมากเป็นห่วงชื่อเสียงตระกูลของตัวเอง จึงไม่เอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย”
“แต่ตอนนี้ เจ้าไปทำให้บรรพชนเสวียนขุ่นเคือง สมาชิกของสำนักบรรพชนเสวียนต่างไม่สนแล้วว่าภูมิหลังของเจ้าจะยิ่งใหญ่มาจากไหน! หากเจอกันในการแข่งขันภายใน พวกเขาจะต้องฆ่าเจ้าแน่นอน!”
“ยิ่งกว่านั้น ข้าได้ข่าวมาว่า มีหลายคนจากสำนักอื่นที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากบรรพชนเสวียนมาเช่นกัน หากเจอเจ้าขึ้นมา พวกเขาจะไม่เมตตาเจ้า!”
“ทำไมเจ้าถึงต้องอยากเข้าร่วมการแข่งขันภายในครั้งนี้ด้วย? เจ้าจะไม่อยู่ต่ออีกสักสองสามปีหรือ? รอให้เจ้าเข้าขั้นเทียมเทพก่อน หรือไม่ก็รอให้มียอดฝีมือที่มาจากสำนักบรรพชนเสวียนไม่มากแล้ว เจ้าค่อยมาเข้าร่วมการแข่งขันภายในอีกครั้งก็ได้ มันไม่มีทางอันตรายเท่ากับที่เจอในวันนี้แน่นอน!”
ทุกคำพูดของหลิงอวิ๋นกล่าวออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ หมายความว่านางเป็นห่วงลู่หยวนจริง ๆ
หาไม่แล้วนางคงไม่มาที่นี่พร้อมโทสะอย่างเด็ดขาด
ชายหนุ่มเข้าใจเรื่องนี้ จึงไม่รู้สึกโกรธหลิงอวิ๋น เขาเพียงถอยไป และนำคอเสื้อของตัวเองออกจากมืออาจารย์
เขายังคงพิงเก้าอี้เนื้อดี เมื่อเงยหน้าขึ้น สีหน้ายังคงสงบ ราวกับไม่เก็บคำพูดของอีกฝ่ายมาคิดจริงจังแม้แต่นิดเดียว
“อาจารย์ บางครั้งข้าก็รู้สึกว่า ท่านไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่?”
ลู่หยวนยกมุมปากขึ้น แต่แววตาไม่มีรอยยิ้มตาม “หรือว่า ตระกูลหลิงของท่านเลี้ยงมาอย่างไข่ในหินเกินไป จนมองเห็นเรื่องนี้เพียงผิวเผิน”